เลิกโยนบาปค่าไฟ ‘บิ๊กตู่’สวนเจ็บร่วมรัฐบาลกันมา4ปี/พท.รุกโซเชียล

"บิ๊กตู่" ยัวะพรรคร่วมรัฐบาลโยนความผิดนายกฯ อย่างเดียว   บอกทำงานร่วมกันดีก็ดีด้วยกัน พลาดก็รับผิดด้วยกัน ช่วงบ่ายลาราชการนั่งโต๊ะนำทีมเศรษฐกิจ รทสช.แถลงเปิดนโยบายชุดใหญ่ โชว์ 16 นโยบาย ทำทันที 10 นโยบาย สานต่อคนละครึ่งภาค 2 พร้อมหาเงินเข้าประเทศ 4 ล้านล้าน "ทูตอียู" 15 ปท.เข้าพบ "อนุทิน" ซักสถานการณ์การเมือง "จุรินทร์" ลุยหาเสียง ย้ำ 4 ทำ 3 ไม่ เดินหน้าประชาธิปไตยไม่โกง "อิ๊งค์" เตือนผู้สมัครเพื่อไทยโค้งท้ายอย่าประมาท

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 26 เม.ย.  เวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม  ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมลงพื้นที่ภาคใต้จะมีการวางยุทธศาสตร์ใหม่ๆ อย่างไรเพื่อให้คนใต้เลือกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า ความจริงยุทธศาสตร์มีของมันอยู่แล้ว 6 ยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลทำมาโดยตลอด และทุกคนที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลและแยกไปหาเสียงทุกวันนี้ก็อยู่ในรัฐบาล และดำเนินการตามยุทธศาสตร์นี้มาทุกพรรคการเมือง  ฉะนั้นวันนี้ก็ไม่ควรที่จะมาโจมตีกันเองมากนัก ควรจะไปบอกว่าจะทำอะไรเมื่อตัวเองเป็นรัฐบาล พูดอย่างนี้น่าจะดีกว่า  ก็ทำให้มันดีขึ้นก็แล้วกัน

"การมาติติงกันเองก็อย่าลืมว่าอยู่ในรัฐบาลเดียวกันมาโดยตลอดหลายปี หรือ 4 ปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นอย่าเอาตรงนี้มาโดยทุกอย่างโยนมาที่ผม อย่าลืมว่าผมประชุมมาในคณะรัฐมนตรี ผมก็รับฟังความคิดเห็นจากทุกคน ทุกรัฐมนตรี ถือเป็นการทำงานที่บูรณาการร่วมกัน เพราะบางอย่างก็ไม่ใช่จะตัดสินได้ด้วยตัวเอง อย่าลืมว่าผมไม่มีกระทรวงที่จะลงมาเล่นเองทั้งหมด ก็มีเพียงกระทรวงกลาโหมใช่หรือไม่ที่ผมสั่งการได้ กระทรวงอื่นผมก็สั่งการในที่ประชุม ครม. นโยบายต่างๆ ก็มอบใน ครม.  ยุทธศาสตร์ก็ให้เป็นแนวทางและแนวปฏิบัติไปทั้งหมด หน้าที่ของผมคือกลั่นกรองโครงการทุกโครงการที่มีการเสนอเข้ามาเพื่อให้เกิดความสอดคล้อง จึงทำมาได้ถึงขนาดนี้ นี่คือการทำงาน ซึ่งถ้ามันจะดีก็ดีด้วยกัน แต่ถ้าผิดพลาดก็ถือว่าผิดพลาดด้วยกัน อย่างไรก็ตาม วันนี้ผมก็รับได้ใครจะว่าอะไรผม ผมก็รับได้ทั้งหมดนั่นแหละ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ถามว่าโกรธบ้างหรือไม่ที่เวลานี้มีการโยนความผิดให้กับนายกฯ เพียงคนเดียว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปฏิเสธว่า ไม่หรอก แต่ก็อยากให้ทุกอย่างมันคิดกันใหม่ๆ บ้าง ไม่ใช่โจมตีกันไปกันมา และลืมไปว่าตัวเองก็ทำงานอยู่ด้วยกัน เมื่อวันที่ 25 เม.ย.ก็พูดใน ครม.ไปแล้ว และทุกคนก็เข้าใจดี

เมื่อถามว่า วันนี้ยังมีการหยิบยกเอาเรื่องพลังงานที่ประชาชนกำลังได้รับความเดือดร้อนมาโจมตี และโยนให้เป็นความรับผิดชอบของนายกฯ คนเดียว  พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็คุยกันแล้ว   เมื่อวานก็มีการชี้แจงใน ครม. ซึ่งทุกคนก็รับทราบและเข้าใจแล้วนี่นา

ถามว่า แต่เมื่อต่างคนต่างกลับไปที่พรรคตัวเองก็กลับมาโจมตีนายกฯ ว่าไม่รับผิดชอบอะไรเลย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า ไม่รับผิดชอบอย่างไร อะไรคือไม่รับผิดชอบ สื่อมวลชนก็ช่วยอธิบายต่อให้เราบ้างสิ ฉันขี้เกียจตอบ ตอบไปมากแล้ว ไปเข้าให้ถึงรายละเอียดกันเสียบ้าง

จากนั้นช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์ได้ลาราชการและเดินทางเข้าที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค โดยสวมเสื้อโปโลสีน้ำเงินโลโก้พรรคคลุมทับด้วยเสื้อสูทลำลอง รองเท้าผ้าใบ ใช้รถยนต์ส่วนตัว ทะเบียน ญค 1881 กรุงเทพมหานคร เดินทางเข้าที่ทำการพรรค มีนายจุติ ไกรฤกษ์ รองหัวหน้าพรรค และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรค ให้การต้อนรับ ก่อนเข้าห้องรับรองเพื่อเตรียมแถลงข่าวภายใต้หัวข้อ  "ประชาชนจะได้อะไรจากนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติ"

บิ๊กตู่นำทีมเปิดนโยบาย ศก.

เวลา 14.30 น. พล.อ.ประยุทธ์นำแถลงข่าว พร้อมด้วยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค, นายจุติ, นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรค, นายอนุชา นาคาศัย รองหัวหน้าพรรค, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค, นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจ และ นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ประธานคณะกรรมการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สิ่งที่พูดวันนี้เป็นสิ่งที่เราได้ทำมาแล้วหลายปี หลายอย่างสำเร็จ หลายอย่างยังไม่สำเร็จ และหลายอย่างอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งมีอุปสรรคมากมาย ในส่วนของพรรคทำแบบมีระบบ มีวิธีคิด คำนึงถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่พูดแล้วไม่มีวิธีการทำ หลายพรรคพูดถึงนโยบาย แต่ตนจะไม่ไปแตะต้องใครทั้งสิ้น แต่นโยบายต้องคิดให้รอบคอบ ต้องมีคำตอบ ผลที่ต้องการได้คืออะไร ผลบรรลุคืออะไร มีต้นทุนยังไง ไม่ใช่นโยบายออกไปแล้วหาเงินไม่ได้ มีผลด้านเดียว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า พรรค รทสช.ไม่ใช่พรรคที่มีเฉพาะคนอายุเยอะๆ จริงๆ แล้วมีทุกช่วงวัย ประเทศไทยมีหลายช่วงวัย เราดูแลคนทุกๆ วัย นี่คือประเทศไทยของเรา ประชาชนของเรา​ หากรอฟังเฉพาะให้ไอ้นี่ได้ไอ้นั่น แล้วไม่ต่อเนื่อง ไม่ยึดโยงกับสิ่งที่ตนพูด จะทำให้ทุกอย่างไปต่อไม่ได้ เราต้องระมัดระวังในการบริหารราชการแผ่นดิน เราจะต้องทำในสิ่งที่ทำได้ ทำให้เป็น ทำให้ถูก ทำให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ตรงกับสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องให้ได้มากที่สุด เพราะฉะนั้นนโยบายที่แถลงจะเกี่ยวข้องกับปากท้องและความเป็นอยู่ของประชาชน หลายเรื่องเป็นนโยบายที่ทำแล้ว ทำอยู่ทำต่อ นโยบายใน 1 ปีเราจะทำอะไรบ้าง จะค่อยๆ ปล่อยออกไปบางอย่าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับอายุรัฐบาล แต่หากเอาหลักการเหล่านี้มาก็จะต่อเนื่องไปโดยตลอด

"สิ่งเหล่านี้เป็นนโยบายที่เกิดขึ้นได้จริง มีการหาข้อมูลสำรวจ เป็นข้อมูลจากหลายภาคส่วน และมาช่วยกันดูที่ใช้วิธีการอย่างไร และจะใช้งบประมาณเท่าใด มีเงินหรือไม่ และจะหาเงินอย่างไรมาจากที่ไหน พร้อมยืนยันว่านโยบายที่แถลงในวันนี้สามารถทำได้อย่างแน่นอน​ แต่สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้ประเทศที่มีรายได้ 4 ล้านล้านบาท เพื่อที่จะสามารถดูแลคนได้ทุกกลุ่มทุกเป้าหมาย ทำให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมเป็นกังวลคือการศึกษา การเกษตร คือคนส่วนใหญ่ของประเทศจะต้องมีการปรับ ผมพยายามทำมาหลายปีแล้ว จะต้องไปดูเรื่องกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการศึกษา แต่ทั้งหมดต้องอาศัยความร่วมมือความเข้าใจ บังคับไม่ได้ หากบังคับก็ไม่สำเร็จสักที​ เพราะประชาชนคือความรับผิดชอบของรัฐบาล และยังต้องปรับปรุงแก้ไข ต้องเจอเรื่องพวกนี้ทั้งนั้นไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล และผมเป็นประธานยุทธศาสตร์ ทุกวันพูดจะนึกว่าทำเองข้างล่างไม่ไหว ต้องให้คนที่เป็นคนทำได้พูด" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวบรรดาแกนนำพรรคต่างยืนยันการทำงาน โดยนายสุชาติย้ำว่า ทุกนโยบายถ้ารวมไทยสร้างชาติได้เป็นแกนนำรัฐบาลพร้อมทำทันที ขณะที่นายจุติยันไม่ใช่นโยบายเหวี่ยงแห ไม่แตะต้องบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

ชูหาเงินเข้าปท. 4 ล้านล้าน

สำหรับนโยบายของพรรค รทสช.ที่เปิดวันเดียวกันนี้ 16 นโยบาย ประกอบด้วย 1.เพิ่มรายได้ประเทศไทยปีละ 4 ล้านล้านบาท คือเศรษฐกิจโตปีละ 5%, รายได้ต่อคนเพิ่มขึ้นปีละ 20,000 บาท, สร้างงานเพิ่ม 6.25 แสนตำแหน่ง 2. เพิ่มศักยภาพประเทศไทยคือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย, ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) และระเบียงเศรษฐกิจใหม่ 4 ภาค รวมถึงเป็นศูนย์กลางภูมิภาคประเทศสู่อาเซียนและจีนตอนใต้, พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล, สร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ 3.ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกระจายเม็ดเงินถึงคนตัวเล็ก คือ ไฟฟ้าราคาถูกสำหรับผู้มีรายได้น้อย, คนละครึ่งภาค 2, เที่ยวด้วยกันเมืองรองภาค 2, เพิ่มเงินสมทบของรัฐให้แรงงานในระบบประกันสังคมมีรายได้ไม่ต่ำกว่าคนละ 10,000 บาทต่อเดือน

4.กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากช่วยเหลือเกษตรกรและชาวประมง 5.สร้างโอกาสให้คนตัวเล็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลคือ เน็ตประชารัฐ, พร้อมเพย์, แอปเป๋าตัง, แอปถุงเงิน, แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ, ดาต้าเซ็นเตอร์ระบบคลาวด์ 6.แก้หนี้ คือ แช่แข็งหนี้สูงสุด 3 ปีตามเงื่อนไขโครงการแก้กฎหมายเครดิตบูโรให้ความเป็นธรรมแก่ลูกหนี้ 7.กองทุนฉุกเฉินประชาชนวงเงิน 30,000 ล้านบาท เป็นที่พึ่งยามลำบากให้ประชาชนปลดพันธนาการเงินนอกระบบ 8. ประกันสังคมทั่วหน้าทุกอาชีพคืนเงินสะสมชราภาพ 30% ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ผู้ประกันตนสามารถนำเงินสะสมมาใช้ก่อนยามจำเป็น 9.เข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข 1 อำเภอ (เขต) 1 โรงพยาบาลวิสาหกิจเพื่อสังคม, 1 ศูนย์ผู้สูงอายุคนพิการและผู้ป่วยโรคร้ายระยะสุดท้าย 10.ดูแลกลุ่มเปราะบาง เบี้ยผู้สูงอายุคนละ 1,000 บาท เท่ากัน ทุกช่วงของอายุ, เพิ่มเงินช่วยดูแลบุตรแรกเกิดถึง 10 ปี จากเดิม 800 บาท เป็นเดือนละ 1,000 บาท จากเดิม 800 บาท (สำหรับแรงงานในระบบประกันสังคม) มีประมาณ 12 ล้านคน

11.ลดค่าครองชีพ นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรี, ไฟฟ้าราคาถูกสำหรับเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย, โครงการแท็กซี่เพื่อสังคม, ลดหย่อนภาษีค่ารักษาพยาบาลตนเองและพ่อแม่สูงสุด 60,000 บาท และออมเงินหักลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน LTF 12.บัตรสวัสดิการพลัส เพิ่มสิทธิ์เดือนละ 1,000 บาท/คน, กู้ฉุกเฉิน 10,000 บาท/คน 13.สร้างโอกาสเด็กไทยคงการอยากเรียนอะไรต้องได้เรียน, ทุนการศึกษาอาชีวะ 100 ทุนต่อ 1 อำเภอ (เขต) ทุนละ 10,000 บาท, โครงการเรียนจบมีงานทำ 14.รื้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคการทำกิน 15.ลดฝุ่น PM 2.5 และ 16.พัฒนาที่อยู่อาศัย ต่อยอดโครงการบ้านสุขประชา ฟื้นฟูแฟลตดินแดง เฟส 2 เป็นต้น

ส่วนนโยบายที่ “พร้อมทำ” 10 นโยบาย ประกอบด้วย 1.เพิ่มสิทธิบัตรสวัสดิการพลัส เพิ่มสิทธิ์เดือนละ 1,000 บาท/คน, กู้ฉุกเฉิน 10,000 บาท/คน 2.ตั้งกองทุนฉุกเฉินประชาชน วงเงิน 30,000 ล้านบาท 3.คืนเงิน 30% เงินสะสมชราภาพผู้ประกันตน มาตรา 33

4.แก้หนี้แช่แข็งหนี้ปลดหนี้ด้วยงาน 5.รื้อกฎหมายที่รังแกประชาชนและที่เป็นอุปสรรคการทำกิน 6.ลดหย่อนภาษี ค่ารักษาพยาบาลตนเองและพ่อแม่รวมสูงสุด 60,000 บาท 7.เบี้ยตอบแทนอปพร.คนละ 1,000 บาท/เดือน 8.ออมเงินพร้อมลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน LTF 9.ลดต้นทุน เกษตรกร ปุ๋ย น้ำมัน ไฟฟ้า ราคาถูก และ 10.ไม่เลิกเงินบำนาญ ให้ข้าราชการเลิกเงินสมทบ กบข.ได้ก่อน 30%

ทำงานเครียดนอนไม่หลับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าวเปิดนโยบายพรรค พล.อ.ประยุทธ์ได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวอย่างอารมณ์ดี โดยเปิดเผยถึงการสวมแหวนที่นิ้วนางทั้ง 2 ข้าง ข้างละ 2 วง ว่าบังเอิญแหวนที่ใส่ประจำหาไม่เจอ ก็เลยหยิบแหวนพระและแหวนที่เห็นมาใส่ด้วย เมื่อถามว่าถือเคล็ดถือดวงอะไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มีหรอก แหวนที่ใส่เป็นแหวนพระให้มาและแหวนนพเก้า

ถามต่อว่า เวลาคลายเครียดทำอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็คุยกับสื่อไง ก็คลายเครียดแล้ว ที่เครียดเพราะคิดและเขียนทั้งวัน เมื่อถามอีกว่าวันนี้เครียดอะไรที่สุด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คิดเยอะ เพราะเรื่องมันเยอะ เพราะงานปกติก็มีเยอะ ต้องเซ็นเอกสาร มีเรื่องมาให้ตัดสินใจ ไม่ได้ว่าง เรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาปรึกษาหารือให้ตัดสินใจ และวันนี้ก็มาทำตรงนี้ด้วย และเมื่อมาทำตรงนี้ก็เครียดไปหน่อย รวมถึงนอนไม่ค่อยหลับเพราะคิดเยอะ อารมณ์ก็ค้าง
เมื่อถามอีกว่า ถ้าหากนอนไม่หลับแล้วทำอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็กินยานอนหลับ แต่บางทีกินยาก็ไม่หลับ เดี๋ยวต้องเลิกกิน เพราะกินมากๆ ก็ไม่ดี แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น แต่เวลาก็มีจำกัด ตอนนี้เขาให้ทานข้าวให้ครบหมู่ จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่ากินนมอุ่นๆ บ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้อนถามว่า “กินแล้วจะได้ตัวใหญ่ แข็งแรงแบบนี้หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นจะรับไป ภรรยาสั่งไว้แล้วว่าต้องกินข้าวให้ครบหมู่โปรตีน เพราะผมไม่ค่อยได้ทาน แว้บๆ แล้วก็ไป เป็นคนคิดเร็วทำเร็ว เดินทางเร็ว ถามหมอแล้วหมอบอกว่าผอมลง”
ถามต่อว่า ได้กินอาหารเสริมอะไรอีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ได้กิน น้ำหนักลดลงไป 5-6 กิโล เพราะทานข้าวไม่ค่อยลง เวลาเครียดกินข้าวไม่ค่อยได้ และวันนี้คิดๆ ก็กินข้าวไม่อร่อย ข้าวกลางวันบางทีตั้งไว้ เอาน้ำแกงราดๆแล้วก็กิน เมื่อถามย้ำว่าที่เครียดเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่หรอก เราไม่ต้องการให้ทุกคนมาสงสารเราตรงนั้น ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าเราทำเพื่ออะไร สุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่เท่าเดิม เพราะอายุมากขึ้น และน้ำหนักลดลง การออกกำลังกายก็ลดน้อยลง วันนั้นเตะตะกร้อยังไม่โดนเลย
เมื่อถามอีกว่า ท่านเคยบอกว่าอายุมากก็ประสบการณ์มาก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวทันทีว่า ก็ใช่ไง ที่นั่งพูดอยู่นี่ไม่ใช่ประสบการณ์หรือไง พอพูดอะไรไปก็โดนด่าทุกเรื่องอยู่แล้ว เราพูดไปก็โดนทุกเรื่อง ไม่ได้มีการทวงบุญคุณกับใคร เพียงแต่เล่าให้ฟัง ถ้าพูดอย่างนี้เดี๋ยวคนก็จะบอกว่าเหนื่อยมาก แก่มากแล้วก็กลับไปนอนบ้าน พูดไปก็เหนื่อยเปล่า
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรค รทสช. และคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค กล่าวถึงมติ ครม.ที่ขออนุมัติงบประมาณรวม 11,112 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนบรรเทาปัญหาค่าไฟแพงว่า อยากวอนทุกพรรคการเมือง อย่าบิดเบือนประเด็นนี้เลย ก่อนหน้านี้ก็หาว่ารัฐบาลไม่ช่วยเหลือประชาชน พอเสนองบประมาณไปก็บอกว่าหาเสียง อยากให้ท่านลดอคติกันลงบ้าง

ทูตอียู 15 ปท.หารือ 'อนุทิน'

ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข (สธ.) ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และนายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรค แถลงภายหลังคณะเอกอัครราชทูตจากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) 15 ประเทศ อาทิ ออสเตรีย เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ สเปน สวีเดน เป็นต้น เข้าพบเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์ของประเทศไทย

นายอนุทินกล่าวว่า เอกอัครราชทูตจากอียูได้หารือถึงสถานการณ์การเมือง สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ตลอดจนแนวทางและเจตนารมณ์ของพรรคภูมิใจไทยที่มีต่อประเทศกลุ่มประชาคมยุโรป ซึ่งเป็นการหารือที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและความเข้าใจ โดยมีการถามถึงความคาดหวังว่าจะต้องมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างไรบ้าง ซึ่งตนได้เล่าถึงความพร้อมของพรรคภูมิใจไทยต่อการเลือกตั้ง นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตจากอียูยังถามถึงท่าทีของพรรคหลังการเลือกตั้ง ซึ่งตนยืนยันพรรคยังไม่ได้พูดคุยกับใครในการกำหนดทิศทางทางการเมือง พรรคจะยึดมั่นในกติกาทางการเมืองที่เป็นสากล โดยพรรคลำดับแรกต้องได้จัดตั้งรัฐบาลก่อน ให้เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย พรรคที่ได้ ส.ส.มากกว่าก็เป็นแกนนำดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และตำแหน่งต่างๆ ต้องเป็นไปตามกติกา

นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตอียูได้สอบถามถึงสถานการณ์การเลือกตั้งว่าจะมีการยุบพรรคอีกหรือไม่ ซึ่งเราได้แจ้งว่า เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เข้าใกล้ระบอบประชาธิปไตยมากที่สุด ส่วนที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยคือการเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ยังมี ส.ว. แต่เราก็บอกว่าให้พ้นไปตามกาลเวลา ซึ่งในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ปีหน้า ส.ว.ก็หมดอำนาจตรงนี้ไปแล้ว

"ทูตอียูได้สอบถามว่าได้ข่าวจะมีการยุบพรรค ผมจึงบอกว่าไปดูพรรคที่ถูกยุบยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน เวลายุบพรรคคนสิ้นสภาพคือพรรคและผู้บริหาร ส่วนสมาชิกไปหาพรรคใหม่สังกัดได้ ไม่ได้สิ้นสภาพไปด้วย มันไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหา ตรงกันข้ามจะยิ่งเป็นการขยายความแตกแยก ผมก็เคยเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 มาแล้ว สมัยเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย แต่ต่อให้ทำลายบุคคลได้ ก็ยังมีคนร่วมแนวทางเดียวกันสืบสานงานต่อไปได้ ดังนั้น การยุบพรรคไม่ได้เป็นคำตอบสุดท้าย” นายอนุทินกล่าว

หัวหน้าพรรค ภท.กล่าวว่า เราแสดงจุดยืนเทิดทูนสถาบันด้วยว่าใครแตะมาตรา 112 พรรคภูมิใจไทยร่วมงานด้วยไม่ได้ นี่คือข้อจำกัดเดียวของพรรคภูมิใจไทย และพรรคไม่เอามาตรา 272 เพราะนายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.และบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองเท่านั้น เราไม่เอากระบวนการที่แฝงอยู่ในประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตย

ถามว่า ทำไมทูตอียูถึงมาหารือกับพรรคภูมิใจไทย นายอนุทินกล่าวว่า พวกท่านก็ไปหาพรรคการเมืองที่เชื่อว่าจะมีบทบาททางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ซึ่งเขาสนับสนุนเรื่องความเป็นประชาธิปไตยเต็มที่อยู่แล้ว โดยอยากเห็นการเลือกตั้งที่โปร่งใส เป็นธรรม

เมื่อถามว่า ทูตอียูได้ถามถึงนโยบายกัญชาด้วยหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า มีทูตบางท่านได้สอบถาม ซึ่งเรายืนยันว่านโยบายเราทำสำเร็จแล้ว คือการปลดล็อกออกจากพืชยาเสพติด และใช้กฎหมายของกระทรวงสาธารณสุขควบคุมป้องกันไม่ให้ใช้ในทางที่ผิด และหากกลับเข้าสภา จะเร่งผลักดันกฎหมายที่ค้างอยู่ให้สำเร็จ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชงฯ ไม่ได้ตกไป แต่ค้างอยู่ พรรคจึงนำร่างนี้เข้าสู่กระบวนการเสนอกฎหมายตามขั้นตอนของสภาได้ต่อไป

'อิ๊งค์' เตือนพท.อย่าประมาท

ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จัดกิจกรรม “ประชาชน ประชาธิปัตย์ ประชาธิปไตย” นำโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และแกนนำพรรคเข้าร่วมกิจกรรมด้วย โดยนายจุรินทร์กล่าวว่า ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกคน ร่วมสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนแนวทาง “4 ทำ 3 ไม่” ด้วยประชาธิปไตย ไม่โกงของพรรคประชาธิปัตย์  โดย “4 ทำ” คือ 1.จะทำประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้เข้มแข็งและยั่งยืนสืบไป 2.ทำประชาธิปไตยสุจริต 3. ทำประชาธิปไตยท้องอิ่ม ตามแนวทาง "สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ" และนโยบายทุกข้อของประชาธิปัตย์ และ 4. จะขจัดยาเสพติดให้หมดไปด้วยแนวทางตาต่อตา ฟันต่อฟัน สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ แต่ไม่เอากัญชาเสรี ส่วน "3 ไม่” คือ 1.ไม่เลิกมาตรา 112 2.ไม่เอายาเสพติด และ 3.ไม่เอาทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งหมดจะสำเร็จได้ด้วย วิถีประชาธิปไตย-ไม่โกง ของประชาธิปัตย์

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวว่า ในวันที่ 27 เม.ย. นายจุรินทร์จะนำ “จุรินทร์ออนทัวร์” พร้อมด้วยแกนนำพรรค เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพบปะกับประชาชนร่วมกับผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดเชียงใหม่ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย เขต 1 นายจักรวาลธวัฒน์ วรรณาวงค์ เบอร์ 7,  เขต 2 นายกัมปนาท ธิสา เบอร์ 7, เขต 3 นายวิชิต กลิ่นทอง เบอร์ 7, เขต 4 น.ส.จิตพลอย จิตจักรวาลทอง เบอร์ 7 และเขต 5 ว่าที่ ร.ท.วิศธร เถาตระกูล เบอร์ 9 พร้อมกับรณรงค์หาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์เบอร์ 26

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคได้จัดอบรมผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ เพื่อปรับกลยุทธ์การหาเสียง นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (ผ่านระบบออนไลน์) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรค โดยมีผู้สมัคร ส.ส.เข้าร่วมอย่างคึกคักกว่า 200 คน

น.ส.แพทองธารกล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้โพลของพรรคเพื่อไทยดีมาก ก็ทำให้ทุกคนมีกำลังใจ แต่ก็ไม่อยากให้ประมาท เพราะอีกกว่า 20 วัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ จึงขอให้ทุกคนเร่งลงพื้นที่นำเสนอนโยบายกับประชาชน ไม่ต้องกังวลพรรคคู่แข่ง เนื่องจากเขาไม่มีศักยภาพเหมือนเรา จึงเล่นแต่ในโซเชียลมีเดีย ทำให้โพลบางสำนักขยับขึ้น ดังนั้นในช่วงใกล้โค้งสุดท้าย ผู้สมัครทุกคนก็ต้องเน้นใช้โซเชียลฯ สื่อสารกับประชาชนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ทุกคนรู้ว่าพรรคเพื่อไทยมีศักยภาพเปลี่ยนแปลงคนทั้งประเทศได้

นพ.ชลน่านกล่าวว่า จากโพลที่บางพรรคการเมืองขยับขึ้นนั้น ตนมองว่า พรรคเพื่อไทยมียุทธศาสตร์ที่ชนะได้คือ พื้นที่ เนื่องจากเราแข็งในพื้นที่กว่ามาก  จึงขอให้ผู้สมัครทุกคนไม่ต้องกังวล แต่ก็ขอให้เพิ่มพื้นที่ในโซเชียลมีเดียให้มากขึ้น เพื่อสื่อสารนโยบายของพรรคกับพี่น้องประชาชน โดยตนดูแววตาผู้สมัครวันนี้แล้ว มีความมั่นใจมากว่าจะได้ผู้แทนฯ เข้าสภาจำนวนมาก พร้อมเน้นย้ำ ให้ผู้สมัครทุกคนช่วยสังเกตการณ์การทุจริตเลือกตั้งด้วย เช่น การเก็บบัตรประชาชน รวมถึงการปลอมบัตรเลือกตั้ง ซึ่งหากพบเห็น ขอให้แจ้งมาที่ส่วนกลางของพรรคอย่างเร่งด่วน

ส่วนนายสุริยะกล่าวว่า จากข้อมูลของเราพรรคเพื่อไทยชนะได้ตามเป้า เกิน 250 เสียงแล้ว และจะไปถึงเป้าหมาย 310 เสียง ซึ่งถึงแม้บางพรรคในโซเชียลฯ จะมาแรง แต่ก็อย่าไปตกใจ เพราะ ส.ส.แบบแบ่งเขตยังมาในลำดับที่ 2 โดยพรรคเพื่อไทยยังชนะอยู่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ถึงศาล รธน. แล้ว! 40 สว. ยื่นถอด 'เศรษฐา-พิชิต' พ้นตำแหน่ง

สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ร่วมกันเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

รัฐบาลตีปี๊บ! ช่วยลูกหนี้นอกระบบแล้ว 1.4 แสนราย รวมพันล้านบาท

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากนโยบายรัฐบาลและนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาหนี้อย่างครบวงจรทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ