ชัยธวัชประกาศท้าสู้ชนชั้นนำ

ก้าวไกลสุดคึก “ชัยธวัช”   ประกาศยุทธศาสตร์ ท้าชนการเมืองของชนชั้นนำที่มีประชาชนเป็นแค่ไม้ประดับ  อึ้ง! บอกแคนดิเดตนายกฯ ยังชื่อ “พิธา”   ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน “ทิม” โว “ต๋อม”  เป็นตัวจริงไม่ได้ขัดตาทัพ ลั่นก้าวไกลทั้งแผ่นดิน ยึดสนามเลือกตั้งไล่ตั้งแต่ อบจ.-เทศบาล-ผู้ว่าฯ กทม.-สส.

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน ที่สนามกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้จัดกิจกรรมก้าวต่อไป ก้าวใหญ่ทั้งแผ่นดิน  ซึ่งเป็นงานเปิดตัวนายชัยธวัช ตุลาธน  หัวหน้าพรรค ก.ก.คนใหม่ และยุทธศาสตร์ของพรรค โดยมี สส.จากพรรคก้าวไกล แกนนำคณะก้าวหน้า  และบรรดาด้อมส้ม ทยอยเดินทางเข้าร่วมอย่างคึกคัก

ทั้งนี้ ในเวลา 15.00 น. มีการจัดกิจกรรมเสวนา “ตื่นเถิดประเทศไทย” โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ที่มาอยู่ตรงนี้วันนี้ เพื่อจะบอกให้ใครบางคนที่เบื่อตนเองว่า   ให้เบื่อแล้ว เบื่ออยู่ และเบื่อต่อไป เพราะจะอยู่ตรงนี้ และจะสู้ต่อไปจนกว่าจะชนะ

ขณะที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ปราศรัยว่า การเดินทางของพรรคก้าวไกลตลอดเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ขอสรุปว่าเป็นเรื่องราวของ Beating the Odds หรือการทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิด ไม่มีใครเชื่อว่าเราทำได้ หากย้อนไปสมัยที่พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) หลายคนก็วิเคราะห์ว่าคงต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าพรรค ก.ก.จะกลับขึ้นมาได้ แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี เราก็ได้เติบโตในฐานะสถาบันทางการเมือง และมีสมาชิกมากกว่าสมาชิกในสมัยพรรค อนค.เรียบร้อยแล้ว

นายพริษฐ์กล่าวอีกว่า วันนี้หลายคนอาจรู้สึกผิดหวังที่พรรคไม่สามารถเข้าไปขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในฐานะรัฐบาลได้ แต่หวังว่า 4 ปีข้างหน้านี้ จะเป็น 4 ปีที่เรามาร่วมกันพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าเป็นฝ่ายค้านก็เปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้ โดยจะใช้กลไกของสภาผู้แทนราษฎรทลาย 5 มายาคติ  ประกอบด้วย 1.มายาคติฝ่ายค้านจะเสนอกฎหมายไปทำไม เพราะอย่างไรก็ไม่มีวันผ่าน 2.มายาคติคณะกรรมาธิการในสภามีไว้เพื่อผลาญงบ 3.มายาคติสภาคือโรงละคร 4.มายาคติฝ่ายค้านจะต้องค้านทุกเรื่อง และ 5. มายาคติ สส.เขตทำงานพื้นที่ สส.บัญชีรายชื่อทำงานเชิงประเด็น

ในเวลา 17.50 น. นายชัยธวัชได้ขึ้นเวทีกล่าวว่า อยากประกาศในฐานะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ว่า แม้ว่าหัวหน้าพรรคจะเปลี่ยนไป แต่ว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคจะไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คนเดิม วันนี้ในฐานะหัวหน้าพรรคจึงอยากพูดถึงเส้นทางทางการเมืองของพรรคและบทใหม่ของการเมืองไทย ซึ่งถ้าต้องการความเป็นธรรมในประเทศนี้ อย่าหาความยุติธรรมแบบสากล แต่จงสยบยอม ยอมรับ ในแบบอภิสิทธิ์ชนของไทย เมื่อยอมรับก้มหัว ท่านจะได้ความกรุณาปรานี

นายชัยธวัชกล่าวอีกว่า ปัญหาเหล่านี้ของการเมืองไทยเราแก้ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาการเมืองไทยเป็นการเมืองของชนชั้นนำ ที่อนุญาตให้รัฐประหารได้ตลอดเวลา ถ้าเอารถถังมายึดอำนาจไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง แต่ถ้าโพสต์เฟซบุ๊กแบบที่ผู้มีอำนาจไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน อาจต้องติดคุกเป็นสิบปี หรือไม่ก็อาจต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต การเมืองไทยคือการเมืองที่อนุญาตให้ไปเลือกตั้งได้เป็นพักๆ แต่ไม่ยอมให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน แบบนี้ขอเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นไม้ประดับ และการเมืองของชนชั้นนำเป็นการเมืองที่อนุญาตให้แข่งขันกันได้ในระบบการเลือกตั้ง เป็นการแข่งขันกันไปมีอำนาจ และผลัดกันไปแบ่งสันปันส่วนในตำแหน่งและเก้าอี้

“สิ่งที่อยากบอกคือ การพยายามออกจากการเมืองของชนชั้นนำแบบเดิม กลายเป็นโจทย์สำคัญของยุคสมัยที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งภัยคุกคามการเมืองชนชั้นนำ คือการเมืองของประชาชน จึงอยากจะบอกว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการประชาธิปไตย แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านของชนชั้นนำแบบจารีตกับชนชั้นนำแบบเลือกตั้ง เปลี่ยนผ่านการต่อสู้เป็นการเมืองของชนชั้นนำแบบการเลือกตั้ง กับการเมืองของประชาชน และนี่คือรากฐานทางการเมืองของรัฐบาลปัจจุบัน จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองไทยบทใหม่นับจากนี้ต่อไป” นายชัยธวัชกล่าว

นายชัยธวัชยังกล่าวอีกว่า ในฐานะหัวหน้าพรรค ก.ก. อยากจะบอกว่า เป้าหมายสำคัญของพรรคก้าวไกล คือต้องผลักดัน ต้องเปลี่ยนแปลง สิ่งที่การเมืองของชนชั้นนำบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นสิ่งที่สังคมไทยปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งภายใต้เป้าหมายนี้ พรรคจะมียุทธศาสตร์สำคัญ 4 ด้าน มีภารกิจเฉพาะหน้า 2 ภารกิจ คือ ยุทธศาสตร์แรกคือสร้างพรรคก้าวไกลให้เข้มแข็ง  เป็นสถาบันทางการเมืองจริงๆ  ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือฝ่ายค้านในสภา ที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใครอย่างที่เคยพิสูจน์ ดุดันด้วยเนื้อหา  ยุทธศาสตร์ด้านที่ 3 คือฝ่ายค้านเชิงรุก และยุทธศาสตร์ที่ 4 คือตรึงพื้นที่เก่า รุกพื้นที่ใหม่

“ภารกิจสุดท้ายคือร่วมกันผลักดันให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากประชาชน จึงอยากให้ช่วยกันรณรงค์เรียกร้องทำประชามติว่าต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ และ ส.ส.ร.ต้องมาจากประชาชนทั้งหมด” นายชัยธวัชกล่าว และว่า หลายคนเสียใจ หลายคนสิ้นหวัง หลายคนเสียน้ำตา เพราะพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งมา แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่อยากจะบอกว่า นับจากนี้ขอให้เอาน้ำตา เอาความเสียใจไว้ข้างหลัง และไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจอีกต่อไป  ต้องจับมือสร้างความเปลี่ยนแปลงบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน

ต่อมานายพิธาได้ขึ้นบรรยายในหัวข้อ ยุทธศาสตร์ก้าวไกลก่อนถึงวันเข้าทำเนียบฯ โดยกล่าวว่า พรรค ก.ก.ไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล พวกเราคือผู้คนและการเดินทาง ถึงแม้บุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่อยู่ ต้องลาออก ต้องโดนตัดสิทธิ์ ย้ายพรรค แต่แกนกลางนั้นยังอยู่ นั่นก็คืออำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เราคือสายธารแห่งความหวัง เราคือสายธารของความเป็นไปได้ เราคือสายธารของความศรัทธา เพราะฉะนั้นใครที่เข้าใจผิดว่าหัวหน้าพรรคคนเมื่อกี้เป็นแค่หัวหน้าพรรคขัดตาทัพ เขาเข้าใจผิด เพราะเขาผู้นั้นคือตัวจริงเสียงจริงของฝ่ายประชาธิปไตย ท่านรักพิธาอย่างไร ต้องรักชัยธวัชอย่างนั้น

“ก่อนที่จะขึ้นมาเวที ได้ไปเจอนักข่าวต่างประเทศ เขาถามผมว่าแล้วพรรคก้าวไกลจะเอาอย่างไรต่อ ชนะแล้วบริหารไม่ได้ พี่น้องรู้ไหมครับว่าผมตอบว่าอย่างไร ผมนำเลือกตั้งครั้งแรกได้มา 151 จาก 50 เป็น 150 เดี๋ยวเลือกตั้งครั้งต่อไป เทียบบัญญัติไตรยางศ์ก็รู้แล้วว่าจาก 150 จะกลายเป็นเท่าไหร่” นายพิธากล่าว

นายพิธากล่าวอีกว่า แล้วเมื่อความฝันมีเป้าหมาย ชนะเลือกตั้งขนาดนั้น ไม่ได้ปกครองต่อไปให้มันรู้ไป เราจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ก็จะเป็นฝ่ายค้านที่ไม่ได้จ้องจะค้านรัฐบาลอย่างเดียว จะเป็นฝ่ายค้านที่อยู่ข้างประชาชน จะเป็นฝ่ายค้านที่จะสั่งสมชัยชนะไปเรื่อยๆ จนเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุดของคนไทย ด้วยกลยุทธ์ แข่ง ขยับ และขยาย โดย 1.เราพร้อมจะแข่งทุกสนามเลือกตั้ง 4 ปี 4 สนามใหญ่ปีที่หนึ่ง อบจ., ปีที่สองเทศบาล, ปีที่สามผู้ว่าฯ กทม. และปีที่สี่ เลือกตั้งใหญ่ 2.แข่งเสร็จแล้วไม่พอ เราต้องขยับด้วย ตอนนี้เรามี สส.เขต สส.บัญชีรายชื่อ มีท้องถิ่นมีส้มจี๊ด มีมูลนิธิ เวลาเราขยับก็ขยับกันเป็นองคาพยพ ไม่สะเทือนให้มันรู้ไป 3.เราต้องขยาย มีความมั่นใจเหลือเกินว่าพรรคก้าวไกลจะขยายสมาชิกที่ตอนนี้มีอยู่กว่า 80,000 คน เพิ่มขึ้นเดือนละ 10,000 คน ไม่นานพรรคจะมีสมาชิกเยอะเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

 “อย่าลืมสิ่งที่พวกเราได้ทำร่วมกันมา เราชนะในกติกาที่เขาเขียน เราชนะในช่วงที่ไม่มีใครคิดว่าเราจะชนะได้ เราชนะในการเลือกตั้งที่มีส่วนร่วมของประชาชนมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ขอให้พากันออกไปจนกว่าจะถึงเส้นชัยของพวกเรา จะก้าวอย่างไร ต้องก้าวด้วยกัน เพื่อที่จะก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” นายพิธากล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง