ส่วยรถบรรทุกทำถนนพัง! แฉรมต.มท.อยู่เบื้องหลัง

มาตรฐานอเมริกาก็ไม่รอด! "ต่อตระกูล" แฉส่วยรถบรรทุกต้นเหตุทำถนนพังกว่า 20 ปีมาแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะนักการเมืองประเภทเจ้าพ่อ มีตำแหน่งระดับรัฐมนตรีมหาดไทยอยู่เบื้องหลัง ด้านตัวตึงก้าวไกล “วิโรจน์” เชื่อมือ “ผู้การจรูญเกียรติ” ประวัติตงฉิน มั่นใจเบาะแส หลักฐานสำคัญ มัดตัวคนทำผิดได้

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2566 นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "ถนนหลวงของประเทศไทยพัง วิศวกรขออธิบาย วิศวกรโยธา มีสาขาวิชาการแยกออกไปอีกไม่น้อยกว่า 8 สาขา หนึ่งในสาขาที่สำคัญมากแต่คนไม่ค่อยทราบคือ วิศวกรรมขนส่ง (Transportation Engineering) ซึ่งศึกษา เรียนรู้วิชาการ การออกแบบถนนตามมาตรฐานสากล สำหรับประเทศไทยใช้มาตรฐานถนนของสหรัฐอเมริกา เป็นหลักในระดับความมั่นคงแข็งแรงของตัวถนน และการออกแบบแนวถนนให้มีความปลอดภัย และจัดวางระบบและอุปกรณ์ให้ความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ถนน

ตั้งแต่เมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา มีปัญหารถบรรทุก 10 ล้อ บรรทุกเกิน 21 ตันที่กฎหมายกำหนด เจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ นักการเมืองประเภทเจ้าพ่อ ที่มีตำแหน่งระดับรัฐมนตรีมหาดไทย ก็ร่วมกับฝ่ายรถบรรทุก ให้ทางวิศวกรผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุงถนน ให้เพิ่มน้ำหนักขึ้น

แต่เมื่อเพิ่มขึ้นเป็น 30 ตันแล้ว ก็ยังแข่งกันบรรทุกน้ำหนักเกินขึ้นต่อไปอีกหลายสิบตัน โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ตามหลักวิชาการออกแบบถนน หากบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด เกินมาตรฐาน ทางหลวงจะไม่ถึงกับพังเสียหายในทันที แต่จะบอบช้ำและทำให้อายุการใช้งานสั้นลง เพราะอำนาจการทำลายทางหลวงจะมากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

อำนาจการทำลายนี้จะเพิ่มเป็นยกกำลัง 2 ของจำนวนเท่าของน้ำหนักบรรทุกที่เพิ่มขึ้นจากมาตรฐาน ถ้าบรรทุกเกิน 2 เท่า อำนาจการทำลายจะเป็น 4 เท่า อายุใช้งานลดลงเหลือเพียง 1/4 ของมาตรฐาน ผลออกมาเป็นเช่นนี้มาตลอด เมื่อถนนพัง ประชาชนก็โทษว่า วิศวกรออกแบบถนนไม่ดี ต้องปิดถนนซ่อมกันเป็นประจำ

บัดนี้ ความจริงก็ได้ปรากฏแล้วว่า ถนนนี้ถึงจะเพิ่มให้บรรทุกมากขึ้นแล้ว ก็จะละเมิดกฎหมายเพิ่มขึ้นไปอีก ตราบใดที่เจ้าหน้าที่รัฐทั้งหลาย ไม่ควบคุมการบรรทุกน้ำหนักอย่างจริงจัง

ขอเสนอว่าให้เลิกใช้คนไปคอยเฝ้าตรวจรถเกินน้ำหนักได้แล้ว ให้ใช้หุ่นยนต์มาเฝ้าแทน ที่เรียกว่า WIM (Weight in Motion system) เป็นระบบล่าสุดที่รถบรรทุกวิ่งผ่านแล้วรู้น้ำหนักทันที รู้แล้วแจ้งได้ทันที!"

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบส่วยสติกเกอร์ร่วมกับสมาพันธ์การขนส่งทางบกว่า หลังจากได้ประชุมร่วมกันในสัปดาห์ที่แล้ว ตนจะนำเบาะแสที่ได้จากสมาพันธ์ฯ รวมทั้งหลักฐานที่ได้จากพลเมืองดีนำไปให้จเรตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบก.ทล.)

 “ผมคิดว่าจะนำไปให้คราวเดียวกันเลย จะได้ประหยัดเวลา และผมคิดว่าตรงนี้เป็นเบาะแสสำคัญ ส่วนหลักฐานมัดแน่นต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีกำลังในการสืบสวนสอบสวนไล่ตรวจสอบอีกที หากเป็นหลักฐานมัดแน่นไปที่คนใด ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” นายวิโรจน์กล่าว

เมื่อถามว่า มีการนัดวันเข้าพบหรือยัง นายวิโรจน์ กล่าวว่า เป็นวันพฤหัสบดีที่ 8 มิ.ย.นี้ เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งตนจะไปพร้อมกับสมาพันธ์ฯ โดยมีข้อมูล 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของสมาพันธ์การขนส่งทางบก อีกส่วนเป็นข้อมูลจากพลเมืองดีที่มอบให้ตน

 “ที่ผ่านมาหลายครั้ง การสื่อสารของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็สื่อสารแบบผิดหลักการ ที่บอกว่าถ้าประชาชนคนใดมีหลักฐานมัดตัวแน่นหนาก็ให้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่จะไปดำเนินการจัดการไม่ละเว้น แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ภาคประชาชนให้ได้ก็น่าจะเป็นแค่เบาะแสสำคัญในการชี้เบาะแส ส่วนการหาหลักฐานในการดำเนินคดีก็ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะมีกำลังในการสืบสวนสอบสวน” นายวิโรจน์กล่าว

เมื่อถามว่า เป็นการตรวจสอบตำรวจด้วยกันเอง มั่นใจหรือไม่ว่ากระบวนการจะมีความโปร่งใส นายวิโรจน์ กล่าวว่า ยังมีความมั่นใจ เพราะตำรวจที่เข้ามาทำเป็นจเรตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่ชัดเจนในเรื่องการสอดส่องการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจด้วยกัน

 “ท่านผู้การจรูญเกียรติ ประวัติท่านก็ตงฉิน ยังมีความไว้วางใจ แต่ที่ผมบอกว่าการสืบสวนสอบสวนและการดำเนินคดีตามกฎหมาย ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจไป ณ จุดนี้ทางเราเองก็ยังไม่มีอำนาจบริหาร หรืออำนาจหน้าที่เข้าไปสั่งการ คงต้องเชื่อใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ” นายวิโรจน์กล่าว

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการ ปปป.  รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง กล่าวว่า ภายในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ จะมีความชัดเจนในคำสั่งบางอย่างเกี่ยวกับตำรวจที่เกี่ยวข้องกับส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก ทั้งคำสั่งย้ายและคำสั่งทางวินัย โดยวันพรุ่งนี้จะประชุมคณะทำงานชุดสืบสวนเกี่ยวกับพยานหลักฐานทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ ปปป. เพื่อให้เรียกผู้ที่มีส่วนในการกระทำผิดมาแจ้งข้อกล่าวหา ก่อนจะส่งต่อไปยัง ป.ป.ช.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง