จัดเคาต์ดาวน์ได้ ต้องฉีดวัคซีนครบ2เข็ม เฮ!นั่งดริงก์จนถึงตีหนึ่ง

“ประยุทธ์” นั่งหัวโต๊ะประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เคาะเคาต์ดาวน์ได้ ร้านเหล้าเฮ! ดริงก์จนถึงตีหนึ่ง ยกเลิกจังหวัดสีแดงเหลือแค่ “ส้ม-เหลือง” ตีเส้นอีเวนต์นับถอยหลังสู่ปีใหม่ ผู้เข้าร่วมต้องฉีดวัคซีน 2 เข็ม “นักร้อง-นักดนตรี” ต้องมีผล ATK ล่วงหน้า 72 ชม. พ่วงไฟเขียวจัดสวดมนต์ข้ามปี สธ.เตรียมเร่งเข็ม 3 บูสเตอร์ พร้อมวางแปลนปี 65 หาเข็ม 4 ส่วนโอมิครอนพบแล้ว 11 ราย เตือนอย่าเพิ่งวิตกยังไม่พบกลายพันธุ์

เมื่อวันจันทร์ที่ 13 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) หรือ ศบค. เป็นประธานการประชุม ศบค.ครั้งที่ 20/2564 โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวภายหลังการประชุมว่า มีการพิจารณาหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องเคาต์ดาวน์ปีใหม่ การสวดมนต์ข้ามปี และมาตรการด้านการท่องเที่ยว และการจัดงานต่างๆ โดยได้หารือตามที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 (ศปก.สธ.) เสนอ

“สิ่งสำคัญที่สุดคือการเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครบ 2 เข็ม ซึ่งรัฐบาลได้สั่งการไปแล้วให้เตรียมความพร้อมเรื่องฉีดวัคซีน ส่วนผู้ที่ไปเที่ยวงานต่างๆ ที่มีคนจำนวนมากต้องระมัดระวัง เพราะ ศบค.สรุปให้จัดงานปีใหม่ได้ แต่ต้องมีมาตรฐานและปฏิบัติตามมาตรการ COVID - Free Setting โดยเฉพาะการฉีดวัคซีน ฉะนั้นใครที่ยังไม่ฉีดวัคซีนยังมีเวลาถึงวันที่ 27 ธ.ค. เพราะเทศกาลปีใหม่จะเริ่มจัดตั้งแต่วันที่ 27-31 ธ.ค. ฉะนั้นขอให้ทุกคนเร่งฉีดวัคซีนให้ได้โดยเร็วที่สุด”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า จากนี้จะลดระยะเวลาการฉีดเข็ม 3 จากเดิม 4-6 เดือน เปลี่ยนเป็น 3 เดือนสำหรับบางกรณีที่จำเป็น และต้องไม่อยู่ในกลุ่มโรคเสี่ยงก็พร้อมฉีดให้ ส่วนที่แสดงความกังวลว่าสายพันธุ์โอมิครอนจะไปรวมกับสายพันธุ์เดลตา ขออย่าให้กังวล เพราะถ้ากังวลไปเรื่อยๆ ก็ไม่จบ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี เราต้องการให้เกิดความสะดวกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบตามที่ สธ.เสนอเกี่ยวกับมาตรการการท่องเที่ยว การทำโซนสีจังหวัด จากสีแดงมาเป็นสีส้มให้มากที่สุด และแผนการบริหารจัดการวัคซีนในปี 2565 ซึ่งจะมีการบูสเข็ม 3 ให้เร็วขึ้น รวมถึงการจัดงานเทศกาลปีใหม่ที่ต้องฉีดวัคซีน 2 เข็ม

ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลประชุม ศบค.ชุดใหญ่ โดยระบุถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,398 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 5,467 ราย อยู่ระหว่างรักษา 49,524 ราย อาการหนัก 1,061 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 307 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 23 ราย เป็นชาย 14 ราย และหญิง 9 ราย ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,172,044 ราย มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,101,326 ราย มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 21,194 ราย ส่วนยอดผู้ได้รับวัคซีนของไทยเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. เพิ่มเติม 81,367 โดส รวมยอดฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.ทั้งสิ้น 97,403,117 โดส

“สถานการณ์การติดเชื้อรายใหม่เมื่อเปรียบเทียบกับการคาดการณ์ถือว่าต่ำกว่าฉากทัศน์ เช่นเดียวกับอัตราการเสียชีวิตที่แนวโน้มยังต่ำกว่าเส้นฉากทัศน์เช่นเดียวกัน นี่คือความรวมพลังพี่น้องประชาชนคนไทยที่ทำให้เรามาถึงวันนี้ได้ ซึ่งเราต้องผ่านเทศกาลปีใหม่นี้ หลังจากที่เราไม่ได้จัดมา 2 ปี โดยนายกฯ ระบุว่าต้องพยายามช่วยกันเพื่อให้เรามีเทศกาลดีๆ นี้เกิดขึ้นในประเทศ” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

นพ.ทวีศิลป์กล่าวอีกว่า ศบค.มีมติปรับระดับพื้นที่ โดยขณะนี้เราเหลือเพียง 2 กลุ่มสีคือ พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) จาก 23 จังหวัด ปรับเป็น 39 จังหวัด และพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จาก 24 จังหวัด ปรับเป็น 30 จังหวัด นอกจากนี้ยังมีพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) จาก 7 จังหวัด ปรับเป็น 8 จังหวัด โดยเพิ่ม จ.ชลบุรีเข้ามา ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) จากเดิมมี 23 จังหวัด ปรับเป็นศูนย์ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.นี้ นอกจากนี้ ในวันที่ 1 ม.ค. จะเพิ่มจังหวัดพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวในระยะที่ 3 ได้แก่ จ.บึงกาฬและนครพนม นำร่องทั้งจังหวัด และบางที่เป็นเฉพาะบางอำเภอ ได้แก่ จ.ตราด อ.คลองใหญ่ จ.สระแก้ว อ.เมืองฯ และ อ.อรัญประเทศ จ.มุกดาหาร อ.เมืองฯ และ จ.อุบลราชธานี อ.เมืองฯ และ อ.สิรินธร

ปรับมาตรการเข้า-ออกปท.

นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ในที่ประชุมยังหารือการปรับมาตรการควบคุมโรค โดยตั้งแต่วันที่ 1-30 พ.ย. มีผู้เดินทางเข้าประเทศ 133,061 ราย พบผู้ติดเชื้อ 171 ราย คิดเป็น 0.13% ขณะที่เมื่อรวมเข้ากับผู้ที่เดินทางเข้ามาในเดือน ธ.ค. 87,383 ราย พบผู้ติดเชื้อ 152 ราย คิดเป็น 0.17% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยอยู่ จึงเป็นสิ่งที่ทำให้คณะกรรมการมั่นใจมาตรการต่างๆ ที่เราออกไป ทั้ง Test and Go และแซนด์บ็อกซ์ โดยกรมควบคุมโรคขอปรับมาตรการการเข้าประเทศอย่างกรณีนักท่องเที่ยวที่เข้ากักตัวและได้รับวัคซีน เดิมที่มีการปรับจาก 7 วันเป็น 5 วัน ขอปรับให้กักตัว 7 วันตามเดิม, นักท่องเที่ยวกลุ่ม Test and Go และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวที่เคยปรับการตรวจหาเชื้อครั้งแรกจาก RT-PCR เป็น ATK ขอปรับกลับไปเป็น RT-PCR ตามเดิม และยังคงตรวจ ATK ด้วยตนเองในครั้งที่ 2 ทั้งนี้ เป็นการปรับที่อ้างอิงกับประเทศในแถบยุโรปที่กลับมาใช้วิธีนี้เหมือนกัน โดยจะมีการแบ่งกลุ่มประเภทบุคคล และการแบ่งกลุ่มประเทศ รวมถึงการปรับช่องทางการเข้าราชอาณาจักร

นพ.ทวีศิลป์กล่าวอีกว่า ที่ประชุม ศบค.ยังเห็นชอบปรับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งขณะนี้มีพื้นที่สีเฉพาะสีส้มและสีเหลือง โดยให้บริโภคสุราในคืนวันที่ 31 ธ.ค.2564 ถึงเวลา 01.00 น. ของวันที่ 1 ม.ค.2565 เฉพาะร้านที่เปิดโล่งและมีอากาศถ่ายเทสะดวก แต่ต้องดำเนินการเคร่งครัดตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ สธ.กำหนดคือโควิดฟรีเซตติง

“การจัดงานที่มีผู้ร่วมงานตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป ผู้จัดงานพนักงาน นักดนตรีต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ มีการตรวจคัดกรองด้วย ATK ภายใน 72 ชั่วโมง ผู้เข้าร่วมงานต้องลงทะเบียนและแสดงหลักฐานการได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ และมีผลตรวจ ATK เป็นลบ และการจัดงานต้องจัดในพื้นที่ที่ควบคุมการเข้า-ออกได้ โดยไม่ให้เกิดความแออัด จัดให้มีการจองตั๋วหรือลงทะเบียนล่วงหน้า กำหนดช่องทางเข้า-ออกเพียงจุดเดียว และมีระบบคิว จำกัดผู้เข้าร่วมงาน 1 คนต่อ 4 ตารางเมตร กำหนดโซนผู้เข้าร่วมงาน ระบุที่นั่งชัดเจน เน้นการทำความสะอาดทุกพื้นที่ พื้นผิวทุก 1-2 ชั่วโมง กรณีมีการแสดงควรจัดระยะห่างระหว่างเวทีและผู้ชมอย่างน้อย 5 เมตร” นพ.ทวีศิลป์กล่าว และว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมงานรื่นเริงต่างๆ ฉีดวัคซีน 1 ครั้งไม่เพียงพอ อย่างน้อยต้อง 2 เข็มตามเกณฑ์ ซึ่งนายกฯ ระบุว่าระยะเวลานี้ยังไม่ถึงช่วงปีใหม่จึงยังมีเวลารณรงค์ให้ผู้ที่ได้รับวัคซีน 1 เข็มให้ไปรับการฉีดเข็มสอง เพื่อที่จะเข้าร่วมงานรื่นเริงเหล่านี้ได้ จึงขอฝากประชาสัมพันธ์

นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เสนอภาพการจัดงานช่วงปีใหม่ในพื้นที่ต่างๆ ว่ามีพื้นที่หลัก 5 จังหวัดคือ เชียงใหม่ ภูเก็ต นครราชสีมา ระยอง และพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อม รวมถึงยังมีในพื้นที่อื่นๆ อีก 44 จังหวัด ซึ่งเหล่านี้คือความพร้อมในการจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยหลายที่จะเริ่มจัดงาน ตั้งแต่วันที่ 27-31 ธ.ค.2564 โดยอนุญาตให้ใช้เวลาตั้งแต่เวลา 16.00 น. ถึง 22.00 น. แต่เฉพาะวันที่ 31 ธ.ค.64 จะให้จัดถึง 00.30 น. และในพื้นที่การจัดงาน ไม่ให้จำหน่ายแอลกอฮอล์ อนุญาตให้ขายอาหารหรือสินค้าอื่นๆ ได้ ส่วนกระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมการศาสนายังได้รายงานการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีว่าจะมีกิจกรรมในส่วนกลาง ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในวันที่ 31 ธ.ค.64 เวลา 22.30 น. มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ส่งท้ายปีเก่า ที่วัดอรุณราชวราราม เวลา 23.30 น. และจัดกิจกรรมทำบุญตักบาตรรับปีใหม่ วันที่ 1 ม.ค. 65 เวลา 07.00 น. รวมถึงมีการจัดกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

“เป้าหมายการฉีดวัคซีนในปี 2565 ศบค.เห็นว่าประชาชนทุกคนต้องได้รับวัคซีนเพียงพอ ครอบคลุมอย่างน้อย 85% ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน สามารถรับการฉีดแบบวอล์กอินได้ กลุ่มเป้าหมายต่ำกว่า 12 ปี ได้รับวัคซีนตามความสมัครใจของเด็กและผู้ปกครอง ส่วนแผนการจัดหาวัคซีนในปี 2565 มีการอนุมัติอีก 120 ล้านโดส โดยนายกฯ มอบหมายกรมควบคุมโรคไปจัดหา โดยเข็มที่ 4 ที่จะจัดหานั้น นายกฯ ให้วางแผนไว้เลย เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเข็มที่ 4 จะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา จึงขอให้กรมควบคุมโรคทำสัญญาเตรียมการลงนามในข้อกฎหมายก่อนสั่งซื้อ เพื่อให้ไทยเราได้วัคซีนที่ทันสมัยป้องกันเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ได้”

พบโอมิคอรนแล้ว 11 ราย

ขณะเดียวกัน นพ.ศุภกิจ​ ศิริ​ลักษณ์​ อธิบดี​กรม​วิทยา​ศาสตร์​การแพทย์​ แถลงถึง​สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์​โอ​มิ​ค​รอน​ว่า ตั้งแต่เปิดประเทศวันที่ 1 พ.ย. ผลการเฝ้าระวังพบผู้เข้าข่ายติดเชื้อ 11 คน มีผลตรวจยืนยันแล้ว 8 คน ในจำนวนนี้ 9 คนอยู่ใน กทม. เข้าไทยในระบบแซนด์บ็อกซ์และ Test & Go อีก 2 คน พบใน จ.นนทบุรีและชลบุรี

“ประชาชนอย่าเพิ่งวิตกกังวล มาตรการที่มีเพียงพอรับมือเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน หรือเชื้อกลายพันธุ์ใหม่ ระหว่างนี้สายพันธุ์ที่ระบาดหลักยังเป็นสายพันธุ์เดลตา จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมมากที่สุด ส่วนการตรวจพบผู้ติดเชื้อโอมิครอน เป็นการตรวจพบจากผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเท่านั้น ยังไม่พบที่เกิดการติดเชื้อในประเทศไทยโดยตรง ส่วนที่หลายคนกังวลว่าอาจเกิดการระบาดสายพันธุ์ผสม ขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อแบบไฮบริดแต่อย่างใด ที่ผ่านมาการระบาดในไทยมีการระบาดที่หลากหลายสายพันธุ์ แต่ยังไม่เจอการเกิดสายพันธุ์แบบไฮบริด” นพ.ศุภกิจกล่าว

นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษา ศบค.ยอมรับว่า หนีโอมิครอนไม่ได้แน่ ขณะนี้มี 8 รายแล้ว และกำลังจะมีเข้ามาอีก อย่างเกาหลี คนที่ติดโอมิครอนไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศเลย แต่เกิดจากภายใน เพราะมีการกลายพันธุ์ของเชื้อและโอมิครอนแพร่ไปกว่า 60 ประเทศทั่วโลกแล้ว และแพร่เชื้อเร็วกว่าเดลตา ส่วนเรื่องการกลายพันธุ์นั้น แม้มีความเป็นไปได้ แต่การจะกลายพันธุ์ได้ต้องมีการแพร่เชื้อออกไปถึงกลายพันธุ์ได้ ยิ่งแพร่เชื้อมากจะยิ่งมีโอกาสกลายพันธุ์ได้มาก ถ้าเราตัดขั้นตอนไม่ให้แพร่กระจายได้ โอกาสกลายพันธุ์ก็จะลดลง ซึ่งเป็นหลักการทางการแพทย์ แต่ถ้าเราช่วยกันตามมาตรการสาธารณสุข จะเป็นการลดและช่วยป้องกันไม่ให้กลายพันธุ์ได้ด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง