รบ.จัดเต็มรับ‘สงกรานต์’ สั่งเข้มห้ามขึ้นราคาสินค้า

รัฐบาลเชื่อเทศกาลสงกรานต์ 2566 เงินสะพัด “บิ๊กตู่”  ห่วงใยประชาชน ขอให้เตรียมความพร้อม จัดเต็มทั้งเรื่องตรวจสภาพรถฟรี   การใช้สิทธิรักษาพยาบาล พร้อมกำชับร้านค้า-ตลาดสด ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาโขกคนกลับบ้าน-นักท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับการทำงานเพื่อรองรับการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2566 มั่นใจว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้จะมีตัวเลขการใช้จ่ายเข้าในระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยผลสำรวจศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าจะมีการใช้จ่ายถึง 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ท่าอากาศยานไทยคาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางกว่า 2.37 ล้านคน เพิ่มขึ้น 137.48% เมื่อเทียบกับปีก่อน

“นายกฯ ห่วงใยประชาชน ขอให้เตรียมการก่อนการเดินทางท่องเที่ยวด้วยความระมัดระวัง ทั้งอากาศที่ค่อนข้างร้อน ตรวจสภาพรถก่อนออกเดินทาง และการขับขี่อย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ แม้ความกังวลต่อโรคโควิด-19 จะลดลง แต่อย่าชะล่าใจ เพื่อลดความเสี่ยง ขอให้ประชาชนทุกคนระมัดระวัง ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์”

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวพักผ่อนช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ จึงได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน และรณรงค์ลดอุบัติเหตุ โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้ให้บริการตรวจเช็กสภาพรถฟรี ก่อนเดินทางช่วงสงกรานต์

 “แจ้งข่าวดีมายังพี่น้องประชาชนสามารถนำรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เข้ารับบริการได้ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด ที่มีที่ตั้งติดกับถนนสายหลักได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ถึง 12 เม.ย.2566 ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย” น.ส.ทิพานันระบุ

ขณะที่ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า จากข้อมูลกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (ศปถ.) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2565 ภาพรวมสถิติอุบัติเหตุ ตั้งแต่วันที่ 11-17 เม.ย.เกิดอุบัติเหตุรวม 1,917 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 1,869 คน ผู้เสียชีวิต 278 ราย รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชน เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วย สามารถใช้สิทธิ์ Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP ได้ คือ 1.กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินระดับวิกฤต หากไม่รักษาทันทีมีโอกาสเสียชีวิตสูง สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ที่สถานพยาบาลทุกแห่งที่อยู่ใกล้สุดโดยเร็ว และ 2.กรณีเจ็บป่วยที่ไม่ใช่ฉุกเฉินระดับวิกฤต หรือกรณีผู้มีสิทธิบัตรทองที่เดินทางไปต่างถิ่นแล้วมีความจำเป็นต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล   ให้เป็นไปตามข้อบังคับ สปสช. ว่าด้วยการใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขกรณีที่มีเหตุสมควร

น.ส.รัชดายังกล่าวว่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ยังได้กำชับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศออกตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างใกล้ชิด ในช่วงที่คนเดินทางออกต่างจังหวัด เพื่อกลับภูมิลำเนาและเดินทางท่องเที่ยว โดยเน้นย้ำให้ตรวจสอบต่อเนื่องจนถึงวันที่ประชาชนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบประชาชน

“พื้นที่ที่ต้องตรวจสอบ ได้แก่ สถานีขนส่ง ทั้งหมอชิต สายใต้ใหม่ เอกมัย สถานีขนส่งของเอกชน สถานีรถไฟ สถานีรถไฟที่เป็นเมืองท่องเที่ยว สนามบิน ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง และสนามบินในส่วนภูมิภาค รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ จะตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั๊มน้ำมัน) โดยจะตรวจสอบความถูกต้องของหัวจ่าย” น.ส.รัชดากล่าว และว่า หากประชาชนพบเห็นการกระทำผิด จำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร หรือจำหน่ายในราคาไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือร้องเรียนได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ

นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมได้ร่วมมือกับสมาคมตลาดสดไทย และสมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย ที่มีสมาชิกประมาณ 100 ตลาด และตลาดในความส่งเสริมของกรมอีกประมาณ 500 ตลาด จะร่วมกันคุมเข้มพ่อค้าแม่ค้าและร้านค้าในตลาดให้ใช้เครื่องชั่งที่ถูกต้อง เที่ยงตรง ใช้เครื่องชั่งที่ได้รับการตรวจรับรอง และปิดป้ายแสดงราคาสินค้าทุกตลาด เพื่อรองรับช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีประชาชนเดินทางกับภูมิลำเนา และเดินทางท่องเที่ยว ทำให้มีความต้องการซื้อสินค้าอาหารสดเพื่อนำไปประกอบอาหารและบริโภคเพิ่มขึ้น

“หากพบการกระทำความผิด โดยความผิดในเรื่องเครื่องชั่ง จะมีโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 280,000 บาท และความผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายให้ชัดเจน จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท แต่หากเป็นการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาโดยไม่เป็นธรรม มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังได้ร่วมกับตลาดกำหนดโทษเพิ่มเติมคือ หากพบการกระทำความผิด จะมีมาตรการลงโทษตามขั้นตอน ตั้งแต่การทำทัณฑ์บน การปรับ และการให้หยุดจำหน่ายสินค้า หรือปรับร้านค้าออกจากตลาด” นายกรนิจกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รมต.ใหม่ถวายสัตย์ เศรษฐานำเข้าเฝ้าฯ3พ.ค. แม้วควงสุวัจน์ทัวร์ภูเก็ต

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ "มาริษ" เป็น รมว.ต่างประเทศ "นายกฯ" เตรียมนำ รมต.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ 3 พ.ค.นี้