สยบดีลหนุน‘ป้อม’ ‘แม้ว’อ้างไม่เคยคุยมา17ปี ‘จตุพร’ลากไส้โกหก18ครั้ง

“ทักษิณ” รีบทวีตปัดดีลลับดันก้น “ประวิตร”  เป็นนายกฯ คนที่ 30 บอกเพื่อไทยไม่โง่พอ “ภูมิธรรม” ซัด  “วิรัช” ฝันกลางวัน “บิ๊กตู่” บอกยังเป็นนายกฯ ไม่ขอตอบเรื่องการเมือง “อนุทิน-วราวุธ” ตอกฝาโลงไม่มีรัฐบาลเสียงข้างน้อยแน่ “จตุพร” จัดหนักทักษิณ-เพื่อไทย บอกแผนสุดอำมหิตยิ่งกว่าเผด็จการที่ให้เลือกพรรคเดียว อัด “แม้ว” ไม่อยู่กับร่องกับรอย พูดกลับบ้านมา 18 ครั้งมีแต่การโกหกพกลม

เมื่อวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม ยังคงมีประเด็นต่อเนื่องจากกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อประเทศญี่ปุ่นว่าพร้อมจะกลับมาประเทศไทย รับการลงโทษ รวมทั้งกระแสข่าวการจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพื่อดันให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ คนที่  30

โดยนายทักษิณได้ทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ @ThaksinLive กรณีนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค พปชร.ระบุว่าพรรคเพื่อไทย (พท.) ดีลกับพรรค  พปชร.ให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ ในหัวข้อตอบวิรัช เรื่องยกตำแหน่งนายกฯ ให้ป้อม ว่า 1.ไม่ได้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทย 2.ไม่เคยสื่อสารกับนายวิรัชมานานมากแล้ว อีกทั้งไม่เคยคุยกับ พล.อ.ประวิตรมา 17 ปีแล้ว และ 3.มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง เชื่อว่าพรรคไม่โง่พอที่ยกตำแหน่งนายกฯ ให้ป้อม

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท.กล่าวเรื่องนี้ว่า เป็นอำนาจกรรมการบริหาร (กก.บห.) เท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสิน ว่าเราจะร่วมรัฐบาลกับใครได้บ้าง ฉะนั้นถ้าเราได้เสียง 310 ขึ้นไป เราไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปจับมือกับพรรคอื่นๆ หลายพรรค แต่อาจมีพรรคประชาธิปไตยเข้ามาร่วม เพราะการจะตั้งรัฐบาลได้ต้องได้ 376 เสียง และสิ่งที่นายวิรัชพูดถือว่าฝันกลางวันหรือไม่ กก.บห.พรรคไม่เคยมีมติเช่นนั้น เราไม่เคยตกลง ไม่เคยประสานกับนายวิรัช เรามุ่งหน้าแลนด์สไลด์ ไม่สนับสนุนคนอื่นเป็นนายกฯ ไม่ประสงค์ร่วมมือ พปชร. มีคนพยายามโหนพรรคเพื่อไทยหรือจ้องทำลาย คนที่ตัดสินใจว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลคือประชาชน ใครได้อันดับ 1 ควรได้จัดตั้งรัฐบาล ที่ว่าจะจับมือกับพรรค พปชร. พรรคโน้นพรรคนี้ เพ้อฝันทั้งสิ้น คนที่ออกมาพูดมีเจตนาแอบแฝงฉุดรั้งกระแสพรรคเพื่อไทย และยืนยันมุ่งมั่นเป็นรัฐบาล เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในระบอบการเมืองไทย และจะเกิดขึ้นได้ด้วยประชาชน  

 “วันนี้จะร่วมมือกันอย่างไร ก็ต้องเอานโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นนโยบายหลัก และนโยบายต้องไม่ขัดกับนโยบายหลักของ พท. ส่วนนโยบายพรรคอื่นๆ ต้องเป็นนโยบายรอง และไม่มีการต่อรองตำแหน่งหรือต่อรองกระทรวงกัน ถ้าเราได้ 310 เสียง เก้าอี้นายกฯ ก็จะเป็นของเรา ให้คนอื่นไม่ได้ เพราะจะขัดเจตนารมณ์ประชาชน” นายภูมิธรรมระบุ

นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมผู้สมัคร กทม. พรรค พปชร.ยอมรับว่ากระแสข่าวดังกล่าวมีทั้งบวกและลบ มีทั้งคนสนับสนุนและไม่สนับสนุนนายทักษิณ แต่ พล.อ.ประวิตร มองเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้ง จึงไม่สามารถบอกได้ว่าจะจับมือกับใคร ต้องรอหลังเลือกตั้งเพื่อดูจำนวนเก้าอี้ที่ได้มา และต้องดูพรรคอื่นด้วยว่ามีตัวเลขเพียงพอตั้งรัฐบาลหรือไม่ ตอนนี้อาจเร็วเกินไปที่จะประเมิน การจับมือล่วงหน้าไม่น่าเป็นไปได้เพราะทุกพรรคต้องแข่งกัน

บิ๊กตู่ไม่ตอบเรื่องการเมือง

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ปฏิเสธตอบคำถามทางการเมือง ทั้งเรื่องมอตโตของ พล.อ.ประวิตรที่ต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง รวมถึงเรื่องดีลลับระหว่างนายทักษิณกับ พล.อ.ประวิตร โดยทำเพียงส่ายศีรษะก่อนกล่าวขอโทษสื่อมวลชนว่า วันนี้นายกฯ  ทำหน้าที่อยู่ ฉะนั้นการเมืองไม่ควรจะมาถามนายกฯ ตรงนี้  ไว้บนเวทีอื่นแล้วค่อยมาถาม และเมื่อนายกฯ ขึ้นไปนั่งบนรถได้ลดกระจกลงพร้อมกล่าวว่า “โอเค ทุกคนช่วยกันทำงาน ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยเถอะ เราต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ว่ากันไปตามนั้น ทำงาน งานยังมีอีกเยอะ” จากนั้นนายกฯ ส่งยิ้มหวานให้ก่อนนั่งรถออกไป

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวเรื่องนี้ว่า ยังไม่รับทราบ อ่านจากข่าวเหมือนกัน ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยใดๆ เรื่องนี้ รอเลือกตั้งดีที่สุด หลังการเลือกตั้งทิศทางจะออกมาเอง รอผลเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า การไปทานข้าวกับ พล.อ.ประวิตรมีการพูดคุยถึงการจับมือจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า คิดมากไปหรือเปล่า ทำงานมาด้วยกัน 4 ปี กินข้าวกันมันแปลกตรงไหน และก็ไม่ได้ข้ามฟากไปกินกับอีกฟากหนึ่งเสียเมื่อไหร่ หากจะพูดคุยความลับกันจริงๆ พูดคุยเรื่องที่มีการวิเคราะห์ออกมาตามสื่อที่ไปตั้งรัฐบาลให้ใครเป็นนายกฯ  ถ้าจริงคงไม่คุยกันแค่ 8 คนมั้ง อันนั้นไม่มีความลับอะไร เป็นการไปกินข้าวกันธรรมดา

“ในวงการธุรกิจคู่แข่งเขายังมีนัดกินข้าวกันเพื่ออัปเดตสถานการณ์ อัปเดตตลาด อัปเดตปัญหาความต้องการหลายๆ เรื่อง ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในองค์กรแบบนี้ เราก็ไปอัปเดตสถานการณ์กัน มันไม่ใช่ความลับอะไรมากมาย มันไม่ใช่เป็นการรับประทานอาหารอย่างเป็นทางการ และถ้าเกิดมันจะลับจริงๆ ทำไมจะลับไม่ได้ อันนี้แสดงว่าไม่ได้มีความลับอะไร รูปถึงออกมา และไม่ได้มีการโวยวายอะไร” นายอนุทินกล่าว

เสี่ยหนูยันกติกาสากลมีอยู่แล้ว

ถามอีกว่า ถ้าอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้คะแนนน้อยกว่า ภท. จะหลีกทางให้ พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า กติกาสากลมีอยู่แล้วอย่าเพิ่งถามเลย ถามตรงนี้หากบอกคนนี้น้อยคนนี้มาก คนได้น้อยจะไม่พอใจหรือเสียกำลังใจ กติกาสากลมีอยู่แล้ว คะแนนมากต้องทำตัวอย่างไร  คะแนนน้อยต้องทำตัวอย่างไร เรื่องการเมืองไม่พ้นกติกาสากลเหล่านี้หรอก อย่าไปกังวล เย็นวันที่ 14 พ.ค.  เวลา 22.00-23.00 น. มันก็พอเห็นเค้าลางแล้ว แล้วเราค่อยดำเนินการอะไรจากนั้นไป ตอนนี้พูดอะไรไปสิ่งที่กลัวที่สุดคือ มันจะเหมือนกับว่าไม่ให้เกียรติพี่น้องประชาชน ซึ่งตรงนี้กลัวมาก ฉะนั้นคงจะไม่ให้สัมภาษณ์ในเรื่องทิศทางใดๆ จนกว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาแล้ว

เมื่อถามว่า จะมีสูตรที่นายกฯ มาจากพรรคเสียงน้อย แต่ได้เป็นนายกฯ เพราะเลือกกันในสภาหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “โอ้โห มันตายทั้งเป็นนะ คงไม่มีใครกล้าหรอกที่จะทำอย่างนั้น อย่าลืมว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่เราใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ในการกำหนดว่า ส.ว.มีส่วนร่วมในการเลือกนายกฯ แต่ในที่สุดนายกฯ ต้องอยู่ได้เพราะ ส.ส. แต่ท่าน  ส.ว.ภายเรือมาส่ง แต่จะอยู่คอยประคับประคองไม่ได้ มีปัญหามานั่งเรือ ส.ว.ไม่ได้ พายเรือมาแล้วต้องมาส่งทอดเข้าไปในเรือ ส.ส. สุดท้ายถ้า ส.ส.พวกไม่มากพอก็อยู่ไม่ได้  แล้วใครเขาอยากจะไปอยู่ในสภาพนั้น ซึ่งไม่กังวลตรงนั้นเลย"

นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.)  กล่าวถึงรัฐบาลเสียงข้างน้อยว่า ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ หรือถ้าเป็นไปได้คิดว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยน่าจะมีอายุเพียงแค่ 2 เดือน ไม่ถึง 3 เดือนด้วยซ้ำ คือไม่ถึง 1 ไตรมาส เพราะการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้นต้องไปฝ่าฟันศึก ตั้งแต่การอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีวาระ 1 ซึ่งหากหวังไปซื้องูเห่ามาเหมือนเมื่อก่อนไม่คิดว่าจะทำได้ง่าย

 “รัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นสิ่งที่ในทางปฏิบัติมันเกิดขึ้นไม่ได้ และพรรค ชทพ.คงไม่ดำเนินการด้วย เพราะต้องเป็นไปตามครรลองตามประเพณีที่เราปฏิบัติกันมา และไม่ใช่แนวทางของพรรคที่เราต้องการความยั่งยืนในการตั้งรัฐบาล” นายวราวุธระบุ

วันเดียวกัน ยังคงมีประเด็นที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์จะกลับประเทศไทยโดยยอมติดคุก โดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) กล่าวว่า  ท่านคงพูดออกมาจากใจ เหมือนกับเปิดเผยความรู้สึกความในใจว่าไปอยู่เมืองนอกมา 16 ปี และคิดถึงเมืองไทย คิดถึงลูกคิดถึงหลาน ก็อยากใช้โอกาสช่วงสุดท้ายบั้นปลายชีวิตอยู่ที่เมืองไทยกับลูกกับหลาน โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่จะต้องมาออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ท่านแต่อย่างใด ก็เป็นความชัดเจนเป็นความในใจของท่าน

“ผมเคยทำงานกับท่านและรู้จักท่านมานานแล้ว และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาท่านตอนที่ท่านเป็นนายกฯ ท่านเป็นคนที่รักครอบครัว ฉะนั้นการตัดสินใจอะไรต่างๆ ของท่านก็อย่างที่ท่านได้พูดแล้วว่าบั้นปลายชีวิตก็อยากมาอยู่กับลูกกับหลาน โดยไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง” นายสุวัจน์กล่าว

นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเพื่อชาติไทย กล่าวเรื่องนี้ว่า เป็นเกมการเมืองเพื่อสร้างกระแสทางการเมืองในช่วงเลือกตั้ง ตามเป้าหมายแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งมั่นใจว่าไม่มีแลนด์สไลด์และนายทักษิณไม่ได้กลับบ้านแน่นอน 

ซัดใจอำมหิตกว่าเผด็จการ

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยยกให้นายทักษิณเป็นผู้นำจิตวิญญาณของพรรค รวมทั้งเปรียบเทียบยุทธศาสตร์เลือกตั้งของกลุ่มแคร์คิดเคลื่อนไทย เหมือนคนหิวโซ 4 คนเดินกลางทะเลทราย แต่ทั้งหมดเหลือขนมปังแผ่นเดียว จึงแบ่งกันกินไม่ได้เพราะจะตายกันหมด จึงต้องให้คนใดคนหนึ่งกินเพื่อจะมีชีวิตรอด ดังนั้นยุทธศาสตร์แบบนี้จึงสะท้อนถึงการเห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว เมื่อคนอื่นตายหมดเหลือแต่วิญญาณ จึงได้เป็นผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย ด้วยตรรกะการเมืองแบบนี้จะเห็นถึงฝ่ายเรียกตัวเองเป็นประชาธิปไตย แต่ใจอำมหิตกว่าเผด็จการมาก นอกจากนี้ยังไม่เคยได้ยินฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลเดิมเลย ว่าถ้าเลือกพ่วงร่วงกันหมด มีแต่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวที่คิดหลอกประชาชน แล้วยังไม่เห็นหัวพรรคฝ่ายเดียวกัน แล้วในอนาคตจะร่วมมือทางการเมืองกันได้อย่างไร

“นายทักษิณและพรรคเพื่อไทยเดินงานการเมืองขณะนี้  มาจากเป้าหมายหลักอย่างเดียวคือ การปั่นกระแสชี้นำทางการเมืองแบบไร้มนุษยธรรม ถ้าเป็นประชาธิปไตยที่ดี ประชาชนต้องตัดสินใจได้ สิ่งสำคัญต้องไม่ใช่การเสนอทฤษฎีเอาตัวรอดเพียงคนเดียวหรือพรรคเดียว แล้วให้เพื่อนตายกันหมดในบรรดาฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าฟังภาษาเลือกพ่วงร่วงกันหมด ต้องเลือกให้ชนะขาด หรือไม่แบ่งใจให้ใคร  ไม่แบ่งคะแนนให้ใคร ผมว่าต้องคิดกันใหม่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ไปร่วมกับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยต้องสร้างแรงศรัทธาให้เกิดทางเลือกอีกสายหนึ่งให้ได้ เพราะซีกนี้อำมหิตพร้อมฆ่าเพื่อนทั้งหมด” นายจตุพรระบุ

นายจตุพรยังกล่าวถึงการที่นายทักษิณบอกจะกลับบ้านว่า คำพูดกลับบ้านไม่กี่วันนั้นได้เปลี่ยนแปลงใหม่ในสาระสำคัญแล้ว โดยให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 24 มี.ค.บอกจะกลับในปี 2566 ไม่มีนิรโทษกรรม แต่พูดเมื่อวันที่ 26 มี.ค.บอกว่าจะกลับแน่ในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งกว้างอย่างไร้อาณาเขตกว่าคำพูดว่าภายในปีนี้ แต่วันที่นานกว่าปีนี้ก็คือวันใดวันหนึ่ง

“ทุกครั้งที่นายทักษิณนำทุกอย่าง ทั้งความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน ชีวิตเลือดเนื้อของผู้ชุมนุม สมคบยอมแลกประชาธิปไตยกับให้รัฐประหาร การแลกนี้เป็นการแลกเพื่อให้ได้กลับบ้าน แต่การพูดกลับบ้านครั้งล่าสุดนั้นแลกเพื่อให้ได้คะแนนเสียง” นายจตุพรระบุ

นายจตุพรกล่าวอีกว่า การประกาศของนายทักษิณนั้น  เมื่อสัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นบอกจะได้เสียงเกิน 250 แต่มาอีกวันบอกได้มากเท่าการเลือกตั้งปี 2548 คือ 377 เสียง แต่ที่สุดยังยอมรับในรัฐบาลผสม โดยมีความเชื่อว่า ส.ว.บางส่วนจะมาโหวตให้ ส่วนพรรคเพื่อไทยหาเสียงในประเทศประกาศปิดสวิตช์ ส.ว. เลือกพรรคเพื่อไทยชนะขาด แล้วจะให้ฟังใคร

อัดแม้วไม่อยู่กับร่องกับรอย

“ถ้าฟังนายทักษิณก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย ตามทฤษฎีกลับบ้านล่าสุดในวันใดวันหนึ่ง วันนี้พูดอย่างแล้ววันต่อไปล่ะ แค่พูดสองสำนักข่าวยังมีนัยแตกต่างกันคนละอย่าง จึงชี้ได้ชัดว่าการไม่อยู่กับร่องกับรอยทุกคนจึงไม่เชื่อ เพราะคนที่มีสัจจะจะพูดกี่ครั้งก็เหมือนกัน แต่การพูดไม่เหมือนกัน และไร้สัจจะจึงไม่ได้รับการเชื่อถือ”

นายจตุพรกล่าวว่า การเลือกตั้ง 14 พ.ค.มั่นใจได้ว่า นายทักษิณไม่กล้ากลับบ้าน อย่างเก่งจะมาทำท่าเกาะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น เพื่อแสดงพฤติกรรมหลอกลวงว่าจะกลับมาแล้ว ซึ่งความจริงแล้วนายทักษิณต้องกลับมาตั้งแต่พูดครั้งแรกแล้ว ทำไมจึงต้องพูดถึง 18 ครั้ง แสดงถึงพฤติกรรมโกหกได้ชัดเจน ซึ่งผู้นำที่กล้าหาญทำสงครามยาเสพติดเด็ดขาด ปราบปรามปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่นายทักษิณไม่เคยรักษาคำพูดอะไรเลย นายทักษิณเด็ดขาดแต่กับชีวิตคนอื่น แต่ชีวิตของตัวเองไม่เคยมีความเด็ดขาด ให้โอกาสตัวเองตลอดเวลา แต่ไม่เคยให้โอกาสคนอื่นเขาเลย

“วิธีการแบบนี้ของทักษิณจึงสะท้อนถึงแนวคิด ถ้าเลือกพ่วงร่วงกันหมด จึงเป็นแนวทางการเห็นแก่ตัวในขั้นสูงสุดเลย เพราะในสังคมนี้มีคำว่าถ้าจะรอดต้องรอดด้วยกัน ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน แต่วิถีผู้นำแบบทักษิณกลับเป็น ถ้าเลือกพ่วงเราจะตายกันหมด และเมื่อเริ่มต้นด้วยการถูกหลอก แล้ววันใดวันหนึ่งไปยกมือให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ ประชาชนจะมีความรู้สึกอย่างไร ดังนั้นพฤติกรรมหิวคะแนนเสียงของเพื่อไทยและนายทักษิณ จึงสำแดงออกด้วยการกวาดกินเรียบทั้งโต๊ะ ปล่อยให้เพื่อนอดตายหมด สิ่งเหล่านี้จึงไม่อาจปล่อยให้คนแบบนี้ปกครองบ้านเมืองได้” นายจตุพรกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง