แนะรบ.ใหม่ช่วยปชช.หากินสะดวก

"ณรงค์ชัย" ชี้ปัญหาเศรษฐกิจรอรัฐบาลใหม่แก้ ต้องทำให้ประชาชนทำมาหากินคล่อง ที่ผ่านมาชาวบ้านเผชิญปัญหาค่าครองชีพสูง ของแพง สวนทางพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยังดี เห็นด้วยก้าวไกลจัดงบฐานศูนย์ แต่ถ้าแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นจะมีต้นทุนและตัวคูณสูงลิ่ว ด้าน "ศุภวุฒิ" เตือนนโยบายทลายทุนผูกขาดพรรคส้ม แม้จะดี แต่ต้องไม่ทำลายศักยภาพการแข่งขันของประเทศ

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีต รมว.พาณิชย์ และอดีต รมว.พลังงาน เปิดเผยในการอภิปรายงานมูลนิธิคึกฤทธิ์ 80 ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หัวข้อ ปัญหาเศรษฐกิจที่รอรัฐบาลใหม่ว่า นโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งทำ คือช่วยให้ประชาชนทำมาหากินได้สะดวก แต่การให้รัฐบาลลดค่าครองชีพอาจทำไม่ได้ เชื่อว่าตอนนี้ทำมาหากินทำได้ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การให้นักท่องเที่ยวเข้าออกประเทศผ่านไอทีจะทำได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีตค่อนข้างมาก ในตอนนี้ไทยมีปัญหาเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น ค่าเงินบาท รวมถึงค่าจ้างจะเพิ่มทันเงินเฟ้อหรือไม่ เพราะจะกระทบค่าครองชีพจากของแพง ซึ่งไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลก็ตามก็ต้องทำ แม้ดอกเบี้ยจะขึ้นและจะขึ้นต่อในวันที่ 31 พ.ค.นี้อีก 0.25% เป็น 2% แต่ไม่โหดเท่าค่าครองชีพที่แพง

 ขณะที่โครงสร้างเศรษฐกิจจะปรับอย่างไรต้องไปดูภาพของโลก ปัญหาใหญ่คือความไม่เท่าเทียมเพิ่มขึ้น โลกร้อน ความเสี่ยงที่กำลังจะเจอต่อไป และมีโอกาสการค้าการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกกำลังมาแรง สิ่งที่ควรทำคือ ส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจ ทั้งการผลิตและซัพพลายเชน สร้างความเข้มแข็งชุมชน หลายจังหวัดช่วยตัวเองได้ มีแผนพัฒนาดิน น้ำ พัฒนาด้านเทคโลยีในชุมชน พัฒนาการศึกษา และแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ถ้าแก้ได้ช่วยได้ทุกกลุ่ม ทำทุกอย่างเปิดเผยเป็นธรรม

 “นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผลคือคนจะทำบล็อกเชนเป็นหมดทั้งประเทศ เพราะอยากได้ 10,000 บาท และเรียกร้องต้องมีอินเทอร์เน็ต เป็นเศรษฐกิจดิจิทัลโดยบังคับ ถ้าแจกตังค์ต้องใช้จ่ายสูงตัวคูณสูง ส่วนการจัดทำงบประมาณฐานศูนย์ ถือเป็นประโยชน์และเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้ประหยัดงบประมาณได้ นำไปใช้อย่างอื่นที่มีประโยชน์ แต่คงไม่ทันในปีงบประมาณ 67 เพราะการจัดตั้งรัฐบาลใช้เวลา อาจทำทันในปีงบประมาณถัดไป”

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่คือ ต้องแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และแก้ไขระบบการศึกษาเป็นอย่างแรก นโยบายสำคัญคือปฏิรูปการศึกษา เพิ่มและปรับทักษะ รวมถึงลดการผูกขาดทางธุรกิจ และเข้าไปช่วยเอสเอ็มอี อยากให้เอสเอ็มอีไปสู่ยูนิคอร์นมากกว่า โดยเปิดโอกาสสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่เป็นสตาร์ทอัป

 อย่างไรก็ตาม มองว่าปัญหาแรงงานเป็นอีกหนึ่งที่ต้องแก้ไข เพราะในอีกเกือบ 30 ปีข้างหน้าแรงงานไทยจะหายไป 11 ล้านคน และไทยยังต้องแข่งขันดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยให้ได้ ซึ่งการลงทุนทางตรงต่างประเทศหรือเอฟดีไอ เหลือ 8.9% จากในอดีต 30% ไม่สามารถสู้ประเทศ เช่น เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย,  มาเลเซียได้

 “นโยบายพรรคก้าวไกลเรื่องทลายทุนผูกขาดเป็นเรื่องที่ดี เพราะทุนผูกขาดคือการเอาเปรียบผู้บริโภค แต่ระยะยาวการทลายทุนผูกขาดต้องทำให้ตัวเลขโปร่งใส และสร้างการแข่งขันระยะยาว ให้ไทยไปแข่งขันตลาดโลก ส่วนเรื่องการเก็บภาษีกลุ่มทุนนั้น ถ้าหากอยากได้เงินเร็วก็เก็บภาษี  เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวต ซึ่งปกติเพดานที่ 10% แต่ขอลดเหลือ 7% ในทุกปี แต่หากปรับขึ้น 1% เงินที่จะได้เพิ่มเข้ามาคือ 80,000 ล้านบาท ซึ่งจะกระทบกลุ่มทุนน้อยกว่าการเก็บภาษีกลุ่มทุนโดยตรง และอาจกระทบกับการตัดสินใจลงทุนได้”

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรแสดงความเห็นปิดท้ายว่า ค่าครองชีพสูงขึ้นลงไม่ได้ แต่จะไม่สูงไปกว่านี้อีก ด้านฐานะการคลังที่ผ่านมาต้องสู้กับโควิด รัฐบาลต้องกู้เงินมาอุดหนุนคนตกงาน ส่งเสริมภาคธุรกิจ จนทำให้หนี้สาธารณะปัจจุบันอยู่ที่ 61% ต่อจีดีพี แต่ตอนนี้เก็บภาษีได้เพียง 15% ต่อจีดีพีเท่านั้น จะมีปัญหาเสถียรภาพเศรษฐกิจหรือไม่ ขณะที่ฐานะการเงินของไทยดีมาก ถ้าหมุนเงินให้เร็วไทยจะดีขึ้นเอง พร้อมทั้งเห็นด้วยกับการปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปหนี้ของครู ซึ่งมองว่าแก้ไขหนี้ครูไม่ยาก เพียงขึ้นเงินเดือนให้ครูนำเงินเดือนที่เพิ่มไปหักใช้หนี้ครู ซึ่งได้เคยเสนอสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ.ไปแล้ว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง