อิ๊งค์ให้พ่อตัดสินใจเรื่องพักโทษ

“อุ๊งอิ๊ง” ยันรู้เรื่องพ่อแค่ตามสื่อ! บอกให้เจ้าตัวตัดสินใจเองเรื่องขอพักโทษ ก.พ.2567 ขอบคุณ สส.พรรคเชียร์ให้นั่งหัวหน้า ชี้ต้องให้ที่ประชุม กก.บห.ตัดสินตั้งตัวเองไม่ดี “เศรษฐา” เผยต่อไปจะพูดให้ยาวขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจ ผู้บัญชาการเหล่าทัพพาเหรดส่งไม้ต่อ ย้ำธำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ-ศาสน์-กษัตริย์

เมื่อวันที่ 29 ก.ย. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงอาการนายทักษิณว่า  ตอนนี้ยังอยู่ที่โรงพยาบาล และยังพักผ่อนอยู่ ซึ่งเห็นตามข่าวจากสื่อมวลชนเท่านั้น  จึงยังไม่มีอะไรมาอัปเดต และไม่ขอเปิดเผยอาการ ขอให้แพทย์เป็นคนจัดการ จะได้ไม่มีปัญหาในเรื่องกฎหมายด้วย

เมื่อถามว่า หากไทม์ไลน์มาเช่นนี้ จะยื่นพักโทษหรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เรื่องนี้แล้วแต่นายทักษิณ ให้คุณพ่อเป็นคนตัดสินใจเอง แต่ถ้าถามเป็นส่วนตัว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว

 ถามว่า นายทักษิณได้ส่งสัญญาณในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ยังไม่มีอัปเดตอะไร ซึ่งก็เห็นตามข่าวว่ามีการเรียกไปคุยเป็นเดือน ก.พ. 

น.ส.แพทองธารยังกล่าวถึงกรณี สส.พรรคเพื่อไทย (พท.) สนับสนุนให้เป็นหัวหน้าพรรค พท.ว่า ต้องขอขอบคุณมากๆ  ที่ผ่านมาตั้งแต่เข้ามาในพรรค พท. ทุกคนในพรรคซัพพอร์ตดีมากๆ แม้มาจากภาคธุรกิจ เมื่อเข้ามามีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ถึงแม้ว่าจะอยู่การเมืองกับคุณพ่อมาเรื่อยๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ แน่นอนว่าตั้งใจทำงานตรงนี้มากๆ ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้

เมื่อถามว่า พร้อมจะเป็นหัวหน้าพรรค พท.หรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ขอบคุณค่ะ

เมื่อถามย้ำว่า มีโอกาสเห็น น.ส.แพทองธารเป็นหัวหน้าพรรค พท.หรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เต็มที่ไม่ว่าจะโอกาสไหนก็ตาม ฉะนั้นต้องรอมติคณะกรรมการบริการพรรค (กก.บห.) ก่อน เพราะเราจะไปแต่งตั้งตัวเองมันก็ไม่ดี

เมื่อถามว่า วันที่ 27 ต.ค.นี้ ในประชุมใหญ่วิสามัญพรรค พท. หากมีคนเสนอชื่อเป็นหัวหน้าพรรค จะตอบรับหรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า "รอเสนอค่อยว่ากัน"

ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีการรักษาตัวของนายทักษิณ ว่ามีกระบวนการของกรมราชทัณฑ์ได้ชี้แจงไปแล้ว ส่วนสถานที่ควบคุมก็เป็นไปตามกฎระเบียบของเรือนจำ ซึ่งแม้กระทั่งผู้บัญชาการเรือนจำก็ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่เป็นอำนาจของแพทย์

“ถ้าคนจะไม่เชื่อ ยังไงก็ไม่เชื่อ ซึ่งผมคิดว่าตัวผมเองไม่ได้เข้าไปดูรายละเอียด แต่ก็ต้องดูว่ารัฐบาลประกาศหลักนิติธรรม หลักนิติธรรมก็คือกฎหมายต้องเป็นใหญ่”พ.ต.อ.ทวีกล่าว

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่กรณีที่คนที่มีสิทธิ์คล้ายๆ กันจะขอใช้สิทธิ์แบบนายทักษิณ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า ไม่กังวล หน่วยราชทัณฑ์แค่เข้าไปดู เพราะจากที่รองปลัดกระทรวงยุติธรรมรายงานเข้ามา  ปี 2565 ก็มีผู้ต้องขังเข้าๆ ออกๆ ไปรักษาตัวกว่า 50,000 คนแล้ว และไปอยู่ข้างนอกก็เยอะ แต่เราไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนตัว ก็อยากให้เชื่อมั่นในข้าราชการกระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะราชทัณฑ์ เพราะเป็นวิชาชีพที่ต้องดูแลผู้ต้องขัง

เมื่อถามย้ำว่า คนอื่นสามารถใช้สิทธิ์เช่นเดียวกันกับนายทักษิณแบบนี้ได้หรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า ใช้สิทธิ์อย่างนี้ได้ และมีคนใช้สิทธิ์แบบนี้เยอะด้วย

ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.การคลัง กล่าวตอนหนึ่งในงานเสวนาเรื่องถอดรหัสลงทุน ก้าวข้ามวิกฤตว่า ปัจจุบันปัญหาสังคม ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจใหญ่ของรัฐบาล เป็นปัญหาที่หมักหมมมายาวนาน และมีหลายมิติที่อาจทำให้การแก้ไขปัญหาทำได้ไม่ตรงจุด แต่รัฐบาลชุดนี้ยืนยันว่ามีเครื่องมือในการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยเริ่มด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้วางโรดแมปไว้เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็จะทำต่อไป เพราะถือว่าเป็นการแก้ไขกฎกติกาเพื่อให้อยู่กันอย่างสันติ

นายกฯ ประกาศขอพูดยาวขึ้น

นายเศรษฐากล่าวว่า ขอให้ช่วยกันซัพพอร์ตแสดงความเห็นในเชิงบวก เพราะในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา หรืออาจนานกว่านั้น เรามีความเห็นต่าง มีความไม่พอใจในการกระทำของอีกฝ่าย แทนที่จะพูดจากันด้วยภาษาที่ทุกคนรับฟังกันได้อย่างสบายหู มีสีหน้าที่ดูแล้วมีมิตรภาพบนความเห็นต่าง แต่ปัจจุบันนี้การให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดียเยอะคนพูดเยอะ มีการใช้คำพูดที่บาดหัวใจ ฟังแล้วสะอื้นได้พอสมควร ถึงแม้ว่าจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันเล็กน้อย แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องอ่อนไหวจริงๆ แต่ผลกระทบในเชิงลึกมีมาก สังคมมีความแตกแยก มีการแบ่งพรรคพวกที่ชัดเจน

“ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนพูดห้วน สั้น แต่จากนี้ไปต้องพูดให้ยาวขึ้น มายืนอยู่ตรงนี้ตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่เราเองต้องมีการปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้ลดความขัดแย้งลงไปในการพูดจา ผมไม่ได้ต้องการว่าใครหรือตอบโต้ใครทั้งสิ้น การใช้คำว่าปฏิรูปสังคายนา และล้างบาง ขอยกตัวอย่างคำพูดเหล่านี้ ผมว่าทุกๆ คนก็มีความภูมิใจในองค์กรของตัวเอง ทุกคนเข้าใจในความหวังดีขององค์กรตัวเอง และทุกองค์กรมีทั้งคนดีและไม่ดี แต่เราใช้คำพูดที่รุนแรง วิธีการที่ก่อให้เกิดการแบ่งพรรคพวกที่ชัดเจน เป็นวิธีการที่แก้ไขปัญหาหรือเปล่า หรือการแก้ไขปัญหาอยู่ที่การกระทำ” นายเศรษฐากล่าว

วันเดียวกัน มีการส่งมอบหน้าที่ผู้นำกองทัพหลายหน่วย เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าเวลา 08.00 น. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ได้ส่งมอบหน้าที่ ให้ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี โดย พล.อ.เฉลิมพลได้กล่าวขอบคุณกำลังพล และแสดงความเชื่อมั่นว่า ผบ.ทสส.คนใหม่ จะสามารถปฏิบัติราชการได้อย่างดี นำพากองทัพไทยเป็นหน่วยงานหลักด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง ขณะที่ พล.อ.ทรงวิทย์ ให้คำมั่นว่าในการปฏิบัติหน้าที่ จะร่วมกับกำลังพลทุกนาย ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และช่วยเหลือประชาชนในทุกโอกาส ตลอดจนดูแลความเป็นอยู่ของกำลังพลและครอบครัว ตลอดจนสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท และเสียสละ

ส่วนที่กองทัพภาคที่ 1 พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ว่าที่เสนาธิการทหารบก ส่งมอบหน้าที่ให้ พล.ท.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ โดย พล.ท.ชิษณุพงศ์กล่าวว่า จะสืบสานงานตามปณิธาน พิทักษ์ราชัน ปกป้องประชา รักษาแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมถึงการดูแลประชาชน ตลอดจนการดูแลสวัสดิการให้กับกำลังพลทุกระดับชั้น

ขณะที่กองทัพอากาศ พล.อ.อ. อลงกรณ์ วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ส่งมอบหน้าที่ให้ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล เข้ารับตำแหน่ง ผบ.ทอ.ที่ลานอเนกประสงค์ อุทยานการบินกองทัพอากาศ และได้จัดพิธีสวนสนามเพื่อเป็นการเทิดเกียรติ 4 กองพัน และจัดขบวนยานยนต์สวนสนาม 29 คัน

พล.อ.อ.อลงกรณ์กล่าวว่า พล.อ.อ.พันธ์ภักดีเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูง มีอัธยาศัยและจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา เชื่อมั่นว่าจะนำพากองทัพอากาศให้เจริญก้าวหน้าอย่างเข้มแข็ง ข้าราชการมีความสุข แลประชาชนมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในกองทัพอากาศของเราอย่างดียิ่งๆ ขึ้นไป

ขณะที่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดีกล่าวว่า ขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะนำพากองทัพ ร่วมกับพวกเราชาว ทอ. สืบทอดเจตนารมณ์พัฒนากองทัพอากาศ ให้เป็นกองทัพอากาศที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ ดำรงอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความเจริญก้าวหน้า เพื่อปกป้องเอกราช อธิปไตย และราชบัลลังก์ ให้มีความมั่นคงยั่งยืนสืบไป

'บิ๊กดุง' วางเป้า 7 ข้อ

ส่วนที่กองทัพเรือ (วังเดิม) พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ส่งมอบหน้าที่ให้แก่ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม โดย พล.ร.อ.เชิงชาย กล่าวว่า ขอขอบคุณเพื่อนข้าราชการ ทหาร พนักงานราชการ และลูกจ้างทุกคน ทุกหน่วย ที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง ในการปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางที่ตนได้ตั้งปณิธานไว้ แม้งบประมาณจะถูกปรับลดลงไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมโลก แต่กองทัพเรือยังปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ

พล.ร.อ.อะดุงกล่าวว่า 1 ปีนับจากนี้จะบังคับบัญชากำลังพลในทุกระดับ เพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ 1.จะปกป้องและรักษาสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2.จะนำนโยบายรัฐบาล และนโยบายของ รมว.กลาโหม มาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมในโอกาสแรก 3.จะเป็นปีแห่งการกวดขันระเบียบวินัยกำลังพล ให้ปฏิบัติตามคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนดที่มีอยู่แล้วอย่างจริงจัง 4.จะเป็นปีแห่งการดูแลสิทธิประโยชน์ สวัสดิการ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ให้แก่กำลังพลในทุกระดับ เพื่อให้มีขวัญกำลังใจ ที่จะร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ 5.จะดูแลความมั่นคงทางทะเล จะช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ และนำยุทโธปกรณ์มาสนับสนุนรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยของเราให้เจริญรุ่งเรือง 6.จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้กองทัพเรือเป็นหน่วยงานที่ประชาชนชาวไทยเชื่อมั่น และภาคภูมิใจ และ 7.จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลที่มีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการและทำให้ทะเลไทยปลอดภัยและมีความมั่นคง

“ปีนี้ผมได้กำหนด มอตโต้ เพื่อให้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของกำลังพลทุกระดับไว้คือ เทิดทูนสถาบัน ยึดมั่นระเบียบวินัย ประชาชนภูมิใจ ทะเลไทยมั่นคง” พล.ร.อ.อะดุงกล่าว

สำหรับเรื่องเรือดำน้ำเปลี่ยนเครื่องยนต์จีนจะนำส่ง รมว.กลาโหมนั้น พล.ร.อ.อะดุงกล่าวว่า ขอศึกษารายละเอียด อย่างที่ทราบ พล.อ.เชิงชายได้ลงนามแล้ว ก็ส่งไปให้กองบัญชาการกองทัพไทยแล้ว และจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด

กองทัพภาคที่ 3 ที่สนามกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 4 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมืองฯ จังหวัดพิษณุโลก ได้กระทำพิธีรับ-ส่งหน้าที่และมอบการบังคับบัญชาแม่ทัพภาคที่ 3 ระหว่าง พล.ท.สุริยะ เอี่ยมสุโร แม่ทัพภาคที่ 3 และ พล.ต.ประสาน แสงศิริรักษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่ง พล.ต.ประสานกล่าวว่า ขอยืนยันเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ว่า จะทุ่มเทในการปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของกองทัพภาคที่ 3 ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ถูกต้อง ชอบธรรม บนพื้นฐานแห่งคุณธรรมและจริยธรรม ทั้งจะปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเป็นธรรม ตลอดจนร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการปฏิบัติงาน เพื่อสร้างสรรค์ความมั่นคง ความสงบสุข และความรักความสามัคคี ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ชัยธวัช' เมิน 'ทักษิณออนทัวร์' ปลุกระแสชี้ของอย่างนี้ขึ้นกับปชช.

'ชัยธวัช' ชี้ทักษิณไปภูเก็ต ไม่กระทบคะแนนนิยมก้าวไกล เหตุขึ้นอยู่กับการทำงานของ สส. มองลงพื้นที่ที่ผ่านมา ก็หวังช่วยฟื้นฟูความนิยม พท.แต่จะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ ปชช.