ฝ่ายค้านขยี้‘ศักดิ์สยาม’ต่อ ชูวิทย์ผสมโรงยื่นยุบพรรค

“ศักดิ์สยาม” เจอศึก 2 ด้าน  “ปกรณ์วุฒิ-ทวี” ยื่นศาลรัฐธรรมนูญฟันผิดมาตรา 144 ปมเป็น กมธ.แล้วบริษัทได้งบประมาณ หวังสร้างบรรทัดฐาน “ชูวิทย์” กระหนาบซ้ำยื่น กกต.ยุบพรรคภูมิใจไทย เหตุรับเงินบริจาค เปรียบต้นไม้และผลไม้พิษ ลั่นหากถูกยกคำร้องก่อนเลือกตั้งจะตามราวีไม่ให้เลือกพรรค ภท.

เมื่อวันศุกร์ที่ 17 มี.ค. ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ (ปช.) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 144 จากกรณีนายศักดิ์สยาม  ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่กรณีคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและคงเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น

นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า คำร้องมาตรา 144 เป็นคำร้องที่ฝ่ายค้านยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่เดือน ม.ค. ซึ่งได้ยื่นไป 3 มาตรา แต่ฝ่ายกฎหมายสภาตีความว่าความผิดตามมาตรา 144 ไม่อยู่อำนาจประธานสภาฯ ที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ จึงแยกให้เป็นคำร้อง 2 ฉบับ และวันนี้มายื่นเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของคำร้องแรก โดยมาตรา 144 นั้นเป็นเรื่องที่ ส.ส., ส.ว. และกรรมาธิการ (กมธ.) ห้ามกระทำการใดๆ ที่ทำให้ตนเองได้ผลประโยชน์จากงบประมาณโดยตรงหรือโดยอ้อม เมื่อผนวกกับความเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่และรับสัมปทานของกระทรวงคมนาคม ดังนั้นไม่ต้องตีความอะไรมามากมาย คือได้รับผลประโยชน์ทางตรงจากงบประมาณที่ตนเองดูแล และจะเป็นเหตุผลให้ศาลเห็นว่าการที่นายศักดิ์สยามถือหุ้นของบริษัทอยู่จะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะบริษัทนี้รับสัมปทานจากกระทรวงคมนาคม

 เมื่อถามว่า ประเด็นที่ยื่นตรงกับที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองเตรียมยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะมีน้ำหนักมากพอให้ศาลพิจารณาทิศทางเดียวกันหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เชื่อว่าทั้งศาลและองค์กรอิสระคงพิจารณาไปตามหลักฐานคำร้องที่ยื่นไป ซึ่งด้านของนายชูวิทย์นั้นถือเป็นทิศทางที่ดีที่ภาคประชาชนออกมาแล้วกระตุ้นให้องค์กรอิสระทำงานอย่างรวดเร็ว

 “คำร้องวันนี้เป็นเรื่องต่อเนื่องกัน แต่สิ่งที่อยากฝากว่าคำร้องก่อนหน้านี้จะมีผลสืบเนื่อง คือในรัฐธรรมนูญระบุว่า คุณสมบัติของรัฐมนตรีต้องไม่เคยถูกถอดถอน หรือวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติในเวลา 2 ปี นั่นหมายความว่าถ้าศาลวินิจฉัยว่านายศักดิ์สยามขาดคุณสมบัติ แปลว่านายศักดิ์สยามจะเป็นรัฐมนตรีไม่ได้อีก 2 ปี ดังนั้นเชื่อว่าศาลต้องมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่านายศักดิ์สยามจะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ก็ตาม ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นบรรทัดฐานว่าลาออกจากตำแหน่งเพื่อหนีการตรวจสอบได้ และทำให้ตนเองไม่ขาดคุณสมบัติ” นายปกรณ์วุฒิกล่าว และว่า เรามายื่นเป็นในส่วนของรัฐมนตรีโดยเฉพาะ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดๆ เพราะพรรค ก.ก.และ ปช. เราไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมืองด้วยกฎหมายแบบนี้ 

พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า เรื่องที่นำมายื่นวันนี้คือการพิจารณางบประมาณปีงบประมาณ 2564 ซึ่งนายศักดิ์สยามเป็นรองประธาน กมธ.พิจารณาร่างงบประมาณปี 2564 ซึ่งในการพิจารณานายศักดิ์สยามก็โหวตรับงบประมาณในวาระ 1-3 ด้วย แต่สิ่งที่เราพบคือการเป็น ส.ส.หรือ กมธ.ของนายศักดิ์สยามนั้น มีบางส่วนที่ทำให้ท่านได้ไป ซึ่งการใช้งบประมาณที่พิจารณาในครั้งดังกล่าวรวมกว่า 372 สัญญา โดยสัญญาหนึ่งก็คือ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ประมาณ 38 สัญญา เป็นเงิน 600 ล้านบาท และมีสัญญาอื่นกับกลุ่มบริษัทที่บริจาคเงินให้พรรค ภท.รวม 300 สัญญา เป็นเงินทั้งหมดประมาณ 4,000 ล้านบาท

“เราเรียกร้อง 2 ข้อคือ 1.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการพิจารณางบประมาณ และการเป็น กมธ. การเป็นผู้เสนองบประมาณ รวมทั้งการกระทำอื่นใดนั้นขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ และ 2.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญเรียกเงินในส่วนดังกล่าวกว่า 4,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งผมและนายปกรณ์วุฒิไม่ได้โกรธเคืองกับใคร แต่อยากสร้างบรรทัดฐานให้สังคม”พ.ต.อ.ทวีกล่าว

ในขณะเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายชูวิทย์ยื่นคำร้องให้ กกต.ตรวจสอบการรับบริจาคเงินของพรรค ภท. เข้าข่ายขัดมาตรา 72 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่ และให้ กกต.พิจารณายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรค ภท.

โดยนายชูวิทย์ตั้งโต๊ะแถลงว่า ตามมาตรา 72 ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการที่นายศักดิ์สยามโอนหุ้นใน หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ประมาณ 190 ล้านบาทให้นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทนนั้น ไม่ได้โอนหุ้นจริง เป็นการโอนหุ้นให้นอมินีที่เป็นพนักงานในบริษัทถือแทน และการที่บริษัทดังกล่าวได้รับงานจากกระทรวงคมนาคม ซึ่งนายศักดิ์สยามดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคมนั้น จึงเป็นการรู้อยู่แล้ว แต่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ให้บริษัทดังกล่าวได้รับงานกว่า 104 โครงการ 1,500 ล้านบาท และมอบอำนาจให้นอมินีนำเงินที่ได้บริจาคให้พรรค ภท.หลายครั้ง เงินดังกล่าวจึงได้มาโดยมิชอบ เข้ามาตรา 72 ซึ่งเปรียบเหมือนต้นไม้พิษ ผลไม้ก็เป็นพิษ

นายชูวิทย์กล่าวอีกว่า หลักฐานที่ยื่นให้ กกต.มีทั้งหมด 8 รายการ ประกอบด้วย บัญชีรายชื่อผู้บริจาคให้พรรคภูมิใจไทย, สำเนาคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ, สำเนาการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของนายศักดิ์สยาม, งบการเงินของบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991), งบการเงินของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น, สำเนาโอนหุ้นของนายศักดิ์สยาม, สัญญากรมทางหลวง และรายชื่อบริษัทที่มีสถานะร้าง ซึ่งมั่นใจว่าหลักฐานที่ยื่นต่อ กกต.สามารถยุบพรรคภูมิใจไทยได้ 100%

“เรื่องนี้ควรต้องดำเนินการแล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้ง แต่หากไม่ทัน หรือ กกต.ยกคำร้อง ผมก็จะเดินหน้าต่อในฐานะประชาชน โดยจะรณรงค์ต่อสู้ให้ประชาชนไม่เลือกพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเชื่อว่าสามารถทำลายคะแนนของพรรคได้เป็นกอบเป็นกำ และจะเป็นการต่อสู้ที่สนุก เพราะพรรคภูมิใจไทยจิ้มไปตรงไหนก็มีแต่หนอน” นายชูวิทย์กล่าว

ทั้งนี้ นายชูวิทย์ยังได้ชี้แจงถึงกรณีพรรค ภท.กล่าวหาว่าทำตัวเป็นศาลเตี้ย  ว่าเป็นคนคนเดียว จะเป็นศาลเตี้ยได้อย่างไร และเรื่องของนายศักดิ์สยามฝ่ายค้านยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เท่ากับว่าศาลรับธรรมนูญเป็นศาลเตี้ยด้วยหรือไม่ ส่วนการจะให้ผู้สมัคร 400 เขตเลือกตั้งฟ้องตนเองนั้น มองว่าเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อปิดปากเท่านั้น และเมื่อพูดเรื่องดังกล่าวนายชูวิทย์ได้นำเทปกาวสีดำมาปิดที่ปาก และได้ล้างมือโชว์ เพื่อตอบโต้กรณีพรรค ภท.บอกว่ามือสกปรกรับงานมาจากบุคคลอื่นเพื่อทำลายชื่อเสียงของพรรค

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค ภท. กล่าวประเด็นนี้ว่า เมื่อเป็นนักการเมืองก็พร้อมให้ตรวจสอบ และไม่กังวล เพราะมั่นใจว่าที่ผ่านมาในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ก็มีผลงานมากมาย และในสภา ส.ส.ของพรรคก็รับผิดชอบต่อองค์ประชุม เชื่อว่าสามารถชี้แจง ประชาชนได้ ไม่น่ากระทบต่อคะแนนนิยมของพรรค.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.