หาช่องต่ออายุอุ้มดีเซล ลดเก็บส่งกองทุนน้ำมัน

“บิ๊กตู่” ถกพลังงาน-คลัง     หาช่องใช้งบต่ออายุอุ้มดีเซลช่วงรอยต่อรัฐบาล ยันยึดมาตรา 169 ไม่ให้เกิดภาระ รบ.ใหม่ กองทุนน้ำมันฯ ฟื้นตัวติดลบลดลง กบน.สั่งลดเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลเหลือ 3.84 บาทต่อลิตร

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 20  มิถุนายน เวลา 12.30 น. ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้หารือนอกรอบกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที

ทั้งนี้ เป็นการหารือถึงมาตรการทางการเงินการคลังที่จะหมดอายุในช่วงรัฐบาลรักษาการ ซึ่งการดำเนินการจะคาบเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ และมีมาตรการเกี่ยวกับโครงการใหม่และการใช้จ่ายงบประมาณจะต้องดำเนินการตามมาตรา 169 โดยเฉพาะภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ที่มาตรการลดภาษี 5 บาทต่อลิตร จะสิ้นสุด 20 ก.ค.นี้ 

จากนั้นเวลา 13.10 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการหารือนอกรอบดังกล่าวว่า ไม่มีอะไรพิเศษ เป็นการทำงาน  ไม่ได้คุยกันเล่นๆ เป็นการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อลดผลกระทบในทุกมิติ  ประเทศต้องเดินหน้าต่อไป ประชาชนจะต้องได้รับการดูแลมากขึ้น ซึ่งเรื่องมันเยอะ สำหรับความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาของรัฐบาลในช่วงรักษาการจะทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดภาระในรัฐบาลต่อไปข้างหน้าในช่องทางที่ดำเนินการได้อย่างถูกต้อง ไม่ขัดแย้งกับมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ ในการแก้ปัญหาต่างๆ  โดยดูแลความเดือดร้อนประชาชนเป็นหลัก ซึ่งเรากำลังดูแลอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2566 ที่มีนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุม ได้มีมติปรับลดการเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลงจาก 5.59 บาทต่อลิตร เหลือ 3.84 บาทต่อลิตร และปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนฯ สำหรับผู้ใช้ดีเซลเกรดพรีเมียมลงจาก 7.09 บาทต่อลิตร เหลือ 5.34 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันโลกผันผวนปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่มีการชดเชยราคาน้ำมันทุกชนิดแล้ว และยังเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนฯ  ด้วย โดยการเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยผู้ใช้น้ำมันเบนซินถูกเรียกเก็บ 8.88 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เรียกเก็บ 2.30 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 เรียกเก็บ 0.31 บาทต่อลิตร

โดยการเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันทุกชนิดดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าเกือบ 20 ล้านบาทต่อวัน และทำให้สถานะกองทุนฯ ติดลบลดลงจากที่เคยติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 1.3 แสนล้านบาท เมื่อปี 2565 โดย ณ วันที่ 18 มิ.ย.2566 สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้รายงานสถานะกองทุนฯ ล่าสุดติดลบ 60,189 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบ 14,077 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบ 46,112 ล้านบาท

ด้านราคาน้ำมันโลก ณ วันที่ 20 มิ.ย.2566 เวลาประมาณ 14.30 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 75.20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.51 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 71.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 0.75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนต์ (BRENT) อยู่ที่ 76.11 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.02 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้รายงานค่าการตลาด ณ วันที่ 20 มิ.ย.2566 โดยค่าการตลาดผู้ค้าน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 2.63 บาทต่อลิตร สูงกว่าที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติปรับคืนค่าการตลาดให้ผู้ค้าน้ำมันเฉลี่ยไม่เกิน 2 บาทต่อลิตร สำหรับค่าการตลาดกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 3 บาทต่อลิตร โดยภาพรวมค่าการตลาดตั้งแต่วันที่ 1-20 มิ.ย.2566 อยู่ที่ 2.40 บาทต่อลิตร

ทั้งนี้ ล่าสุดผู้ค้าน้ำมันได้ประกาศปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซิน 50 สตางค์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย.2566 ส่งผลให้ราคาเปลี่ยนแปลงดังนี้ แก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 33.59  บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 33.14 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 35.18 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 35.45 บาทต่อลิตร และเบนซินอยู่ที่ 43.24 บาทต่อลิตร ส่วนราคาดีเซลไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง