บอร์ดยันมติเดิมขึ้นค่าแรง ลุยEasyE-Receiptปีใหม่

บอร์ดค่าจ้างเคาะปรับค่าแรงขั้นต่ำตามมติเดิม 8 ธ.ค. ขึ้น 2-16  บาท จ่อคำนวณสูตรใหม่ เพิ่มขยักสองปีหน้า “คลัง” กางเกณฑ์ Easy E-Receipt เริ่ม 1 ม.ค.67 คาดเงินสะพัด 7 หมื่นล้าน ดันจีดีพีโตอีก 0.18% คนเข้าเกณฑ์ดิจิทัลวอลเล็ตใช้ได้ด้วย

ที่กระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 20  ธันวาคม นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า คณะกรรมการค่าจ้างมีมติเห็นชอบปรับค่าจ้างขั้นต่ำปี 67 ตามมติเดิมเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. เนื่องจากสูตรคำนวณที่คณะกรรมการใช้เป็นสูตรที่เห็นชอบให้อนุกรรมการทุกจังหวัดใช้เป็นเกณฑ์ ซึ่งเป็นการพิจารณาด้วยเหตุผล และอยู่บนข้อมูลเศรษฐกิจปัจจุบัน จึงเห็นควรปรับอัตราค่าจ้างตามความเหมาะสมและเป็นความจริง อยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค เป็นธรรม และน่าเชื่อถือ หลังจากนี้จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการปรับสูตรคำนวณใหม่ ซึ่งจะมีตัวแทนนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ นายจ้าง ลูกจ้าง เข้าร่วม โดยอาจจะมีการพิจารณาตามประเภทกิจการเข้ามาด้วย ทั้งนี้ เมื่อคำนวณสูตรใหม่แล้ว จะเรียกประชุมบอร์ดเพื่อพิจารณาค่าจ้างใหม่ ซึ่งอาจจะมีเพิ่มขยักสองในปีหน้า แต่จะทำให้เร็วที่สุด

นายไพโรจน์กล่าวว่า การพิจารณาปรับขึ้นอัตราค่าจ้างสูตรเก่า คำนวณจากปี 63-64 ช่วงโควิด ซึ่งอัตราเศรษฐกิจในช่วงนั้นตกต่ำ และเกิดภาวะเงินเฟ้อ คงต้องนำมาคำนวณใหม่เพื่อให้เปอร์เซ็นต์ค่าจ้างเพิ่มขึ้น ซึ่งทางคณะกรรมการค่าจ้างจะพิจารณาโดยเร็ว โดยจะตั้งคณะอนุกรรมการปรับสูตรอัตราค่าจ้างในวันที่ 17 ม.ค.67 เพื่อพิจารณาแล้วเสนอมายังคณะกรรมการชุดใหญ่ แต่ต้องให้อนุกรรมการในรายจังหวัดพิจารณาด้วย ทั้งนี้ มติที่ประชุมวันนี้เป็นเสียงเอกฉันท์ และได้รายงานให้ รมว.แรงงานทราบแล้ว เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้าต่อไป

ส่วนจะขยับค่าแรงอีกครั้งเพื่อเป็นของขวัญก่อนวันแรงงานในปี 67 ได้หรือไม่นั้น นายไพโรจน์กล่าวว่า อาจจะก่อนหรือหลังก็ได้ ยังตอบไม่ได้ ต้องรอความพร้อมจากทุกฝ่าย และต้องพิจารณาในประเภทกิจการด้วย เช่น ด้านการท่องเที่ยวและบริการ เป็นภาคที่มีค่าจ้างสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ต้องนำมาพิจารณาในการปรับสูตร

ด้านตัวแทนลูกจ้างกล่าวว่า มติไตรภาคีที่ออกไปแล้วไม่ควรมีการปรับเปลี่ยน แต่หากจะให้ปรับขึ้นอีกควรจะเป็นครั้งต่อไป ซึ่งจะใช้สูตรใหม่ในการคำนวณ เพื่อให้เกิดความรอบคอบรัดกุมมากที่สุด โดยจะถือเป็นการสังคายนาจากสูตรเก่าใหม่ทั้งหมด ซึ่งในวันที่ 17 ม.ค.67 จะมีการนัดประชุมคณะกรรมการไตรภาคีอีกรอบเพื่อพิจารณาตั้งอนุกรรมการจากผู้ทรงวุฒิในแต่ละสาขาอาชีพ เข้ามาร่วมกันพิจารณาสูตรใหม่โดยเฉพาะ

ขณะที่ตัวแทนนายจ้างกล่าวว่า มติที่ออกมาถือว่าชอบธรรม เพราะเราขึ้นค่าจ้างตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และใช้ทั่วประเทศพร้อมๆ กัน ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เงินเฟ้อไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น เรายังใช้ตามมติเดิม หรือถ้าอนาคตมีสงคราม เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น สามารถพิจารณาใหม่ได้ ซึ่งต้นปีจะมีการปรับสูตรอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ไม่ขอส่งสัญญาณใดๆ ไปที่ฝ่ายการเมือง แต่ขอวิงวอนว่าอย่าทำให้การเมืองเข้ามาแทรกแซง หากต้องการทราบข้อมูลอะไร ฝ่ายนายจ้างพร้อมจะให้ข้อมูล ก่อนที่ท่านจะให้สัมภาษณ์ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายแบบนี้

 “ถ้าย้อนหลังกลับไปปี 56 เราโดนพิษการเมืองเล่นงาน จาก 221-251 บาท เป็น 300 บาท นายจ้างล้มหายตายจากไปเยอะ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี เราไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก ควรจะยุติการที่มาแทรกแซง ควรให้เรามีอิสระในการพิจารณา จะเป็นผลดีกับประเทศมากกว่า” ตัวแทนนายจ้าง ระบุ

สำหรับการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำทั้ง 77 จังหวัด ในอัตราเพิ่มขึ้น 2-16 บาท ตามมติวันที่ 8 ธ.ค.2566 มีดังนี้ ค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มมากที่สุดคือ จ.ภูเก็ต คือ 370 บาท เพิ่มขึ้นจาก 354 บาท และต่ำที่สุดคือ 330 บาท ใน 3 จังหวัด คือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 328 บาท โดยค่าจ้างเฉลี่ย รวม 77 จังหวัด จะอยู่ที่ 345 บาท ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 เป็นต้นไป

ที่กระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงมาตรการ Easy E-Receipt ว่า จะให้บุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้า หรือบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือผู้ประกอบการทั่วไปเฉพาะค่าซื้อสินค้าและบริการ ไม่เกิน 50,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.2567 โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบ 70,000 ล้านบาท เพิ่มจีดีพี 0.18% เมื่อเทียบกับไม่มีมาตรการ

ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้มาตรการ Easy E-Receipt แล้ว หากเข้าเงื่อนไขของเกณฑ์ดิจิทัลวอลเล็ต ยังสามารถใช้โครงการดังกล่าวได้ด้วย ซึ่งมาตรการดังกล่าวต้องการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศช่วงต้นปี และเป็นแรงส่งให้กับเศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้รัฐสูญเสียการจัดเก็บรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าว เชื่อว่าจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และสนับสนุนการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะเป็นการขยายฐานภาษีและสนับสนุนการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีของรัฐในระยะยาว สำหรับปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบจดทะเบียนประมาณกว่า 4,000 ราย แต่ช่องทางจำหน่ายกว่า 110,000  จุดทั่วประเทศ ดังนั้นเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้มีผู้เข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น

สำหรับบุคคลที่เข้าร่วมโครงการ คือ ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล โดยสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2567 ซึ่งมีกำหนดการยื่นแบบ ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.2568

ส่วนสินค้าและบริการเข้าเกณฑ์นั้น จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมสรรพากรประกาศ โดยสินค้าที่ไม่เข้าร่วมคือ ค่าซื้อสุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ และค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย เป็นต้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง