แบงก์ทุ่มยกระดับป้องโจร

"แบงก์" ประกาศพร้อมลงทุนยกระดับความปลอดภัยสกัดภัยทุจริตทางการเงิน พร้อมประสาน กสทช. เกาะติดซิมการ์ดสุ่มเสี่ยง ธปท.เคาะสแกนหน้าก่อนโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทต่อครั้งหรือ 2 แสนบาทต่อวัน การันตีเริ่มใช้ มี.ค. และใช้ครบทุกแห่งไม่เกินกลางปี 2566

เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ในฐานะผู้กำกับดูแลให้ความสำคัญและไม่นิ่งนอนใจกับปัญหาภัยทางการเงินที่ประชาชนถูกหลอกลวง จึงได้ยกระดับให้เรื่องนี้เป็นความเสี่ยงสำคัญที่ทุกสถาบันการเงินต้องดูแลและบริหารจัดการอย่างจริงจัง จึงได้ออกชุดมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน เพื่อช่วยให้ระบบการเงินมีความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการทางการเงิน

น.ส.สิริธิดากล่าวอีกว่า ขณะนี้สถาบันการเงินอยู่ระหว่างทยอยทำมาตรการ เช่น การยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกผ่านการใช้ใบหน้าในการทำธุรกรรมโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทต่อครั้ง หรือเกิน 2 แสนบาทต่อวัน ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะเห็นว่าทุกธนาคารไม่ได้มีฐานข้อมูลใบหน้าลูกค้าทั้งหมด เช่น บางธนาคารเก็บได้มากกว่า 50% หรือบางธนาคารไม่ถึง จึงจำเป็นต้องปรับฐานข้อมูล เพราะการเก็บข้อมูลไบโอเมตริกเพิ่งเริ่มใช้มาในช่วง 2 ปี และไม่ได้บังคับ อีกทั้งยังมีเรื่องกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่ต้องปฏิบัติ ทำให้การเก็บข้อมูลยังไม่ได้มาก แต่หลังจากนี้ลูกค้าสามารถเข้าไปยืนยันตัวตนกับสถาบันการเงินได้

“ธปท.ได้ประสานงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อดูแลความเสี่ยงจากการทุจริตที่เกี่ยวกับบัญชีม้าที่มีการโอนเงินผ่านสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น คริปโตเคอร์เรนซี โดยตอนนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส), ธปท. และ ก.ล.ต. ได้หารือร่วมกันเพื่อดูแนวทางในการป้องกันต่อไป” น.ส.สิริธิดากล่าว

น.ส.สิริธิดากล่าวอีกว่า การกำหนดวงเงินการโอนตั้งแต่ 5 หมื่นบาท ต้องยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกนั้น จะเริ่มใช้ตั้งแต่ มี.ค.นี้ โดยวงเงินดังกล่าวเป็นวงเงินขั้นต่ำที่ ธปท.กำหนด แต่หากธนาคารไหนอยากเข้มงวด ก็สามารถกำหนดกรอบวงเงินในการยืนยันตัวตนก่อนโอนใหม่ได้ แต่จากข้อมูลที่มีพบว่าวงเงิน 5 หมื่นบาทเป็นวงเงินที่สมดุลระหว่างความเสี่ยงและความสะดวก และหากดูสถิติพบว่ามีเพียง 1% ที่มีการโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาท หรือประมาณ 48 ล้านรายการ เพราะถ้ากำหนดวงเงินต่ำกว่านี้ หากมีการยืนยันบ่อยๆ และถี่ๆ อาจไม่

สะดวก และหลังจากการปรับวงเงิน-โอนเงินที่ต้องทำไบโอเมตริกแล้ว ต่อไปจะขยายไปสู่การเบิกถอนเงิน

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมและสมาชิกพร้อมยกระดับความปลอดภัยของธนาคาร เพื่อรับมือและจัดการภัยทางการเงินออนไลน์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่ การป้องกันโดยร่วมมืองดส่งข้อความ SMS ที่แนบลิงก์ในการติดต่อกับลูกค้า และเร่งพัฒนาระบบป้องกันการทำธุรกรรมทุจริตอย่างต่อเนื่อง การตรวจจับโดยอยู่ระหว่างนำเทคโนโลยีมาช่วยจับธุรกรรมต้องสงสัยให้ได้โดยเร็ว ซึ่งได้ร่วมกันออกแบบและพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทุจริตในภาคธนาคาร เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีธุรกรรมต้องสงสัยและบัญชีม้าระหว่างธนาคารเพื่อติดตามป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการตอบสนองและรับมือ โดยจัดให้มีช่องทางติดต่อด่วน 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อสามารถแจ้งเหตุได้โดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารสมาชิกหลายแห่งเริ่มดำเนินการไปแล้ว โดยคาดว่าทั้ง 3 มาตรการจะเริ่มทยอยใช้ และแล้วเสร็จทั้งหมดทุกสถาบันการเงินไม่เกินกลางปี 2566 ส่วนมาตรการอื่นที่ระบบมีความซับซ้อน ต้องใช้เวลาในการพัฒนา สมาคมธนาคารไทยและสมาชิกจะเร่งดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จทีละส่วน แต่ทั้งหมดน่าจะเสร็จไม่เกินเดือน ธ.ค.2566

“ยืนยันว่าทุกสถาบันการเงินมีการลงทุนเรื่องนี้เพิ่มแน่นอน เพราะถือเป็นการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในด้านความปลอดภัย ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยี เพราะธนาคารพาณิชย์หัวใจหลักคือความมั่นใจ เป็นสิ่งที่ธนาคารจำเป็นต้องลงทุนในส่วนนี้ โดยเรายังมองไปถึงระบบกลางที่จะเข้ามาช่วยยกระดับการป้องกันและไม่ให้เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน โดยอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการ โดยบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ จำกัด (NITMX) ซึ่งหวังว่าตรงนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างธนาคารรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ที่นำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพ ธุรกรรมที่ผิดปกติ ให้สามารถติดตาม และเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

 นายผยงกล่าวอีกว่า สมาคมยังอยู่ระหว่างการประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการประมวลเกี่ยวกับธุรกรรมหรือคนที่สนับสนุนธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยเฉพาะในกรณี 1 บัตรประชาชน แต่มี 100 ซิม หรือการติดตามสัญญาณของซิมการ์ดที่สุ่มเสี่ยง หรือบัตรประชาชนที่ได้ซิมการ์ดที่สุ่มเสี่ยง หากพบพฤติกรรมที่แปลกหรือเข้าข่ายดังกล่าว ควรต้องตรวจสอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลในการนำมาคัดกรองการป้องกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายทวนทอง ตรีนุภาพ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และรักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาระบบดิจิทัล ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะผู้แทนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ กล่าวว่า ลูกค้าของสถาบันการเงินของรัฐส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ซึ่งมีความเสี่ยงถูกหลอกลวง การดูแลความปลอดภัยในการใช้บริการทางการเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยที่ผ่านมาสมาชิกหลายแห่งได้มีแนวทางป้องกันภัยทุจริตทางการเงินต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ให้ความรู้ประชาชน โดยเฉพาะการออกประกาศเตือน การไม่ส่งลิงก์ต่างๆ ให้กับลูกค้า และเปิดศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงิน

 “การลงทุนในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สถาบันการเงินของรัฐจะต้องทำ เพื่อให้มีความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก การให้บริการในปัจจุบันไม่เพียงแต่โฟกัสเรื่องการอำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้วย โดยสถาบันการเงินสมาชิกพร้อมดำเนินการเพื่อให้ระบบโมบายแบงกิ้งสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัยสูงที่สุด” นายทวนทองกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง