แบ่งกันกินเฉพาะกิจ ฉะงบผิดพลาดตั้งกู้ทุกปี/ลูกหาบสดุดีชั้น14สร้างสันติภาพ

สภาเปิดฉากชำแหละงบ 67  วันแรก นายกฯ ร่ายยาวเกือบ 2 ชม. ยันใช้ขับเคลื่อนนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภา มุ่งทำให้ประชาชนชีวิตดีขึ้น “ชัยธวัช” นำฝ่ายค้านถล่มจัดงบสะเปะสะปะ ไร้ยุทธศาสตร์ มัวนิ่มยัดโครงการเก่า ซัดรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจแบ่งกินแบ่งใช้แบ่งอำนาจ “จุรินทร์” ตราหน้า "เศรษฐา" นักกู้ถุงเท้าชมพู แซะระเบียบราชทัณฑ์เอื้อนักโทษเทวดา “ศิริกัญญา” ซัดผิดพลาดแบบไม่น่าอภัย โกงสูตรจีดีพี ไร้เงาดิจิทัลวอลเล็ต หวัง พ.ร.บ.เงินกู้ กระตุ้นเศรษฐกิจทิพย์  "รมว.ยธ.” สดุดี "ทักษิณ" นักสร้างสันติภาพ อ้างห้องหรูชั้น 14 เสมือนเรือนจำ

ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 3 มกราคม เวลา 09.30 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท

โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า การจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบฯ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลตามที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา โดยรัฐบาลได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจและฐานะทางการเงินการคลังของประเทศ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสต์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มุ่งทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดี โดยมีการดำเนินการทั้งระยะเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาระยะสั้นและนโยบายระยะกลาง ระยะยาว เพื่อเสริมขีดความสามารถในการเจริญเติบโตของประเทศ จากการปรับลดเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ลงมาเหลือเพียงร้อยละ 2.5 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 66

ทั้งนี้ ประชาชนคนไทยจะต้องมีสุขภาวะที่ดี ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ โดยรัฐจะลงทุนการเชื่อมต่อข้อมูลทั้งระบบ อัปเกรดระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคให้ดียิ่งขึ้น และจะดูแลลูกหลานของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากยาเสพติด โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย รวมทั้งใช้มาตรการจับกุมและยึดทรัพย์ผู้ผลิต ผู้ค้า และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ทำให้ยาเสพติดไม่สามารถแพร่ระบาดในประเทศไทยได้ นอกจากนี้จะทำให้คนทุกกลุ่มได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย โดยปราศจากเงื่อนไขทางเพศสภาพ อายุ ความเจ็บป่วยของร่างกาย เข้าถึงโอกาสต่างๆ เพื่อสร้างความเสมอภาคทางสังคมที่แท้จริง ส่วนด้านการเมืองการปกครอง จะได้เห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะแก้ไขจุดด้อยของรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งใหม่ในสังคมไทย

นายกฯ กล่าวว่า งบประมาณปี 2567 เป็นการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล มีงบประมาณรายจ่าย 3,480,000 ล้านบาท โดยจะมีที่มาจากรายได้ที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ 2,787,000 ล้านบาท และเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 693,000 ล้านบาท แม้งบประมาณรายจ่ายปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้นกว่าร้อยละ 11.9 ทำให้สามารถจัดสรรงบไปลงทุนได้กว่า 717,722.2 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 4.1 และสามารถชดใช้เงินคงคลังและชำระคืนต้นเงินกู้ได้กว่า 118,361.1 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อมทำให้รัฐบาลมีกรอบในการลงทุนในระยะกลางและยาวมากขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 อีกด้วย

 “การบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการดำเนินนโยบายทั้งในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว โดยรัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่จะบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ลงทุนเพื่อสร้างการเจริญเติบโตของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และเป็นไปตามกฎหมาย” นายเศรษฐาระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ ได้ใช้เวลาอ่านคำชี้แจงเหตุผลในการจัดทำงบประมาณฯ ปี 67 เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที 

เปิดฉากถล่มงบสะเปะสะปะ

จากนั้นเวลา 11.25 น. นายชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล  อภิปรายว่า นึกถึงวันที่นายกฯ แถลงนโยบายรัฐบาล เพราะเต็มไปด้วยข้อความสวยหรูครบทุกด้าน บรรยากาศแบบนี้ เพิ่มเติมคือตัวเลขแต่ละยุทธศาสตร์ แต่ปัญหายังเหมือนเดิม ถ้าดูเนื้อในงบประมาณรายจ่ายนี้จะเห็นว่าเลื่อนลอย สะเปะสะปะ ไม่มียุทธศาสตร์ ไม่มีลำดับความสำคัญ แผนงานต่างๆ ตามยุทธศาสตร์ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายนโยบายของรัฐบาล ไส้ในแผนงานส่วนใหญ่เป็นโครงการเดิมที่กระทรวงทำอยู่แล้วทุกปี เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ บ้างก็ยัดโครงการกระทรวงเก่าว่าเป็นแผนงานที่รัฐบาลจะทำ ซึ่งนโยบายเร่งด่วนควรสะท้อนในร่าง พ.ร.บ.นี้ แต่พวกเราต้องผิดหวัง

นายชัยธวัชกล่าวว่า เป็นการจัดสรรงบไม่ตอบโจทย์ ทั้งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว ลดค่าไฟฟ้า ตอนนี้แค่ผลักภาระให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) นอกจากนี้ไม่เห็นการจัดงบประมาณสำหรับการทำประชามติเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนดิจิทัลวอลเล็ตไม่มีการตั้งงบไว้ในปี 67 ซึ่งต้องรอเสนอ พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านเข้าสภาใช่หรือไม่ ทั้งนี้ หากดูในภาพรวมวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท พบว่าเป็นเบี้ยหัวแตก สะเปะสะปะ ไม่มียุทธศาสตร์ ทำงานแบบไม่มีเป้าหมายชัดเจน ไม่ได้ยึดโยงเป้าหมายในทางนโยบาย เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนปกแบบมั่วๆ โครงการเก่าเดิมจับมาโยงกับเป้าหมายใหม่ อีกทั้งนับรวมทุกรายจ่ายแล้วเคลมว่าเป็นงบลงทุนใหม่  จึงมองไม่เห็นวาระเป้าหมายของรัฐบาลผ่านการทำงบประมาณฉบับนี้ แน่นอนการบรรลุเป้าหมายไม่จำเป็นต้องใช้งบเยอะเสมอไป เช่น การสร้างความชอบธรรมด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม วันนี้ไม่แน่ใจจะทำได้จริงหรือตอกย้ำสังคมกันแน่ เพราะกำลังตอกย้ำสังคมให้อยู่ในหลักนิติธรรมสองมาตรฐาน เรือนจำมีไว้สำหรับพลเรือนสามัญที่ไม่มีอำนาจ เงินทอง

"พวกเรามองไม่เห็นวาระเป้าหมายของรัฐบาลผ่านการจัดทำ พ.ร.บ.ฉบับนี้ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจ ไม่มีเป้าหมายขับเคลื่อนร่วมกัน รวมการเฉพาะกิจแบ่งอำนาจ แบ่งกันกินกันใช้ชั่วคราว เราจึงเห็นการตั้ง ครม.แบบผิดฝาผิดตัว เพราะไม่ได้แบ่งงานตามวาระเป้าหมาย แต่แบ่งตามโควตาทางการเมือง วันนี้จากที่เคยบอกว่าคิดใหญ่ทำเป็น บางทีบางวันก็กลายเป็นคิดไปทำไป คิดสั้นไม่คิดยาวบ้าง คิดอย่างทำอย่างก็มี" นายชัยธวัช ระบุ

ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลนี้จะมีวาระร่วมกันจริง คงเป็นวาระแก้ปัญหาวิกฤตอำนาจของชนชั้นนำ เป็นการรวมตัวกันเพื่อพยายามฝืนทวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย เพื่อปกป้องพลังสังคมแบบจารีตและต่อต้านพลังสังคมใหม่ๆ ที่ต้องการอนาคตที่ดีกว่านี้ พวกเราไม่อยากเห็นความไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป แม้เป็นฝ่ายค้านก็พร้อมสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลในการปฏิรูประบบราชการ ระบบงบประมาณ เพราะมีความสำคัญในการสร้างอนาคตของพวกเรา 3 วันต่อจากนี้ ฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ สส.อย่างซื่อตรง สร้างสรรค์ ขอให้ฝ่ายบริหาร ฝ่ายรัฐบาลเปิดใจรับฟังความเห็นและข้อวิจารณ์ด้วยหวังว่าอภิปรายจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน

ต่อมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ร่างงบประมาณนี้เป็นร่างแรกของรัฐบาล เกิดจากการเอางบปี 67 ของรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มารื้อทำใหม่หมด ซึ่งส่งผลให้ปฏิทินงบนี้ล่าช้าไปกว่า 9 เดือน นอกจากช้าเพราะรัฐบาลชุดนี้ใช้เวลาไปตั้งรัฐบาลแบบเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดหลายเดือนด้วย ทำให้งบประมาณนี้ไปบังคับใช้ในเดือนพ.ค.67 ฉะนั้นจึงส่งผลให้งบประมาณฉบับนี้เป็นง่อย เพราะงบประมาณทั้งสิ้น 3.48 ล้านล้านบาท รัฐบาลมีเวลาใช้เงินเพียงแค่ 5 เดือน จากปกติจะใช้ได้ 12 เดือน นั่นเท่ากับว่ามีเวลาใช้เงินเพียง 40% นอกจากนั้นประสิทธิภาพในการใช้เงิน โดยเฉพาะงบลงทุนของการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีเพียง 70% นั่นจึงทำให้งบนี้เป็นง่อยไม่สามารถเอาไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่รัฐบาลวาดหวังได้อย่างเต็มร้อย

นายจุรินทร์กล่าวว่า หลังนายกฯ สั่งรื้องบและมอบนโยบาย 5 ข้อให้ทำงบประมาณใหม่ พอมาวันนี้ไม่มีอะไรใหม่ แล้วมีหลายเรื่องแย่กว่าเดิม 4 ประเด็นที่เห็นชัด 1.งบขาดดุล และจะขาดดุลต่อไปตลอดอายุของรัฐบาลชุดนี้ 2.งบประมาณของรัฐบาลชุดนี้เพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนการลงทุนน้อยกว่าเดิม แล้วเอาไปเพิ่มให้งบประจำ แล้วแบบนี้จะเอาไปกระตุ้นวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างไร 3.งบกลาง ดูผิวเผินลดลง แต่ลวงตา เพราะงบกลางปี 66  18.5% ของงบรวม แต่พอมาปี 67 ลดลง 17.4% แต่ถ้าไปดูในไส้ในงบประมาณ คือเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน ที่วิจารณ์รัฐบาลก่อนๆ ปรากฏว่าแทนที่จะลดกลับกลายเป็นเพิ่ม งบปี 66 จัดไว้ 92,400 ล้านบาท มาปี 67 จัดเพิ่ม 98,500 ล้านบาท ว่าแต่เขาอิเหนาทำหมด

เศรษฐานักกู้ถุงเท้าชมพู

"ประการที่ 4 งบประมาณฉบับนี้เป็นงบคิดใหญ่ทำเป็น แล้วมาเป็นคิดกู้ทำกู้ เพราะงบปี 67 ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำไว้แล้ว กู้ที่ 5.93 แสนล้านบาท แต่พอรัฐบาลนี้รื้อใหม่กลายเป็นกู้ 6.93 แสนล้านบาท กู้เพิ่ม 1 แสนล้านบาท ท่านเคยวิจารณ์นักกู้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เที่ยวนี้กลายเป็นนักกู้ถุงเท้าสีชมพู ที่กู้เพิ่ม 1 แสนล้านนั้น ไม่ทราบว่าท่านไปแบ่งเค้กกันอย่างไร" นายจุรินทร์ระบุ

ส่วนที่จะมีการกู้ดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท สิ่งที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบเรื่องนี้เพราะไปหาเสียงไว้เยอะ แม้ว่านายกฯ พูดว่าจะไม่กู้ แต่ตีลังกากลับมากู้ แม้มีเสียงวิจารณ์ทั้งประเทศว่าเป็นการกู้มาแจกตามที่ได้หาเสียงเพื่อสนองนโยบายพรรคการเมือง และเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้คิดไปคิดมาว่าถ้าออก พ.ร.บ.จะผิดกฎหมายเลยไปถามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา วันนี้คำตอบยังไม่มา แต่วันนี้ถ้ากฤษฎีกาบอกว่าทำไม่ได้ ผิดกฎหมาย สุ่มเสี่ยง อย่าไปโยนบาปให้กฤษฎีกา เพราะกฤษฎีกาไม่ได้เจ้าของนโยบาย

นายจุรินทร์กล่าวถึงงบประมาณของกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ว่า กรมราชทัณฑ์ได้งบประมาณ 14,972 ล้านบาท งบก้อนนี้เอาไปทำโครงการสำคัญที่สุดคือ โครงการผู้ต้องขังได้รับการคุมดูแล ระยะเวลาทำโครงการ 6 ปี วัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อยกระดับดูแลผู้ต้องขังให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลหลักสิทธิมนุษยชน โปร่งใสไม่เลือกปฏิบัติ ตนสนับสนุนงบประมาณก้อนนี้เพื่อให้รัฐบาลได้ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ แต่มี 2 คำถาม คือ 1.รัฐบาลในฐานะผู้ใช้งบปี 66 และกำลังของบปี 67 ได้บริหารโครงการตามโครงการอย่างโปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติกับผู้ต้องขัง 280,000 คนแล้วหรือยัง เพราะมีข้อเคลือบแคลงจากสังคมว่าทำไมรัฐบาลปล่อยให้นักโทษบางคนเข้าคุกทิพย์มากว่า 120 วัน แต่ยังไม่เคยติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว

ทำให้นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงทันทีโดยระบุว่า นายจุรินทร์อภิปรายนอกประเด็น พร้อมกล่าวว่า ไม่คิดว่านายจุรินทร์จะลุกขึ้นอภิปรายงบประมาณ เพราะล้มเหลวมาตลอด อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายคะแนนก็น้อยกว่าเขา ลากออกไปนอกประเด็น สไตล์เก่าๆ ตนไม่เห็นด้วยที่จะนำเรื่องข้างนอกเข้ามาสู่สภา 

 “ผมรู้ว่าคนที่นายจุรินทร์กำลังพูดถึงคือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกกลั่นแกล้งไปอยู่เมืองนอก 17 ปี แต่ต้องเข้าใจว่าทุกครั้งที่ขออนุญาต มีใบรับรองจากอธิบดีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” นายครูมานิตย์ระบุ

ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ ประธานในที่ประชุมวินิจฉัยว่า ผู้อภิปรายยังคงอภิปรายอยู่ในประเด็น แต่ขอให้นายจุรินทร์พยายามหลีกเลี่ยงการพูดชื่อบุคคลภายนอก

ขณะที่ นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วงนายครูมานิตย์ ขอให้ถอนคำพูดที่เสียดสีนายจุรินทร์ แต่ประธานสภาฯ วินิจฉัยว่าไม่ได้ผิดข้อบังคับ และขอให้นายจุรินทร์อภิปรายต่อจนจบ ซึ่งนายจุรินทร์ยืนยันว่าไม่ประสงค์จะเอ่ยชื่อบุคคลใด ขอให้สบายใจ เคารพกติกา

จากนั้นนายจุรินทร์อภิปรายต่อ โดยตั้งคำถามว่า 1.ทำไมนายกฯ และ รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้ร่วมบริหารโครงการเหล่านี้ไม่ทำข้อเคลือบแคลงสงสัยที่ตนเอ่ยมาให้กระจ่าง 2.การใช้งบประมาณของกรมราชทัณฑ์ไปออกระเบียบ 6/12/66 หรือระเบียบว่าด้วยการดำเนินสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 อ้างว่าทำตามคำแนะนำของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เรื่องนี้การใช้งบอาจจะส่อไปในทางไม่ชอบหรือไม่ ซึ่งระเบียบนี้กลายเป็นระเบียบศรีธนญชัย แทนที่จะแยกผู้ต้องขังที่เป็นผู้บริสุทธิ์ออกจากนักโทษเด็ดขาด กลับไปแยกผู้ต้องขังเด็ดขาดออกเป็นสองมาตรฐาน คือมาตรฐานที่ 1 ติดคุกที่เรือนจำ และ 2 ติดคุกที่บ้านได้ จนมีเสียงวิจารณ์ว่าอาจทำให้คำพิพากษาของศาลไม่มีความหมาย และนักโทษบางคนไปติดคุกเสวยสุขที่บ้านได้ กลายเป็นนักโทษเทวดา แบบนี้ยิ่งจะเป็นการตอกย้ำฉายาเซลส์แมนสแตนด์ชินของนายกฯ ให้กลายเป็นผลงานชิ้นโบดำประทับติดตัวนายกฯ ตลอดไป

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย อภิปรายตั้งฉายาการจัดงบประมาณฯ ปี 67 ว่า 3 ขาด 3 เกิน 1 พอได้ โดยขาดแรก คืองบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้รับการจัดสรร 2.5 หมื่นล้านบาท แต่เป็นงบลงทุนเพียง 1.9 พันล้านบาท, ขาดที่สองคือกระทรวงศึกษาธิการ 3.2 แสนล้านบาท มีงบลงทุนเพียง 1.3 หมื่นล้าน แล้วจะทำอย่างไรในการแก้ไขระบบการศึกษาให้ดีกว่านี้, ขาดที่สาม คือกระทรวงสาธารณสุข ได้รับงบจัดสรร 1.65 แสนล้านบาท งบลงทุนเพียง 1.3 หมื่นล้าน ถามว่าถ้าไม่จัดตั้งศูนย์ประมวลคนไข้กลางจะทำบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ได้อย่างไร ส่วน 3 เกิน ได้แก่ กระทรวงคมนาคม งบลงทุน 1.7 แสนล้านบาท หรือ 93.63 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณที่ได้รับ, เกินที่สอง กระทรวงมหาดไทย งบลงทุน 1.16 แสนล้าน และเกินที่สาม กระทรวงกลาโหม งบลงทุน 4.5 หมื่นล้าน สำหรับ 1 พอได้ คือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ งบลงทุน 8.4 หมื่นล้าน ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตร

ซัดกระตุ้นเศรษฐกิจทิพย์

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า วิกฤตเศรษฐกิจแบบใด ทำไมงบไม่เหมือนมีวิกฤต รายงานภาวะเศรษฐกิจและการคลัง ดูแล้วยังไม่ค่อยวิกฤต ซึ่งจากคำแถลงของนายกฯ ไม่มีตรงไหนบอกว่าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ขณะที่งบประมาณฉบับประชาชน จัดทำโดยสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่า อัตราการขยายตัวของจีดีพี (จีดีพี) โต 5.4% ในปี 2567 เห็นแล้วก็ตกใจ เพราะอาจจะต้องแพ้พนันที่ว่า ถ้าเศรษฐกิจโต 5% เมื่อใด จะลาไปบวชชี แต่พอดูไปดูมา ก็ถึงบางอ้อ เพราะนี่คือการเติบโตของจีดีพีที่รวมผลของเงินเฟ้อ ซึ่งปกติทุกประเทศทั่วโลกไม่ได้เอามารวม จึงเกิดคำถามว่า รัฐบาลโกงสูตรปรับจีดีพีหรือไม่ เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 

ทั้งนี้ ตามปกติในปีที่เกิดวิกฤต จะทำงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ กู้เงินเพิ่มไปชดเชยรายได้ที่หายไป และมีเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเมื่อดูจากที่รัฐบาลจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางเอาไว้ในปี 2567-2570 พบว่าขาดดุลเท่าเดิมทุกปี จนดูไม่ออกว่าปีไหนวิกฤต พรรคเพื่อไทยเคยประกาศว่าจะทำงบประมาณให้สมดุล คือไม่กู้เลยสักบาท ภายใน 7 ปี แต่ 4 ปีแรกกลับกู้ทุกปี ส่วนของนโยบายเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ปรากฏในงบประมาณปี 2567 ส่วนกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันลดเหลือเพียง 15,000 ล้านบาท โดยต้องลุ้นว่า พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท จะออกได้หรือไม่ ตอนนี้รัฐบาลกำลังฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เสมือนกับว่าเอาไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมาก ถ้าไม่สามารถออก พ.ร.บ.เงินกู้ได้ จะเท่ากับงบกระตุ้นเศรษฐกิจทิพย์

"สรุปว่ารัฐบาลนี้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพ นี่หรือคือรัฐบาลที่สืบทอดชื่อเสียงกันมาว่าเก่งด้านเศรษฐกิจ นี่หรือรัฐบาลที่ขึ้นชื่อเรื่องหาเงินได้ ใช้เงินเป็น กลับผิดพลาดในการจัดงบประมาณได้มากขนาดนี้ ทั้งตั้งงบไว้ไม่เพียงพอ จะตั้งใจ ไม่ตั้งใจ ประมาณการรายได้ก็ผิดพลาดแบบไม่น่าให้อภัย และก็ไม่คิดที่จะแก้ มุ่งแต่จะใช้กลไกนอกงบประมาณในการบริหารประเทศ และก็ไม่สนใจเรื่องของภาระทางการคลัง มันคงถึงเวลาที่ประชาชนคงต้องคิดใหม่กับฝีมือการบริหารราชการของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย" น.ส.ศิริกัญญาระบุ

ขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า ขอคิดเห็นทั้งหมดจะนำไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในส่วนที่เป็นวาทกรรมขอไม่ตอบ เพราะเราเข้าใจบทบาทในสภา อะไรที่เกินเลยไปเล็กน้อยก็ถือว่ายกให้กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเป็ดง่อย เรื่องแบ่งกินแบ่งใช้ เรารับฟังไว้ ส่วนที่ระบุว่างบประมาณฉบับนี้ไม่แตกต่างไปจากงบของรัฐบาลก่อนหน้า เป็นการรับมรดกของรัฐบาลชุดก่อนหน้านั้น เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีการส่งมอบภารกิจบางอย่างซึ่งต่อเนื่องมา โดยเฉพาะในเรื่องงบประมาณผูกพัน เราไม่สามารถไปรับลดได้ อย่างไรก็ตาม ในการจัดทำงบฯ 67 รัฐบาลมีการปรับแก้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบันให้มากที่สุด และสามรถขับเคลื่อนประเทศได้ ขณะที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ไม่ปรากฏอยู่ในงบฯ 67 นั้น เนื่องจากปรับเปลี่ยนเรื่องแหล่งที่มาของเงิน เพราะใช้งบจากการกู้เงิน ทั้งนี้ เพื่อสร้างความโปร่งใส ใช้แหล่งเงินจากภายนอกเข้ามา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย

รมว.ยธ.สดุดีนักโทษเทวดา

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงว่า รัฐบาลต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรม ทั้งนี้ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ปี 2560 เกิดขึ้นก่อนจะมีรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งต้องแก้กฎหมายฉบับนี้ เพราะไทยถูกตราหน้าว่าหลักนิติธรรมทางอาญาสอบตก มีจำนวนผู้ต้องขังล้นเรือนจำ ดังนั้น การที่นายจุรินทร์บอกไม่เห็นด้วย ตนไม่ทราบว่าเราอยู่ประเทศเดียวกันหรือไม่ เพราะเราต้องธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และรัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ฉะนั้น การที่เราออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ใหม่ไม่เกี่ยวกับนายกฯ เลย เพราะกฎหมายฉบับนี้ให้ความสำคัญของคณะกรรมการราชทัณฑ์

"ส่วนที่เพื่อนสมาชิกบอกว่าราชทัณฑ์เลือกปฏิบัติกับบางคนหรือไม่นั้น ในกฎหมายฉบับนี้ระบุว่าราชทัณฑ์ไม่ใช่สถานที่ฆ่าหรือทรมานคน หากใครเจ็บป่วยก็ต้องไปรักษา และการไปรักษาไม่ใช่เพียงแค่ท่านทักษิณเพียงคนเดียว แต่มีคนจำนวนมากไปรักษา และท่านก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผมมองว่าท่านทักษิณเป็นนักสร้างสันติภาพ แม้ก่อนหน้านี้ท่านจะมองว่าไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจ แต่วันนี้หากอยากให้บ้านเมืองมีสันติภาพ สันติสุข มีความปรองดอง ท่านก็กลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม การป่วยของท่านก็เกิดก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาและไปรักษา เมื่อมีผู้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลซึ่งเกี่ยวข้องกับเรือนจำ กฎหมายฉบับนี้ซึ่งให้ความสำคัญกับแพทย์สูงสุดก็เขียนไว้ว่าที่นั่นคือเรือนจำ การอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ไปไหนไม่ได้ก็คือการเสียอิสรภาพแล้ว” พ.ต.อ.ทวีระบุ

รมว.ยุติธรรมกล่าวด้วยว่า ที่มีหลายคนสงสัยว่านายทักษิณป่วยจริงหรือไม่ ตนเป็นรัฐมนตรี แม้ไม่เคยไปเยี่ยม แต่ก็ถามแพทย์อยู่ตลอด เพราะต้องรับผิดชอบ ซึ่งแพทย์ยืนยันว่าป่วยจริง มีอาการเยอะ ส่วนการพักรักษาตัวเกินกว่า 120 วันก็ต้องให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบกับแพทย์ผู้รักษา และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมตรวจสอบ ซึ่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้ตรวจสอบและกำลังจะส่งเรื่องมาที่ตนเพื่อให้สังคมได้รับรู้ สำหรับนายทักษิณนั้น คนอาจจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่ถ้าเรายึดกฎหมายเป็นหลัก ในทางการแพทย์ก็มีแพทย์หลายคนบอกว่าท่านป่วยจริง ซึ่งไม่ได้มีการตรวจสอบแค่สมาชิกในสภาเท่านั้น แต่มีการตรวจสอบจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญอีกด้วย ทั้งนี้ ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่นายกฯ อยากให้ยกระดับความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม ตนจะไม่ทำอะไรที่นอกกฎหมาย และจะเข้มแข็งแม้ใครจะเป็นผู้ทรงอิทธิพล หากมาทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ทำผิด จะต้องถูกดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

ต่อมาเวลา 17.20 น. นายชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายตอนหนึ่งว่า มีการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ตรงปก เช่น จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่บอกว่าเป็นแผนงานยุทธศาสตร์การเกษตรสร้างมูลค่า ซึ่งอยู่ในยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ฟังแล้วน่าปลาบปลื้ม แต่เมื่อมาดูกลับเป็นงบสอดไส้การชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยกว่า 48,000 ล้านบาทให้กับโครงการในอดีตตั้งแต่ปี 2552 และโครงการเพิ่มรายได้เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย แต่เป็นการใช้หนี้เดิม 13,260 ล้านบาท

 “ท่านประธานจำโครงการหนึ่งในปี 2554 ได้หรือไม่ คือโครงการจำนำข้าวสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ​ ที่ก่อภาระหนี้ผูกพันจนถึงวันนี้ก็ยังใช้ไม่หมด งบประมาณปี 67 ต้องจัดสรรมาใช้หนี้โครงการจำนำข้าวที่เกิดเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซึ่งการจัดสรรงบแบบนี้ที่เอาอดีตมาเบียบดบัง สอดไส้ทำให้งบที่พัฒนาเกษตรจึงต้องลดน้อยลง” นายชัยวัฒน์ระบุ

จากนั้นนายจุลพันธ์ลุกขึ้นชี้แจงว่า นายชัยวัฒน์อภิปรายถึงจำนำข้าว ตนตกใจว่าอยู่พรรคก้าวไกลหรือ กปปส.กันแน่ อย่างไรก็ตาม ตัวนโยบายต้องย้อนไปในอดีตว่าในวันนั้นเกิดประโยชน์กับเกษตรกรมากน้อยแค่ไหน อย่างน้อยเกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนทำให้มีความเข้มแข็งยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองอีกครั้ง ดังนั้นเป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์

ทำให้นายชัยวัฒน์ลุกขึ้นประท้วงว่า พูดถึงข้อเท็จจริงว่าหนี้ที่รัฐบาลต้องใช้จากโครงการจำนำข้าวในอดีต ที่ปัจจุบันยังเหลือหนี้คงค้างจำนวนมาก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ กปปส. หรือใครอย่างที่นายจุลพันธ์ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐา1/1เร่งเครื่อง ปม'พิชิต'ทำติดหล่ม หวังศาลรธน.เคลียร์จบ

ครม.เศรษฐา 1/1 หลังจากนี้ก็สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเป็นทางการ หลังเมื่อวันศุกร์ที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำ รมต.ที่ได้รับการแต่งตั้ง ที่มีทั้งรัฐมนตรีหน้าใหม่

นายกฯ สั่งปราบมิจฉาชีพออนไลน์ ปิดบัญชีม้าแล้ว 7 แสนบัญชี อายัดเงินเกือบ 1 พันล้าน

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ด้วยความมุ่งมั่นใส่ใจของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้รัฐบาล ปิดบัญชีม้าแล้วกว่า 7 แสนบัญชี อายัดเงินเกือบ 1 พันล้าน และอยู่ระหว่าง ตรวจสอบ เพื่อคืนเงินผู้เสียหายต่อไป