กกต.แย้มใกล้มีข่าวใหญ่!

กกต.เปิดศูนย์ต้านเฟกนิวส์ ปกป้องตัวเองยันไม่ใช้เป็นเครื่องมือจ้องทำลาย แต่หวังป้องปรามหลังมีบทเรียนเลือกตั้ง 62 ข่าวปลอมสะพัดไม่ต่างเลือกตั้งครั้งนี้ จับตาดีเบต "ธนาธร-หมอมิ้ง" ใส่ร้าย กกต.เปลี่ยนสูตรคำนวณ ส.ส. แย้มอีก 2 วันอาจมีข่าวใหญ่ พบร้องทำผิดก่อนเลือกตั้งครึ่งร้อยแล้ว ส่วนใหญ่ทำลายป้ายหาเสียง "ศรี​สุวรรณ" ยื่นสอบอุ๊งอิ๊ง​ถือหุ้นสื่อบริษัท​ เอสซีฯ​ ขัดคุณสมบัติผู้สมัครเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่

ที่สำนักงาน​คณะกรรมการ​การ​เลือกตั้ง​ (กกต.)​ วันที่ 2 พฤษภาคม นายปกรณ์ มหรรณพ และนายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ กกต.   แถลงข่าวเปิดศูนย์ปฏิบัติงานคณะกรรมการต่อต้านข่าวเท็จ ที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ กกต.และสำนักงาน กกต.  และชี้แจงทำความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.และสำนักงานให้ประชาชนรับทราบ และเกิดความเชื่อมั่นศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.

โดยนายฐิติเชฏฐ์กล่าวว่า กกต.มีมติให้จัดตั้งศูนย์ดังกล่าว เพื่อให้มีคณะกรรมการต่อต้านข่าวเท็จขึ้นมาคอยตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง จากนั้นก็จะรายงานให้ กกต.ได้รับทราบ โดยจะเน้นการชี้แจงข่าวเท็จจริงและไม่เป็นความจริงเพื่อให้ทันต่อการแก้ไขสถานการณ์ เนื่องจากในการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี 2562 พบว่ามีข่าวเท็จจำนวนมาก ที่ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของ กกต. ซึ่งในครั้งนั้นอาจเกิดจากการว่างเว้นการเลือกตั้งถึง 7 ปี ซึ่งข่าวที่ไม่เป็นความจริงเป็นการทำลายและทำให้การทำงานของ กกต.ไม่ราบรื่น และในครั้งนั้นก็ได้มีการแจ้งความดำเนินคดี และศาลก็ได้มีคำพิพากษาแล้ว

"ในการเลือกตั้งปี 2566 ก็คาดว่าน่าจะมีข่าวเหมือนเช่นปี 2562 โดยผู้ที่ไม่หวังดี ยังมีอยู่ แม้ กกต.จะให้ข้อมูลมากเพียงไร ก็ยังมีผู้ที่มีอคติต่อการทำงานของ กกต.ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยง จึงยังมีข่าวเท็จเผยแพร่ในโซเชียล โดยได้มีการแจ้งต่อผู้โพสต์ หากยังไม่แก้ไข ก็จะมีการดำเนินคดีต่อผู้ให้ข่าวและผู้ประสงค์ดีกับ กกต.  อย่างไรก็ตาม กกต.ยังเปิดโอกาสให้แสดงความเห็นได้ตามปกติ แต่ต้องเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ใช่การใส่ร้ายหรือให้ความเท็จจริง" นายฐิติเชฏฐ์กล่าว

ด้านนายปกรณ์ กล่าวถึงข่าวก่อนหน้านี้ เช่นกรณีการยุบพรรคติดเทอร์โบ ก็ชี้แจงว่าเป็นการออกระเบียบตามกฎหมาย  ซึ่งถ้าดูตามระเบียบแล้วจะเป็นการให้อำนาจเลขาธิการ กกต.สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว และการพิจารณาก็เป็นการทำโดยไม่มีเวลา และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องยื่นหลักฐานต่อสู้ได้เต็มที่ รวมทั้งเรื่องการแบ่งเขตที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นการแบ่งเขตแบบไม่มีเขตหลัก เอาแต่ใจ เรื่องนี้เราถูกด่าเป็นเดือน และศาลปกครองได้มีคำพิพากษาแล้วว่าเราทำโดยถูกต้องตามกฎหมาย  ซึ่ง กกต.ทำตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด รวมทั้งกรณีบัตรเลือกตั้งที่ยังถูกต้องข้อสังเกตรายละเอียดบัตรทั้งสองใบ โดยรายละเอียดในบัตรเลือกตั้ง กกต.ไม่ได้เป็นผู้กำหนด แต่มาตรา 84 ของ พ.รป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.เป็นผู้กำหนด

ส่วนเรื่องพิมพ์บัตรเลือกตั้งสำรองเกิน 7 ล้านเล่ม นายปกรณ์ยืนยันว่า เป็นเรื่องเกินจริง ที่จริงแล้วมีการพิมพ์บัตรสำรองแค่ 5 ล้านใบเท่านั้น เนื่องจากการพิมพ์บัตรต้องพิมพ์เป็นเล่ม และสำรองแต่ละหน่วยเลือกตั้ง หน่วยเลือกตั้งละ 1 เล่ม ซึ่งประเทศไทยมีประมาณ 1 แสนหน่วย ฉะนั้นก็สำรองส่วนนี้ 2 ล้านใบ รวมทั้งสำรองให้กรรมการประจำหน่วยและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหน่วยเลือกตั้งที่จะใช้สิทธิในหน่วยดังกล่าวอีก 1 เล่ม  ทั้งสองส่วนนี้ก็เกือบ 4 ล้านใบแล้ว นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความผิดพลาดในการพิมพ์ ที่บางเล่มมีจำนวนไม่ครบ หรือการพิมพ์ผิดพลาด ก็ต้องสำรองไว้อีก 1 ล้านใบ รวมแล้วก็เกือบ 5 ล้านใบ ดูตัวอย่างได้จากปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้สิทธิ 94 คนที่ซูดาน ที่เราต้องทิ้งบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรของทั้ง 94 คน หากเกิดกับประเทศใหญ่จะทำอย่างไร 

แย้ม 1-2 วันอาจมีข่าวใหญ่

นายปกรณ์กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าจะมีการยุบพรรคก่อนการเลือกตั้งว่า ไม่มีสัญญาณเรื่องการยุบพรรค แต่มันอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นในช่วง 1-2 วันนี้ ซึ่งเรื่องอะไรที่ไม่ถูกต้องจะแจ้งให้ทราบ ไม่มีอะไรปิดบัง ยืนยันจะการทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ขอให้สัญญาด้วยตำแหน่ง เมื่อถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายปกรณ์ก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นเรื่องอะไร แม้สื่อมวลชนพยายามถามว่าเรื่องการยุบพรรคหรือไม่ นายปกรณ์ก็ปฏิเสธว่าอย่าไปคิดขนาดนั้น

นายปกรณ์กล่าวชี้แจงถึงการติดตามข่าวที่มีผลกระทบต่อการทำงานของ กกต. โดยจะเน้นไปที่ต้นตอของข่าวที่จะมีการพิจารณาถึงการดำเนินคดี เบื้องต้นมี 2 เรื่อง กรณีการจัดดีเบตที่ จ.ชลบุรี ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ใช้คำพูดระบุว่า “ปี 62 กกต.เปลี่ยนแปลงสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และกรณี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช แกนนำพรรคเพื่อไทย ดีเบตในเวทีเนชั่น ระบุว่า กกต.เปลี่ยนสูตรการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการดำเนินการของ กกต.ชอบด้วยกฎหมาย  แต่ก็ยังใช้คำพูดเหล่านี้เพื่อให้ตนได้คะแนนนิยม ซึ่ง กกต.จะพิจารณาเรื่องนี้หลังการเลือกตั้ง เพราะถ้าทำตอนนี้จะมีผลต่อคะแนนเสียง เบื้องต้นให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมข้อมูล ซึ่งการจะดำเนินคดีกับใครนั้น จะเป็นมติของ กกต.

อย่างไรตาม ต้องขอบคุณนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ที่สื่อมวลชนพยายามขอให้วิจารณ์การทำงานของ กกต. แต่นายเศรษฐาก็ไม่พูดถึง กกต.เป็นการส่วนตัว

 “มีหลายเรื่องจบไปแล้ว แต่ก็ยังเอามาพูดให้ได้คะแนนเสียงว่า กกต.ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันถูกต้องสมควรหรือไม่ ท่านมีสิทธิ เราเคารพในสิทธิของท่าน ท่านก็ต้องเคารพในสิทธิของเราด้วย” นายปกรณ์ กล่าว และว่า ยอมรับตรง ๆ ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องอ่อนไหว ซึ่งเราพยายามอดทนไม่ให้เป็นคดี ทั้งนี้ ในการประชุม กกต.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีการพิจารณาเรื่องคนที่ด่าเรา ว่าเรา แต่ที่ประชุมก็มีมติไม่ดำเนินคดี จะดำเนินคดีเฉพาะต้นตอ และเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ส่งผลต่อให้การเลือกตั้งไม่สุจริต อดทนและใช้ช่องทางชี้แจง

นายปกรณ์ยังกล่าวถึงเรื่องการปล่อยข่าวอย่างการเลือกตั้งปี 62 ที่มีการปล่อยข่าวเรื่องขนบัตรเลือกตั้งเถื่อนที่ลานจอดรถสำนักงาน กกต. ที่สุดท้ายหลังการเลือกตั้งก็มาขอโทษ และยืนยันทำงานด้วยความสุจริต ไม่ได้มาจากใคร

ขณะที่นายฐิติเชฏฐ์กล่าวถึงการตั้งศูนย์แก้ไขข่าวว่า ไม่ต้องการเพื่อมุ่งทำลายฝ่ายใด แต่ป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามเหมือนการเลือกตั้งปี 62 การดำเนินคดีผู้ไปแสดงความคิดเห็นไม่สามารถดำเนินคดีได้กับทุกคน เราจะดำเนินคดีกับต้นตอ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งที่แล้วหลังเลือกตั้งก็มาขอขมา เราจึงต้องตั้งศูนย์เพื่อมาปกป้ององค์กร ไม่ให้มาก้าวล่วง ไม่เป็นธรรมกับการทำงาน อะไรที่ไม่ทำให้การเลือกตั้ง เสี่ยงต่อการไม่สุจริตเราอาจจะปล่อยผ่าน แต่หากผิดซ้ำซาก กลุ่มคนเดิมๆ ต้องดำเนินคดีแน่  แต่ไม่ดำเนินการกับความคิดเห็นที่สุจริต

นอกจากนี้ นายปกรณ์กล่าวชี้แจงเมื่อถูกถามถึงเรื่องการไปดูงานต่างประเทศว่า ก่อนที่จะไปก็ได้มีการประชุมหารือว่า ถ้าไปก็ถูกวิจารณ์ ไม่ไปก็มีปัญหา ซึ่งจะหนักกว่าหลายเท่า ขอให้เข้าใจว่าคนอายุจะ 70 ปี นอนบนเครื่องบิน ไม่ได้สะดวกสบาย และหลังเดินทางกลับมาก็มี กกต.ถึง 3 คนที่ป่วย ซึ่งการเดินทางไปไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องนี้สามารถไปถามทูตในประเทศต่างๆ ได้

ด้านนายฐิติเชฏฐ์ชี้แจงว่า เดินทางไปดูเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่สหรัฐอเมริกา ถ้าไม่ไปไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เนื่องจากมีคนไทยลงทะเบียนขอใช้สิทธิทางไปรษณีย์ไว้ แต่อยากมาใช้สิทธิที่สถานทูต ก็อ้างว่าไม่ได้รับบัตรเลือกตั้ง และอ้างว่ามีการส่งบัตรไปคนละที่กับที่อยู่ซึ่งการส่งบัตรทางไปรษณีย์ ใช้การลงทะเบียนพิเศษ ใช้งบประมาณคนละกว่า 6,000 บาท ซึ่งเราก็ใส่ใจ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนด และถ้าไม่ไปดูก็คงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ วันที่ไปดูก็พิจารณาแล้วว่าไม่ใช่วันทำงาน และสามารถประชุมผ่านออนไลน์ได้ตลอดเวลา ซึ่งการไปใช้งบประมาณแผ่นดิน ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเชิญมา ก็เหมือนเช่นการเลือกตั้งปี 62 ซึ่งก็ถูกโจมตี 

พบร้องเรียนทำลายป้ายอื้อ

แหล่งข่าวจากสำนักงาน กกต. เปิดเผยถึงเรื่องร้องเรียนทุจริตเลือกตั้ง พบว่า เบื้องต้นมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 50 เรื่อง โดยเรื่องที่ร้องเรียนมากที่สุดคือการทำลายป้ายหาเสียง รวมทั้งการหาเสียงหลอกลวง การใช้รถหาเสียงผิดประเภท เป็นต้น ซึ่งแต่ละเรื่องทางอนุกรรมการสืบสวนไต่สวนระดับจังหวัดอยู่ระหว่างการกำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง   ก่อนส่งความเห็นและรายงานขึ้นมายังสำนักงาน กกต.กลาง

สำหรับการเฝ้าระวังการกระทำผิดทุจริตการเลือกตั้งนั้น กกต.วางมาตรการคุมเข้มสกัดขบวนการซื้อสิทธิขายเสียง นอกจากจะมีผู้ตรวจการเลือกตั้ง 423 คนแล้ว ยังมีชุดเคลื่อนที่เร็ว 400 ชุด ประจำ 400 เขตเลือกตั้ง จำนวน 1,239 คน เจ้าหน้าที่สืบสวน ไต่สวน วินิจฉัย และดำเนินคดีในศาลและชุดปฏิบัติการข่าว (ส่วนกลาง) 11 ชุด ชุดละ 3 คน จำนวน 66 คน และชุดปฏิบัติการข่าว (ส่วนจังหวัด) 77 ชุด ชุดละ 3 คน จำนวน 231 คน ลงพื้นที่เจาะหาข่าวและเบาะแสเชิงลึก รวบรวมพยานหลักฐานการกระทำความผิด ทั้งการบันทึกภาพ ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง คลิปวิดีโอ เพื่อเอาผิดคนทุจริต โกงการเลือกตั้ง

ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณี น.ส.เเพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ว่าคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยได้ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม​ตาม ม.98 (2) ประกอบ ม.160 (6) และ ม.98 (3) ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า บุคคลที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ เป็นลักษณะต้องห้ามที่พรรคการเมืองจะมีมติว่าจะเสนอให้ ส.ส.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตาม ม.88 มิได้ โดย น.ส.แพทองธารยังถือหุ้นอยู่ในกิจการบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 1,216,149,807 หุ้น โดยได้แจ้งวัตถุประสงค์ตามที่ได้จดทะเบียนบริษัท ทั้งหมด 39 ข้อ โดยมี 5 ข้อที่อาจเข้าข่ายเป็นกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ

เมื่อถามว่า หาก กกต.วินิจฉัย น.ส.แพทองธารขาดคุณสมบัติ​จริง ​จะมีผลต่อพรรคเพื่อไทยอย่างไรบ้าง​ นายศรีสุวรรณ​ กล่าวว่า​ เบื้องต้นพรรคจะตัดสิทธิ์​การเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของ น.ส.แพทองธาร​ ซึ่งจะเหลือแคนดิเดตนายกฯ แค่​ 2 คน​ ส่วนน.ส.แพทองธาร​จะต้องได้รับโทษตามกฎหมายอาญาฐานแจ้งความเท็จต่อ กกต.​ เพราะตาม​รัฐธรรมนูญ​มาตรา​ 88, 89 กำหนดไว้ว่า​ ผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองจะต้องเซ็นยินยอมด้วย​ ซึ่งจะทำให้ น.ส.แพทองธาร​ มีความผิดตามประมวลกฎหมาย​อาญามาตรา​ 137 ซึ่งจะต้องระวางโทษไม่เกิน​ 6 เดือน​ และปรับไม่เกิน​ 10,000​ บาท.​

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง