จับขั้วใหม่212เสียง พท.-ภท.ลุยหาเสียงหนุนตั้งรบ.-ไม่มี2ลุงเอาเป็นกลุ่ม

"เพื่อไทย" แถลงจับมือ “ภูมิใจไทย” 212 เสียง เป็นสารตั้งต้นตั้งรัฐบาล เตรียมลุยหาเสียง สส.-สว. สนับสนุนเพิ่ม “ภูมิธรรม” โวตลอดสัปดาห์จะเห็นภาพตั้งรัฐบาลร่วมพรรคการเมืองอื่น เผยสลาย 188 เสียงแล้ว “อนุทิน” ย้ำไม่เอา ก.ก. “ชลน่าน” ยันไม่มี 2 ลุง แต่ไม่ปฏิเสธ สส.เป็นกลุ่มมาหนุน ย้ำ “เสี่ยนิด” แคนดิเดตนายกฯ พท. ปัดแบ่งเค้กกระทรวง 3 นิ้วป่วน! ปะทะแกนนำ ภท. ด้านแกนนำพรรคส้มไม่ปิดประตูถ้า พท.จะกลับบ้านหลังเดิมยังมองเป็นเพื่อน ห่วงได้นายกฯ ขั้วเดิม ซัดฝั่งอนุรักษนิยมเจ้าเล่ห์โหดเหี้ยม เตือนฝ่าย ปชต.อย่าให้ถูกหลอกซ้ำ

ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) วันที่ 7 สิงหาคม นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสต้องการให้พรรคเพื่อไทย (พท.) กลับมาจับมือกับพรรค ก.ก.เพื่อมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีโอกาสมากน้อยเพียงใดว่า อยู่ที่การตัดสินใจของพรรค พท. แต่พรรค ก.ก.ยังไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้ ตอนนี้เราก็เตรียมพร้อมทำงานไม่ว่าจะในบทบาทใด

เมื่อถามว่า เป็นการผลักให้พรรค ก.ก.ไปเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้เป็นห่วงว่าสถานการณ์ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ราบรื่น เสียงสนับสนุนจาก สว.ที่เคยคิดว่าอาจจะได้ก็อาจจะมีปัญหาเท่าที่ติดตามในกระแสข่าว ส่วนความกังวลในการจัดตั้งรัฐบาลอาจจะพลิกขั้ว แม้ว่าพรรค ก.ก.จะไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้วนั้น ไม่ใช่เฉพาะพรรค ก.ก.ที่กังวล แต่ประชาชนก็ไม่อยากเห็นการพลิกขั้วรัฐบาลที่นายกฯ มาจากขั้วอำนาจเก่า

ถามว่า หลังจากที่มีการพูดคุยกับ พท.ครั้งล่าสุด คือช่วง พท.แถลงขอถอนตัวออกจาก 8 พรรคร่วม จนถึงขณะนี้ยังมีการติดต่อกันอยู่หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกัน ส่วนการโหวตนายกฯ ครั้งถัดไปก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในพรรค เพราะยังพอมีเวลาตัดสินใจ เราไม่รู้ว่าสถานการณ์จะพลิกผันไปถึงจุดไหน ใกล้ช่วงวันโหวตนายกฯ คงจะมีการพูดคุยกันอีกครั้ง ระหว่างนี้ก็ต้องมีการจัดเตรียมเพื่อเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ระยอง

เมื่อถามว่า จริงๆ หลักการในการที่จะกลับไปจับมือกับพรรค พท.อีกครั้งมีเงื่อนไขอย่างไร นายชัยธวัชกล่าวว่า ต้องคุยกับกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส. แต่ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ คงบอกเรื่องหน้าไม่ได้ ส่วนท่าที สส.ของพรรค เช่น  นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ที่บอกว่ามีโอกาสจะถอยหลังกลับมาจับมือกับพรรค ก.ก.นั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล และตอนนี้ยังไม่มีการประสานงานกับพรรค พท.เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้

ถามว่า ตั้งคุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นนายกฯ ในสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรบ้าง นายชัยธวัชกล่าวว่า คุณสมบัติเป็นเรื่องพื้นฐานพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง และรวมเสียงข้างมากได้ควรจะเป็นนายกฯ ถ้าเราไปตั้งเงื่อนไขเยอะ ซึ่งแต่ละฝ่ายก็จะมองไม่เหมือนกัน ตรงนี้จะทำให้เกิดความขัดแย้งและวุ่นวายทางการเมือง ถ้ามีการพิจารณานโยบายด้วย ซึ่งนโยบายและคุณสมบัตินั้นประชาชนได้ตัดสินผ่านการเลือกตั้งแล้ว ถ้าเราไม่อิงเกณฑ์นี้จะทำให้การเมืองไปต่อไม่ได้และสร้างปัญหาในอนาคตแน่นอน

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยก็มีหลายรัฐบาลที่พรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่ได้มาจากพรรคอันดับ 1 นายชัยธวัชกล่าวว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดในสถานการณ์ที่เป็นประชาธิปไตยปกติ มันคือช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง ในช่วงเผด็จการบ้าง และอยู่ในช่วงที่เผด็จการยังสืบทอดอำนาจอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นวันนี้ถึงเวลาแล้วที่จะกลับมาสู่ประชาธิปไตยปกติ

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ได้ทวีตข้อความลงในทวิตเตอร์ว่า “เดินกลับแค่เสียหน้า แต่เดินหน้าจะเสียทุกสิ่ง” ว่า เป็นความรู้สึกที่สะท้อนออกมาจากประชาชน และเราก็สะท้อนกลับไปเท่านั้น

ก.ก.ยังหวัง พท.กลับมา

เมื่อถามว่า ต้องการที่จะให้ พท.กลับมาจับมือกับ ก.ก. ใช่หรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า ไม่ใช่กลับมาจับมือกับพรรค ก.ก. ​แต่กลับมาอยู่กับฝ่ายประชาชนมากกว่า ฝ่ายที่เราต้องอยู่คือฝ่ายเดียวกันกับประชาชน ส่วนที่ สส.พรรค ก.ก.​หลายคนพูดทำนองเดียวกันกับตนว่าให้จับมือกันอีกครั้ง เรียกว่าเป็นทางออกที่เราจะสามารถปกป้องเสียงของประชาชนได้ เป็นโอกาสเดียวที่เราจะฟื้นฟูอุดมการณ์ของประชาธิปไตย

"ประวัติศาสตร์ทางการเมืองทุกคนทราบดีว่า ฝ่ายอำนาจนิยมหรือฝ่ายอนุรักษนิยมเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม แต่จุดแข็งคือเขารวมตัวกันเหนียวแน่น และใช้ยุทธวิธีเดิมๆ คือแบ่งแยกและปกครอง ฝ่ายประชาธิปไตยต้องลืมความรู้สึกในลักษณะปัจเจกบ้าง ถ้าเรามีอุดมการณ์ที่ใกล้เคียงกันก็ต้องใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อย มองผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ แตกเมื่อไหร่จบเลย"

เมื่อถามว่า มองว่าในขณะนี้ พท.ยังพอมีเวลาที่จะกลับมาจับมือกับ ก.ก.​ นายวิโรจน์กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิของพรรค พท. มีสิทธิ์ที่จะเดินหน้าและถอยหลัง เราเพียงแต่มองจากภายนอกและประวัติศาสตร์การเมือง ว่าฝ่ายประชาธิปไตยถูกกระทำและถูกหลอกจากฝ่ายอำนาจเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  และฝ่ายอำนาจเก่าไม่เคยแตกแถว

เมื่อถามว่า ตอนนี้นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค พท. ก็ถูกตั้งข้อกังขาแบบเดียวกับที่พรรค ก.ก.​โดน นายวิโรจน์กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจและขอให้กำลังใจนายเศรษฐา สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราก็เคยคาดการณ์มาก่อน เหมือนกรณีที่ ก.ก.​โดนในเรื่อง ม.112 ว่าเป็นแค่ข้ออ้าง แรกๆ บอกว่าไม่มีปัญหา หลังๆ ก็ค่อยๆ งอกปัญหาออกมาเรื่อย เมื่อเห็นแล้วว่าฝ่ายนั้นอำมหิตขนาดไหน เราจึงบอกว่าอย่าไปยอมให้มันหลอกเลย

เมื่อถามว่า หากเปลี่ยนเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ พรรค พท. นายวิโรจน์กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของพรรค พท. แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้เปลี่ยนเป็นใคร อีกฝ่ายก็หาเรื่องอยู่ดี เหมือนของที่ไม่ซื้ออยู่แล้ว จะเปลี่ยนเป็นชิ้นไหนก็ติอีก สุดท้ายคือใจไม่เอาอยู่แล้ว

ถามว่า จะมีเงื่อนไขอะไรหรือไม่หาก พท.กลับมา นายวิโรจน์กล่าวว่า คงต้องมาคุยกันว่าเราจะกลับมาร่วมมือสู้ต่ออย่างไร ว่าทำไมฝั่ง 312 เสียงถึงดูยากเย็น เพราะไม่ได้สู้แค่กับฝั่ง 188 เสียง แต่สู้กับ 424 เสียง คือ สว.รวมกับขั้วอำนาจเดิม เชื่อจริงๆ หรือว่า สว.แต่ละคนเป็นอิสระ ต้องมีคนกดปุ่ม ดังนั้นคุณต้องไปคุยกับเจ้าของปุ่ม แล้วคุณเชื่อว่าเจ้าของปุ่มจะยอมกดปุ่มให้ฟรีๆ โดยที่เขาไม่ได้ร่วมรัฐบาลหรือ เรียกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี

เมื่อถามว่า หากกลับมาจะยังร่วมงานกันได้หรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า การทำงานได้กับความรู้สึกที่ไม่สบายใจคนละเรื่องกัน เรายังทำงานกันได้ ส่วนความไม่สบายใจจะลดไปตามกาลเวลา ถ้าอุดมการณ์ยังใกล้เคียงกันก็ทำงานได้ กับ พท.เรายังมองว่าเป็นเพื่อนเรา หากจะกลับมาผนึกกำลังกันสู้ประชาชนก็ยินดี แต่อาจจะต้องชี้แจงต่อสาธารณะให้ชัดเจน รวมกันเพราะอะไร ประชาชนก็พร้อมที่จะให้พวกเราเดินหน้า

ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายหลังการตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการอาคารเทียบท่า ​SAT-​1 สุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เตรียมจะไปร่วมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยในช่วงเย็น โดยพล.อ.ประยุทธ์ยกมือปฏิเสธไม่ตอบคำถามใดๆ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า "ไปถามนายอนุทินเอง เกี่ยวอะไรกับผม" จากนั้นนายกฯ ได้ชูมือสัญลักษณ์ไอเลิฟยู ก่อนจะรีบเดินขึ้นรถยนต์กลับออกไปทันที

พท.-ภท.จับมือ 212 เสียง

ต่อมาเวลา 16.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย แกนนำพรรคพท. ประกอบด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค  พท. และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค พท. ให้การต้อนรับแกนนำพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ประกอบไปด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองหัวหน้าพรรค ภท. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ภท. และนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ พรรค ภท. ลูกชายนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรค ภท. โดยแกนนำทั้งสองฝ่ายใช้เวลาหารือร่วมกันประมาณ 30 นาที ก่อนจะมีการแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล

 โดยเมื่อเวลา 16.35 น. แกนนำทั้งสองพรรคร่วมกันแถลงข่าว นายอนุทินแถลงว่า ครั้งนี้เป็นการมาพรรค พท.เป็นครั้งที่ 2 ของพรรค ภท. ต้องขอบคุณผู้บริหารพรรคพท.ที่ได้ประสานในการหารือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคพท.เป็นแกนนำ พรรค ภท.ตอบรับคำเชิญจากพรรค พท. ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ สืบเนื่องจากการหารือเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พรรค ภท.ยืนยันว่าไม่ขัดข้องที่จะตั้งรัฐบาลกับพรรค พท. โดยมีหลักการ 3 ประการ คือ 1.ไม่แตะต้องมาตรา 112 ทั้งการแก้ไขหรืออื่นๆ 2.ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และ 3.หากมีพรรค พท.เป็นแกนนำ  ในส่วนของพรรค ภท.จะต้องไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล ซึ่งวันนี้รับทราบจากพรรค พท.ว่าแนวทาง 3 ประการของพรรค ภท.นั้น พรรค พท.เห็นพ้องเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีอุปสรรคน้อยที่สุด

"พรรค ภท.ให้คำยืนยันกับพรรค พท.ว่าหากยังไม่เชิญพรรคอื่นมาหารือ ให้ถือว่าขณะนี้พรรค พท.มี 212 เสียง  คือพรรค พท.บวกกับพรรค ภท. เพื่อที่หากมีการเชิญพรรคอื่นๆ ตามดุลยพินิจพรรค พท. จะได้มีความมั่นใจกับพรรคอื่นๆ ว่าเราตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งขณะนี้พรรค พท.แจ้งว่ามีความมั่นใจในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ โดยที่พรรคร่วมรัฐบาลที่อยู่ในแผนของพรรค พท.มี สส.เกินกึ่งหนึ่งแล้วแน่นอน เป็นไปตามเจตนารมณ์ระบอบประชาธิปไตย"

นายอนุทินกล่าวต่อว่า เราจะร่วมกันหาเสียงสนับสนุนจาก สส.และ สว.เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ ส่วนการเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี ภท.จะปฏิบัติตามข้อเสนอของ พท. ซึ่ง ภท.ขอแถลงยืนยันตามนี้

ด้าน นพ.ชลน่านกล่าวว่า โดยเงื่อนไขของ ภท.เรารับได้ และต้องขอบคุณคำว่า 212 เสียง จะเป็นเสียงตั้งต้นที่จะเริ่มจัดตั้งรัฐบาล ถือเป็นเสียงข้างมาก ทั้งนี้ พท.และ ภท.จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยการสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่างๆ และ สส.จากหลายพรรคการเมือง ซึ่งขณะนี้มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้ว แต่เรายังคงต้องการเสียงสนับสนุนจาก สส. และ สว.เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ สามารถบริหารประเทศ และเร่งแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้โดยเร็ว รัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นในครั้งนี้แม้จะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้ว แต่เรายังต้องการการสนับสนุนจากทุกฝ่าย เนื่องจากปัญหาของประเทศชาติและประชาชนที่กำลังเผชิญอยู่นี้ มีความเดือดร้อนรุนแรง การประวิงเวลาออกไปยิ่งทำให้เกิดความเสียหายยิ่งขึ้น การจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วเท่าไรจะยิ่งแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วมากขึ้น

หัวหน้าพรรค พท.กล่าวอีกว่า พรรค พท.ในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรค ภท. เห็นว่าทุกฝ่ายสามารถทำงานร่วมกันได้ จึงกำหนดแนวทางในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนี้ 1.ยึดวาระของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและประชาธิปไตย นำความปรองดอง สมานฉันท์กลับคืนสู่ประเทศ 2.จะเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการประชุมคณะรัฐมนตรีในวาระแรก จะมีมติให้ทำประชามติขอจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยกระบวนการจัดตั้ง ส.ส.ร. 3.ดำเนินงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์จะร่วมกันผลักดันให้สำเร็จ สิ่งใดที่เป็นปัญหาจะต้องถูกตรวจสอบและเร่งแก้ไขให้ถูกต้อง 4.จัดตั้งรัฐบาลที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ 5.การจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้เปิดกว้างให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภามีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อผ่าทางตันระบบการเมืองของประเทศ และฝ่าวิกฤตรัฐธรรมนูญที่สร้างปัญหาอยู่ในปัจจุบัน

ไม่เอา 2 ลุงแต่เอา สส.-สว.

 “หลังจากนี้เราจะเดินหน้าทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนในสังคม รวมทั้ง สส.และ สว.เพื่อแสวงหาความร่วมมือ และกำหนดเจตนารมณ์ในการบริหารประเทศ จึงร้องขอการสนับสนุนจากทุกพรรคการเมืองทุกฝ่าย ทุกคน มาร่วมกันกอบกู้วิกฤตของประเทศในครั้งนี้” นพ.ชลน่านกล่าว

ขณะที่นายภูมิธรรมกล่าวว่า ในเกือบทุกวันของสัปดาห์นี้จะเห็นภาพ พท.จับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองอื่นเพิ่มขึ้น และไม่ได้ปิดโอกาสเสียงจากรายบุคคลที่จะสนับสนุนนายกฯ พท. ขอให้มั่นใจว่าจะมีเสียง สส.สนับสนุนเกินครึ่ง ส่วนการขอเสียง สว.อยู่ระหว่างการดำเนินการ และมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีทุกส่วน

เมื่อถามว่า ที่ระบุว่าไม่มี 188 เสียงแล้วหมายความว่าอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า คำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว ซึ่งพรรค ภท.ไม่มีนโยบายร่วมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย  เพราะไม่มีความมั่นคง ไม่มีประโยชน์ คำว่า 188 เสียงจึงไม่มีในสมการจัดตั้งรัฐบาล

ถามว่า การจับมือกับ พท.จะมีพรรคลุงหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เรามีเพียง 3 เงื่อนไข ส่วนอื่นเป็นดุลยพินิจของ พท.ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อะไรที่นอกเหนือจากเงื่อนไข 3 ประการ เราคงไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่า การร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้จะจับมือกันจนกว่าจะได้นายกฯ ไม่มีการเปลี่ยนขั้วแล้วใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เราทำทุกอย่างเพื่อบ้านเมือง เพื่อประเทศชาติ การพูดอะไรผูกมัดเกินไปอาจทำให้เกิดทางตัน วันนี้เอาบ้านเมืองเป็นหลัก เชื่อว่าจะเดินไปได้

เมื่อถามว่า ได้มีการถอนฟ้องกรณีพรรค ภท.ฟ้องนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรค พท. ที่ปราศรัยโจมตีนโยบายกัญชาว่ามอมเมาประชาชนแล้วหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “ถอนไปแล้วครับ” ถามว่าจะมีพรรคไหนร่วมรัฐบาลอีกบ้าง และมีเงื่อนไขอะไรอีกหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สัปดาห์นี้จะพบปะกันทั้งหมด จะมีการทาบทามพรรคอื่นๆ มาร่วมรัฐบาล

เมื่อถามว่า โฉมหน้ารัฐบาลนี้จะเป็นรัฐบาลสมานฉันท์หรือไม่ นพ.ชลน่านบอกว่า สถานการณ์ขณะนี้ไม่สามารถทำตามเจตนารมณ์ประชาชนได้ การหันมาเข้าหากันตั้งรัฐบาลจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ถามว่า จะมีการจับมือกับพรรคสองลุงและให้พรรค ก.ก.ไปเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า "ในแถลงการณ์บอกชัดเจนว่าไม่มีสองลุง แต่ไม่ปฏิเสธเงื่อนไข ถ้าจะมี สส., สว.เป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลมาสนับสนุนนายกฯ ของพรรค พท. ถือเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละบุคคล" 

เมื่อถามว่า จะอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้อย่างไรถึงการจับมือร่วมกันระหว่างพรรค ภท.กับพรรค พท. และพรรค ภท.จะต่อรองขอคุมกระทรวงเดิมหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการลงรายละเอียดเรื่องการต่อรองกระทรวง แต่ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน

เมื่อถามว่า ส่วนแคนดิเดตนายกฯ ยังเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน อยู่หรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า สื่อรับรู้ทั่วไปว่าเป็นเช่นนั้น และยืนยันว่ายังเป็นนายเศรษฐาอยู่

"เราเชื่อมั่นในการจับมือกับพรรค ภท.ว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ เชื่อมั่นว่าการจับมือกับพรรค ภท.มีโอกาสสูงที่จะจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ" นพ.ชลน่านกล่าว

ม็อบ 3 นิ้วปะทะแกนนำ ภท.

 ขณะเดียวกัน ระหว่างที่แกนนำพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทยร่วมแถลงข่าวจับมือจัดตั้งรัฐบาลอยู่นั้น ปรากฏว่ากลุ่มทะลุวังที่นำโดย น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และ น.ส.ธนลภย์ ผลัญชัย หรือหยก แต่งชุดพีพีอี ซึ่งเป็นชุดที่แพทย์ใช้ในการต่อสู้กับเชื้อโควิด พร้อมพกถังแอลกอฮอล์เดินทางมาที่พรรคเพื่อไทย เพื่อคัดค้านการจับมือตั้งรัฐบาลของสองพรรค

ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้เตรียมการรับมือด้วยการนำแผงกั้นมาขวาง ไม่ให้กลุ่มทะลุวังขึ้นมายังบริเวณทางเข้าพรรคเพื่อไทยได้ โดยกลุ่มดังกล่าวพยายามบุกเข้าไปด้านใน แต่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขวางไว้ จึงทำได้เพียงโปรยใบปลิวหน้าที่ทำการพรรค ซึ่งมีเนื้อหาโจมตี นพ.ชลน่านเกี่ยวกับเรื่องที่เคยประกาศจะลาออกหากจับมือกับพรรคสองลุง และโจมตีนายอนุทินเกี่ยวกับการแก้ปัญหาโควิด พร้อมกันนี้ยังได้ฉีดแอลกอฮอล์ใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้วย

หลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น แกนนำพรรคภูมิใจไทยเดินทางออกจากพรรคเพื่อไทยทันที ซึ่งกลุ่มดังกล่าวก็พยายามวิ่งขวางเส้นทางไม่ให้ออกจากพรรคเพื่อไทยไปยังถนนเพชรบุรีตัดใหม่ได้ จากนั้นเวลา 17.30 น. รถของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองหัวหน้าพรรค ภท.ที่กำลังจะเดินทางออกจากที่ทำการพรรค พท. แต่ปรากฏว่าได้เจอกับกลุ่มทะลุวัง โดยมี น.ส.เนติพรยืนดักอยู่บริเวณหน้ารถ ทำให้รถของนายพิพัฒน์ไม่สามารถเคลื่อนออกไปได้ ซึ่ง น.ส.เนติพร พูดผ่านโทรโข่งว่า รบกวนลดกระจกลงหน่อย เพราะอยากรู้ว่ามีฆาตกรอยู่ในรถหรือไม่ ทำให้นายพิพัฒน์เดินลงมาจากรถแล้วพูดว่า “หลบ รถจะออก”

 น.ส.เนติพรจึงสอบถามว่า “มาจากพรรคอะไร ใช่พรรคภูมิใจไทยหรือไม่” นายพิพัฒน์จึงตอบว่า “พรรคภูมิใจไทย" ทำให้ น.ส.เนติพรตะโกนผ่านโทรโข่งว่า “ภูมิใจไทยอยู่ตรงนี้" จากนั้นนายพิพัฒน์บอกกับ น.ส.เนติพรว่า “อย่าขัดขวางการเดินทาง” โดย น.ส.เนติพรโต้ว่า “วันนี้มีปัญหา เพราะไอ้หนูคือฆาตกร ที่กำลังจะมาจับมือกับพรรคเพื่อไทย ไม่ทราบเลยหรือว่าประชาชนตายจากโควิดไปกี่คน” นายพิพัฒน์จึงกล่าวว่า “ใช้ภาษาให้ดีๆ” จากนั้นจึงเกิดการโต้เถียงกันด้วยถ้อยคำรุนแรง จากนั้นจึงมีการพลุแฟร์แล้วโยนไปที่บริเวณท้ายรถของนายพิพัฒน์ ทำให้นายพิพัฒน์เดินกลับขึ้นรถไป โดยนายพิพัฒน์ให้สัมภาษณ์ระหว่างที่ยังไม่สามารถเดินทางออกจากพรรคเพื่อไทยได้ว่า เหตุการณ์ที่มากดดันแบบนี้ไม่กระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาล เพราะเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องเดินหน้า ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจก็เดินต่อไม่ได้

หลังจากนั้นแกนนำพรรคภูมิใจไทยได้ทยอยกลับออกจากพรรคเพื่อไทยจนหมด กระทั่งเวลา 18.30 น. กลุ่มทะลุวังจึงได้เดินทางกลับออกไปจากบริเวณพรรคเพื่อไทย

นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์กรณีหากพรรคเพื่อไทยไม่ได้นายกฯ ควรเปิดโอกาสพรรคลำดับถัดไปจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ว่า ต้องให้พรรคอันดับรองลงไป ส่วนแคนดิเดตนายกฯ ตอนนี้ที่ตนมองเห็น มี 2 คน คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่วนนายกฯ คนนอกตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272  วรรคสองนั้น ตนมองว่าไปไม่ถึง

เมื่อถามว่า ประเมินว่าสูตรจัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และพรรคอีกขั้วที่มี 188 เสียง โดยไม่มีพรรคก้าวไกล จะเป็นไปได้หรือไม่ นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า หากรวมเสียงได้ขนาดนั้นถือว่าเสียงเกิน 300 เสียงขึ้นไปแล้ว แต่อาจจะอยู่ไม่ถึง 4 ปี เพราะมีประเด็นแก้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี การจัดตั้งรัฐบาลผสมสูตรใดก็ตามที่เป็นข่าว สว.ไม่ขอก้าวก่าย ส่วนทิศทางการโหวตนายกฯรอบต่อไปนั้น เชื่อว่า สว.ส่วนใหญ่จะออกเสียงว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบมากกว่าการงดออกเสียง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง