เฮจ่อลดราคา20สินค้า กฟผ.แบกหนี้อุ้มค่าไฟ

“ภูมิธรรม” ลุยลดราคาสินค้า 20 ตัว "ข้าว-ไก่-หมู-ไข่" บี้กรมการค้าภายในสรุปภายใน 15 วัน ต้น ต.ค.ชัดเจนแน่ กกพ.เด้งรับมติ ครม. ถกด่วนเคาะ ปตท.ลดราคาก๊าซธรรมชาติขายหน่วยผลิตไฟ สั่ง กฟผ. แบกหนี้ต่อ หั่นค่าไฟเหลือ 3.99 บาทให้ได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 20  กันยายน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงมาตรการลดราคาสินค้า หลังจากที่รัฐบาลประกาศลดราคาน้ำมันดีเซลว่า  การลดราคาน้ำมันของรัฐบาล เนื่องจากเป็นปัญหาต่อค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน ซึ่งมีปัญหาเรื่องต้นทุนสินค้าตามมา เพราะในต้นทุนสินค้า มีค่าโลจิสติกส์และค่าผลิต เรื่องนี้ได้มอบหมายนโยบายเร่งด่วนให้กรมการค้าภายในดูเรื่องการลดราคาสินค้า ภายใน 15 วัน โดยให้ดูรายการสินค้าทั้งหมดที่มีผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน สินค้าตัวไหนมีต้นทุนอย่างไร และจะลดราคาได้แค่ไหน คาดว่าต้น ต.ค.น่าจะมีความชัดเจน 

"สิ่งสำคัญคือภายในสัปดาห์หน้า ผมจะไปพูดคุยกับผู้ประกอบการรายใหญ่เพื่อหารือกันเรื่องนี้ด้วย คนตัวใหญ่ต้องช่วยคนตัวเล็กให้ขึ้นไปด้วยกัน แก้ปัญหา สร้างจุดสมดุลให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคให้ไม่กระทบกับทุกฝ่าย หาจุดที่ประนีประนอมกันได้  คาดว่าสินค้าที่จะได้รับการพิจารณาจะเป็นสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันประมาณ 20 ตัว เช่น ข้าว ไก่ หมู ไข่ เราจะลดต้นทุนอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้นโยบายหาจุดสมดุลและอยู่ร่วมกันได้กับทุกฝ่าย น่าจะเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหา" นายภูมิธรรมระบุ

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 18 ก.ย.2566 เห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชนตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้เรียกเก็บค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2566 จากเดิมหน่วยละ 4.45 บาท ให้เหลือ 3.99 บาท พร้อมกับมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กกพ. และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการให้ถูกต้อง รอบคอบ  เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติ ครม.ที่เกี่ยวข้องโดยด่วน

โดยวันนี้ (20 ก.ย.) กกพ.ได้เชิญการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. มาชี้แจงและกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย และต้องเป็นการดำเนินการอย่างเร่งด่วนให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล แต่การกำหนดอัตราเรียกเก็บค่าไฟฟ้าหน่วยละ 4.45 บาทนั้น เป็นการคำนวณที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 มาตรา 65 และประกาศ กกพ. เรื่องกระบวนการ ขั้นตอนการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ พ.ศ.2565 แต่เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายปรับลดเรียกเก็บค่าไฟฟ้าหน่วยละ 3.99 บาท เป็นผลให้เกิดส่วนต่างหน่วยละ 46 สตางค์ จำเป็นต้องให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่งแบกรับภาระไปก่อน จนกว่าสถานการณ์พลังงานผ่อนคลาย จึงเรียกเก็บคืนค่าไฟฟ้าคงค้างจากผู้ใช้ไฟฟ้าภายหลัง                 

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตามมติ ครม. ซึ่งเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน ที่กำหนดให้ ปตท.ปรับลดค่าก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บจากกิจการผลิตไฟฟ้า ซึ่งแต่เดิมกำหนดไว้ 323.37 บาทต่อล้านบีทียู  เป็นไม่เกิน 304.79 บาทต่อล้านบีทียู ในส่วนของ กฟผ. ซึ่งแบกภาระค่าไฟฟ้าคงค้างก่อนหน้านี้รวมประมาณกว่า 1 แสนล้านบาท และอยู่ระหว่างการเรียกเก็บคืนเงินคงค้าง ซึ่งอยู่ในค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2566 หน่วยละ 38.31 สตางค์นั้น เมื่อ ครม.มีมติให้ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าเหลือเพียงหน่วยละ 3.99 บาท กฟผ.จึงต้องเว้นการเรียกเก็บคืนเงินคงค้างดังกล่าว โดยรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่งในฐานะผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ จะต้องเสนอราคาก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้ามายัง กกพ. เพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 มาตรา 67 และสามารถเรียกเก็บค่าไฟฟ้าให้ได้หน่วยละ 3.99 บาท ตั้งแต่บิลค่าไฟฟ้าประจำเดือน ก.ย.2566.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง