คดีหุ้นพิธาใกล้จบ จ่อสอบเพิ่ม112

"แสวง" เผยขั้นตอนสอบหุ้นสื่อพิธาซับซ้อนในตัวกฎหมาย ชี้เป็นอำนาจคณะกรรมการไต่สวนฯ จะเชิญเข้าแจงหรือไม่ ไม่ขีดเส้นจบก่อนโหวตนายกฯ    เตรียมสอบเพิ่มปมนโยบาย ก.ก.ยกเลิกม.112 เข้าข่ายผิด กม.พรรคหรือไม่ แม้นายทะเบียนฯ ตีตกคำร้องไปแล้ว คำร้องเลือกตั้งพุ่ง 320 เรื่อง รอสอบข้อเท็จจริงก่อนเสนอ กกต.พิจารณาแจกใบเหลือง-แดง

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566 นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดีหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ว่าเรื่องนี้มีความซับซ้อน โดยเฉพาะตัวกฎหมาย  เนื่องจากมีพื้นฐานมาจากคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส. แต่เมื่อมาปรับใช้กับเหตุการณ์ สามารถดำเนินการได้หลายวิธี โดยเงื่อนไขแรกช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง คือการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร

เขาเผยว่า ตามกระบวนการจะต้องส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา โดยจะเชิญผู้สมัครมาชี้แจงหรือไม่มาชี้แจงก็ได้ ซึ่งมี 37 คดีที่ศาลได้วินิจฉัยแล้ว เงื่อนไขที่ 2 หลังการเลือกตั้ง กรณีที่เห็นว่าผู้สมัครมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม จะดำเนินการตามมาตรา 151 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ซึ่งเป็นการดำเนินคดีอาญา ซึ่งจะต้องแจ้งให้กับผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาชี้แจง  โดยการดำเนินการจะต้องดูเอกสารหลักฐานอย่างครบถ้วน ปราศจากข้อสงสัย  แล้วดูเจตนาประกอบด้วย ส่วนเงื่อนไขหลังประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง วิธีการคือตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งกรณีนี้จะเชิญผู้ที่มีลักษณะต้องห้ามการเป็น ส.ส.มาชี้แจงหรือไม่ก็ได้ หาก กกต.มีหลักฐานหรือเห็นเป็นความปรากฏ ซึ่งในชั้นนี้ผู้ที่สามารถวินิจฉัยได้คือศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ กกต.

นายแสวงกล่าวว่า ส่วนจะมีการเชิญนายพิธามาชี้แจงหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนที่ กกต.ตั้งขึ้น ว่าจะพิจารณาให้มาชี้แจงให้ข้อมูลหรือไม่ แต่ถ้าดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง จะเชิญหรือไม่เชิญมาก็ได้ หากมีหลักฐานเพียงพอที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ

"เบื้องต้นคณะกรรมการสืบสวนยังไม่รายงานรายละเอียดการดำเนินการตรวจสอบให้ กกต.พิจารณา จนกว่าจะสืบสวนเสร็จ เนื่องจาก กกต.และสำนักงานไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายและแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการสืบสวนได้ ทั้งการตั้งรูปเรื่อง การหาพยานเอกสารโดยกรอบการพิจารณา 20 วันแรก จะครบกำหนดกรอบแรกในวันที่ 3 ก.ค. แต่หากพิจารณาไม่เสร็จ สามารถยื่นขอขยายเวลาดำเนินการอีก 15 วัน ผ่านเลขาธิการ กกต. เบื้องต้นยังไม่เห็นว่ามีการยื่นหนังสือขอขยายเวลาตรวจสอบ"

ผู้สื่อข่าวถามว่า กกต.ได้มีการพิจารณายื่นศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 82 บ้างแล้วหรือไม่ เลขาธิการ กกต.ตอบว่า ก่อนที่ กกต.จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สิ่งสำคัญ กกต.ต้องเห็นก่อน แต่ยังไม่ใช่การวินิจฉัย เพียงเห็นว่ามีข้อมูลเพียงพอเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ซึ่งอาจใช้ข้อมูลจากคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนก็ได้ หรืออาจตั้งคณะกรรมการเข้ามาดูเรื่องนี้โดยเฉพาะก็ได้  แต่ให้แยกว่าเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ใช่การแจ้งข้อกล่าวหา เบื้องต้นขณะนี้มีผู้มายื่นร้องให้ กกต.ดำเนินการตามมาตรา 82 แล้ว ดังนั้นต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุม กกต.ว่าจะใช้วิธีการดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะแตกต่างจากระเบียบสืบสวนไต่สวน

เมื่อถามจะต้องมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในกรณีดังกล่าวก่อนการโหวตเลือกนายกฯ หรือไม่ นายแสวงแจงว่า เมื่อ กกต.เห็นจะต้องมีการประชุมอย่างแน่นอน แต่ท่านจะต้องดูว่ามีข้อมูลพยานหลักฐานแค่ไหน เพียงพอที่จะส่งให้ศาลวินิจฉัยได้หรือไม่ ต้องมีพยานหลักฐานและต้องเห็นด้วย ส่วนจะต้องยื่นให้ศาลพิจารณาก่อนการโหวตนายกฯ นั้น ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ กกต. จะต้องมาพิจารณา

ถามย้ำอีกว่า กระบวนการทุกอย่างจะต้องแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค.หรือไม่  เลขาธิการ กกต.ตอบว่า สำนักงาน กกต.ทำงานตามเวลาที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นกรณีการตรวจสอบตามมาตรา 151 ซึ่งต้องหาพยานหลักฐานให้ครบถ้วน รวมทั้งดูเจตนาด้วย เพราะเป็นคดีอาญา ส่วนรัฐธรรมนูญมาตรา 82 กกต.ประกาศรับรองผลได้เพียง 1 สัปดาห์ และเมื่อมีผู้มายื่นร้อง กกต.ก็คงจะพิจารณา

ซักว่า กรณีของนายพิธา กกต.สามารถดำเนินการกรณี “ความปรากฏต่อ กกต.” ได้หรือไม่ นายแสวงตอบว่า ไม่ต้องมีความปรากฏเลย โชะเลย แต่ต้องมีหลักฐาน กกต.ไม่ใช่ผู้ตัดสิน ก่อนเลือกตั้งจะต้องส่งให้ศาลฎีกา ถ้าไม่ได้รับการเลือกตั้งก็อยู่ในชั้นศาลยุติธรรม ส่วนได้รับเลือกตั้งแล้วก็ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ เหมือน กกต.เป็นคนฟ้องว่าข้อมูลหลัก เหตุเพียงพอให้ฟ้องหรือไม่ ก็เหมือนกับกรณีส่งศาลฎีกาพิจารณากรณี 37 ผู้สมัคร ส.ส. ไม่ต้องเชิญใครมาชี้แจง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อเห็นว่าพอฟ้อง มีหลักฐานก็ฟ้อง แต่ตอนนี้ กกต.ยังไม่เห็น  แต่กรณี 37 ผู้สมัคร ส.ส.นั้น กกต.เห็นแล้วก็ส่งศาลฎีกา โดยไม่ได้เชิญใครมาชี้แจง แต่กรณีการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 เป็นระเบียบสืบสวน หากมีการกล่าวหาก็ต้องเชิญผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง

เลขาธิการ กกต.ยังกล่าวถึงกรณีก่อนหน้านี้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นไม่รับคำร้องยุบพรรคก้าวไกลจากเหตุมีนโยบายหาเสียงแก้ไข หรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับสั่งอัยการสูงสุดชี้แจงว่ารับหรือไม่รับคำร้องของผู้ที่ยื่นร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในชั้นของกฎหมายพรรค เราจะพิจารณาว่าการกระทำนั้นมีอำนาจให้พรรคกระทำหรือไม่ และกระทำตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ซึ่งเขียนต่างจากรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ามีผู้เห็นว่าการกระทำนั้นใช้สิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ทำให้เป็นการล้มล้างระบบการปกครอง ต้องไปร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ​มาตรา 49 จึงเป็นคนละขั้นตอนกัน และแม้นายทะเบียนพรรคการเมืองจะมีความเห็นไม่รับคำร้องกรณีดังกล่าวไปแล้ว แต่ขณะนี้นายทะเบียนก็ได้ให้สำนักงานไปตรวจสอบเพิ่มเติมว่าการกระทำตามคำร้องนั้น ๆ เป็นความผิดฐานไหนอีกหรือไม่ ตามกฎหมายพรรค ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นฐานความผิดใดได้อีก ขอตรวจสอบก่อน

นายแสวงกล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส.ว่า ขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนกว่า 320 เรื่อง ซึ่ง กกต.ต้องดำเนินการพิจารณาว่าจะสั่งรับหรือไม่รับ หากรับไว้พิจารณาก็จะมีขั้นตอนการพิจารณาตามระเบียบสืบสวนไต่สวน ต้องรวบรวมเอกสารพยานหลักฐานต่างๆ ด้วยความรอบคอบและเป็นธรรม เมื่อตรวจสอบเสร็จ ทางสำนักงานก็จะเสนอให้ กกต.พิจารณา แม้จะประกาศรับรองผล ส.ส.ไปแล้ว แต่ กกต.ยังคงทำงานตลอด ไม่ได้หยุดนิ่ง

เมื่อถามว่า มีการพิจารณาว่าจะให้ใบเหลือง-ใบแดงกับบุคคลใดบ้างหรือไม่ นายแสวงกล่าวว่า ขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้เริ่มพิจารณา ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งภายหลังประกาศรับรองผล ก็มีผู้มายื่นร้องคัดค้านผู้ที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส. แต่จำตัวเลขไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าใด ซึ่งตามกฎหมายภายใน 30 วันที่ กกต.ประกาศรับรอง ถ้าผู้ใดเห็นว่าคนที่เป็น ส.ส.กระทำการไม่สุจริต สามารถร้องเรียนเพื่อให้ตรวจสอบได้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี ส.ส.เขตทวีวัฒนา-ตลิ่งชัน พรรคก้าวไกล ทำร้ายร่างกายผู้ช่วยหาเสียง หากมีเหตุทำให้พ้นสมาชิกภาพ จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ นายแสวงชี้แจงว่า ต้องดูว่ากรณีที่เป็นข่าวจะเป็นเหตุ ส.ส.ว่างลงหรือไม่ ถ้าตามกฎหมายขณะนี้ยังถือเป็นการกล่าวหา อย่างไรก็ตาม กรณีตำแหน่งว่างได้นั้นเกิดได้ 3 กรณี 1.ตัว ส.ส.แสดงเจตจำนง 2.ว่างเพราะสภาพตามกฎหมาย กรณีคดีถึงที่สุด และ 3.พรรคดำเนินการ ซึ่งต้องรอว่าจะออกมาเป็นอย่างไร หากตำแหน่งว่างลง กกต.ก็ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่

เมื่อถามย้ำว่า หากพรรคมีมติขับออก การดำเนินการตามกฎหมายจะเป็นอย่างไร เลขาธิการ กกต.ตอบว่า หากพรรคขับออก การขับถูกต้องตามข้อบังคับพรรค  สมาชิกพรรคคนนั้นต้องไปหาพรรคใหม่อยู่ภายใน 30 วัน หากไม่สามารถหาพรรคได้ตามเงื่อนเวลา ก็ต้องพ้นสมาชิก และต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ และหากลาออกจากสมาชิกพรรค จะพ้นจาก ส.ส.ทันที 

ซักว่า เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัวจำเป็นต้องเรียกค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ นายแสวงกล่าวว่า กกต.ก็ต้องพิจารณา เพราะกรณีการฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย ซึ่งแนว กกต.คือรักษาผลประโยชน์ของหลวง อย่างแรก คือถ้าเลือกตั้งสุจริต กฎหมายรองรับอยู่แล้ว หากเกิดเรื่องอื่นที่ทำให้ว่าง ถ้าเรารู้สึกว่าต้องเสียงบประมาณในการจัดการเลือกตั้ง ก็จะมีพิจารณาใช้วิธีการทางแพ่ง ซึ่งได้ดำเนินมาหลายคดี

ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี ส.ส.เขตทวีวัฒนา พรรคก้าวไกล ทำร้ายร่างกายแฟนสาวและถูกแจ้งความที่จังหวัดชลบุรี ล่าสุดมีรายงานว่า ตำรวจ สภ.บ่อวิน จังหวัดชลบุรี จะเรียกทั้งคู่ไปไกล่เกลี่ย ซึ่งฝ่ายชายยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น และยินดีไปไกล่เกลี่ยในวันที่ 30 มิ.ย.  

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง