อัดงบ1.9ล้านล. พยุงเศรษฐกิจ รอรัฐบาลใหม่

สภาพัฒน์เปิดแผนอัด 1.9 ล้านล้านบาท รอรัฐบาลใหม่เข็นงบปี 67 กันเศรษฐกิจสะดุด ชี้ไม่ใช่เวลาทำรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า-ต้องปฏิรูปภาษีก่อน  จับตาหนี้เน่ารถยนต์พุ่งไม่หยุดฉุดบริโภค

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวปาฐกถาอนาคตเศรษฐกิจไทย ในงานสัมมนา Thailand : Take Off ว่า เศรษฐกิจไทยจะเทกออฟได้ ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน โดยปัญหาในปี 2566 อยู่ที่ภาคการส่งออกหดตัว ซึ่งเป็นไปทั้งภูมิภาค ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย จึงจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศ ไม่มีปัญหา มีแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 28 ล้านคน และการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี

นายดนุชากล่าวว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านรอรัฐบาลใหม่ พิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งคาดว่าอย่างช้าที่สุดจะเสร็จภายในไตรมาส 1/2567 จากการหารือร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งที่ใช้งบปีงบประมาณและปีปฏิทิน ในช่วงไตรมาส 4/2566 จะมีงบลงทุนจากรัฐวิสาหกิจเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 1.5 แสนล้านบาท และงบผูกพันอีก 9 แสนล้านบาท รวมเป็นประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท

ขณะที่ไตรมาส 1/2567 คาดว่าจะมีงบลงทุนจากรัฐวิสาหกิจตามปีปฏิทินออกสู่ระบบอีกประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และมีงบผูกพันอีกประมาณ 7 แสนล้านบาท รวมเป็นเม็ดเงิน 2 ไตรมาส ที่จะอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประมาณ 1.8-1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะพยุงเศรษฐกิจได้ ระหว่างที่รองบประมาณ 2567 ซึ่งเชื่อว่าถ้างบประมาณผ่านในไตรมาส 1/2567 รัฐบาลชุดใหม่ก็ต้องมีการเร่งเบิกจ่ายออกมาอุตลุดเพื่อให้ทันระยะเวลา

ทั้งนี้ ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 เดินหน้าฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ปัญหาที่จะเข้ามากระทบก็เป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลก ไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจภายใน ส่วนเรื่องค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภค จากนี้จะเริ่มปรับลดลงตามราคาพลังงาน แต่ก็ยังห่วงปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่ต้องให้ความสำคัญ ที่จะฉุดรั้งการใช้จ่ายในระยะต่อไป รวมถึงต้องดูหนี้เสียในกลุ่มรถยนต์ ที่ต้องเฝ้าระวังจริงจัง เพราะมีแนวโน้มขยับขึ้นเรื่อยๆ ไตรมาสละ 0.2-0.3% และหนี้บัตรเครดิต ที่ต้องระมัดระวังใช้จ่ายเกินตัว

"การทำรัฐสวัสดิการของรัฐบาลชุดใหม่ ต้องดูความเหมาะสมและสถานการณ์ด้านการคลัง ซึ่งช่วงนี้ควรต้องทำสวัสดิการแบบพุ่งเป้า ทำแบบถ้วนหน้าไม่ได้ การจะทำรัฐสวัสดิการได้ต้องมีฐานะการเงินการคลังที่เข้มแข็งกว่านี้ ต้องมีการจัดเก็บรายได้และฐานภาษีที่มากขึ้น ซึ่งภาษีบุคคลปัจจุบัน มีการยื่นแบบ 11 ล้านราย แต่มีการเสียภาษีจริงเพียง 4 ล้านรายเท่านั้น ต้องมีการเร่งปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ ปรับโครงสร้างภาษี และดึงกลุ่มที่อยู่นอกระบบเข้ามาเสียภาษี ไม่หลีกเลี่ยงภาษีก่อน" เลขาธิการ สศช.  ระบุ

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากการหารือกับพรรคก้าวไกล ส.อ.ท.ไม่ได้กังวลเรื่งการขึ้นค่าแรง แต่ห่วงเรื่องการขึ้นแบบกระชาก ซึ่งการปรับค่าแรง 450 บาทต่อวัน เพิ่มขึ้นทันที 35% อาจะทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอีช็อกและหัวใจวายได้ ซึ่งพรรคก้าวไกลรับฟัง และชี้แจงว่าการขึ้นค่าแรงทันทีแบบเอสเคิร์ฟ จะช่วยแก้ไขปัญหาค่าแรงต่ำและหนี้สินให้กับประชาชนได้ สำหรับค่าแรง 450 บาท เป็นนโยบายของพรรค แต่ในฐานะรัฐบาลพรรคร่วม ต้องรับฟังทุกคน โดยจะมีการเดินสายรับฟังเอกชนจากกลุ่มต่างๆ เชื่อว่าการขึ้นค่าแรง จะมีความเห็นไปในทางเดียวกัน และควรต้องยึดความเห็นจากคณะกรรมการไตรภาคี ไม่ก้าวข้ามกลไกที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน ดังนั้นเชื่อว่าก้าวไกลจะนำไปพิจารณา

นอกจากนี้ ข้อเสนอของ ส.อ.ท.คือช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ควรมีมาตรการต่างๆ ออกไปช่วยเสริม โดยเฉพาะผลกระทบจากค่าแรง ค่าไฟฟ้า และภาระดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งรื้อกฎหมายที่ล้าสมัยกว่าแสนฉบับ ที่เป็นกับดักกับผู้ประกอบการ ล็อกไม่ให้ธุรกิจไปไหน และกระตุ้นให้เกิดการทุจริต ยัดใต้โต๊ะ ในกรณีที่ต้องการให้การดำเนินธุรกิจมีความรวดเร็ว เช่น กระบวนการขอใบอนุญาตต่างๆ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง