เอกชนแนะรบ. แจกเงินดิจิทัล แค่40ล้านคน

กกร.คงประมาณการจีดีพีปีนี้ 2.5-3% ชง 7 ข้อเสนอรัฐบาลใหม่เข็นเศรษฐกิจโตตามเป้า หนุนแจกเงินดิจิทัลให้ตรงเป้า แนะใช้ฐานแอปเป๋าตัง 40 ล้านคน เหลือ 1.6 แสนล้านไปบริหารจัดการน้ำแทน

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า กกร. ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2566 โตได้ในกรอบ 2.5-3.0% จากมาตรการวีซ่าฟรีของภาครัฐจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น จะมีส่วนช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นราว 3.4 แสนคน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มแตะระดับ 29-30 ล้านคนในปีนี้

ทั้งนี้ กกร.ได้จัดเตรียมข้อเสนอทางเศรษฐกิจไปยังรัฐบาลชุดใหม่ และขอให้มีการรื้อฟื้นการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.กลาง) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยเสนอให้รัฐบาลจัดประชุมทุกๆ 3 เดือน เพื่อเป็นเวทีนำเสนอความเห็นและแนวทางการขับเคลื่อนระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินการแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

โดยมี 7 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.การช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงสินเชื่อที่มีความจำเป็นมากกว่าการพักชำระหนี้ ด้วยการเสนอให้รัฐบาลใช้กลไกของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขยายการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอีเพิ่มอัตราการค้ำประกันจาก 30% เป็น  50-60% โดยบูรณาการการใช้กองทุนของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นองค์รวม ช่วยสนับสนุนค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ เตรียมความพร้อมให้กิจการของเอสเอ็มอีสามารถรองรับโอกาสจากเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ไฮซีซั่น ของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของรัฐบาลด้วยเม็ดเงินถึง 5.6 แสนล้านบาทในช่วงต้นปีหน้า

2.สนับสนุนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้ประชาชน 56 ล้านคน ใช้วงเงินรวม 560,000 ล้านบาท แต่ขอให้จำกัดเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เช่น ใช้ฐานข้อมูลจากผู้ที่เคยได้รับสวัสดิการของรัฐในแอปพลิเคชันเป๋าตังประมาณ 40 ล้านราย ซึ่งรัฐควรพิจารณาข้อมูลเชิงลึกจากจุดนี้ด้วย เพื่อนำงบประมาณที่เหลือประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่เกินความจำเป็นนำไปบริหารจัดการน้ำแทน  

 “กกร.เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายที่แจกเงินดิจิทัลที่รัฐบาลมองไว้ 56 ล้านคนนั้น ควรจะจำกัดการสนับสนุน เพราะอย่างผม 3 คนที่แถลงข่าวอยู่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องรับ ควรมองกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ เมื่อเราจำกัดการช่วยเหลือ และให้สนับสนุนใช้จ่ายสินค้าที่ผลิตในประเทศ (โลคัลคอนเทนต์) ไม่เช่นนั้นบางส่วนอาจไปซื้อแต่สินค้านำเข้า ส่วนวงเงินที่เหลือ ควรนำไปพัฒนาบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้น” นายสนั่นระบุ 

3.การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศควรใช้กลไกของคณะกรรมการไตรภาคีเป็นผู้กำหนดแนวทาง เพื่อให้เป็นไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละจังหวัด 4.ผลักดันการเจรจาข้อตกลงทางการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยกับต่างประเทศให้มากที่สุด โดยเร่งผลักดันการเจรจาเอฟทีเอที่ดำเนินการอยู่ให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลา ทั้งไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ไทย-ศรีลังกา ไทย-EFTA และเปิดการเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีเอฟทีเอในตลาดสำคัญและตลาดใหม่ๆ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ และลาตินอเมริกา รวมถึงเอฟทีเอที่อยู่ระหว่างการเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงการจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอ เพื่อส่งเสริมและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า และขยายโอกาสทางการค้า

5.สนับสนุนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อดึงดูดการลงทุนต่อเนื่อง โดยการจัดกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมายโดยเฉพาะ 6.เร่งรัดแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งปี 2566 ปริมาณน้ำใช้ได้จริง ณ เดือน ต.ค.2566 อยู่ที่ระดับ 54% ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับ 66% หากภาวะเอลนีโญมีความรุนแรง ปริมาณฝนที่ตกจะยิ่งต่ำกว่าค่าปกติ จะส่งผลให้ปริมาณน้ำใช้การได้ยิ่งน้อยลงและทำให้ความเสียหายจากภัยแล้งทวีความรุนแรงและจะกระทบเป็นวงกว้าง และ 7.ผลักดันแนวทางการทำคาร์บอนเครดิต ให้สามารถเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล และสามารถทำการค้ากับต่างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง