‘ศักดิ์สยาม’เอฟเฟกต์ ร้องปปช.-กกต.ฟันซํ้า

ศักดิ์สยามเอฟเฟกต์ “นันทนา” ส้มหล่นได้นั่ง สส.แทน หลังน้องเพลงไขก๊อกขอลุยการเมืองท้องถิ่น “ทิดศรี-ทนายอั๋น” พาเหรดขย้ำน้องเนวิน-ภูมิใจไทย ทั้งยื่น “ป.ป.ช.-กกต.” สอบและสอยสารพัดคดีพรึ่บ

เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ม.ค. ยังคงมีความต่อเนื่องหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรีจากการซุกหุ้น หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น และนายศักดิ์สยามได้ลาออกจาก สส.บัญชีรายชื่อของพรรคภูมิใจไทย (ภท.)

โดย นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรค ภท. กล่าวว่า น.ส.ชนม์ทิดา อัศวเหม ผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ ในลำดับที่ 5 ได้ส่งหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคต่อนายทะเบียนแล้ว และพรรคได้แจ้งต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรถึงการลาออกของ น.ส.ชนม์ทิดาแล้ว เป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติการเป็น สส.

 เดิม น.ส.ชนม์ทิดาจะมาเป็น สส.แทนนายศักดิ์สยาม แต่เมื่อลาออกแล้ว ทำให้ผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับถัดไปคือ นางนันทนา สงฆ์ประชา สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 6 จะได้เลื่อนลำดับขึ้นมาแทน        

ทั้งนี้ น.ส.ชนม์ทิดาโพสต์อินสตาแกรมถึงเหตุผลการลาออกว่า จากประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสมาทำงานท้องถิ่นมีความผูกพันกับผู้คน และมีความรักในความเป็นสมุทรปราการ และมีความตั้งใจอยากที่จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองในการทำงานดูแลและช่วยแก้ปัญหาให้กับสมุทรปราการ จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ภท.เพื่อไม่รับตำแหน่ง สส. เนื่องด้วยข้อจำกัดทางด้านกฎหมายระหว่างการทำงานในฐานะ สส.และการทำงานการเมืองท้องถิ่น และด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นของคุณพ่อนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม หัวหน้ากลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า จึงขอเลือกเดินหน้าเคียงข้างคุณแม่ ในฐานะกลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า เพื่อทำงานด้วยวิสัยทัศน์ของคนรุ่นใหม่ให้ชาวสมุทรปราการอย่างเต็มที่ต่อไป เพราะสมุทรปราการคือบ้าน

ขณะเดียวกันยังคงมีความต่อเนื่องในคดีของนายศักดิ์สยาม โดยกรณีเมื่อเดือน มี.ค.2566 ก่อนการเลือกตั้ง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ยุบพรรค ภท. โดยอ้างเหตุว่า นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ มีพฤติการณ์เป็นนอมินีถือหุ้นใน หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นแทนนายศักดิ์สยาม รวมทั้งนายศุภวัฒน์, หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น และบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ จำกัด ได้บริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทยตั้งแต่ปี 2561-2565 รวมหลายสิบล้านบาท เงินบริจาคดังกล่าวจึงอาจเข้าข่ายขัดมาตรา 72 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 นั้น คำร้องยังอยู่ในชั้นการพิจารณาของอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายทะเบียนพรรคการเมือง และอยู่ระหว่างเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ โดยได้เรียกตัวแทนของ หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่นมาให้ข้อมูลแล้ว ซึ่งหากการดำเนินการของอนุกรรมการเสร็จสิ้นแล้วก็จะเสนอต่อนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าเป็นความผิดก็จะเสนอต่อที่ประชุม กกต.เพื่อพิจารณาให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเห็นไว้ไม่ผิดก็จะมีคำสั่งยุติเรื่อง

ส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ยื่นคำร้องขอให้ ป.ป.ช.เอาผิดจริยธรรมร้ายแรงกับนายศักดิ์สยาม เนื่องจากผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร และย่อมผูกพัน ป.ป.ช.ด้วย ซึ่งการที่นายศักดิ์สยามได้นำเสนอบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินไว้ยัง ป.ป.ช.ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ให้เห็นว่าเป็นการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จโดยชัดเจน จึงเป็นบทบาทหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่ต้องดำเนินการในเรื่องของการแจ้งรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ รวมทั้งประเด็นมาตรฐานทางจริยธรรมด้วย ซึ่งน่าจะเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงในหลายๆ ข้อ ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีความจำเป็นต้องให้ ป.ป.ช.ลงดาบที่สองกับนายศักดิ์สยามต่อไป

“เมื่อ ป.ป.ช.ดำเนินการตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็เป็นหน้าที่ที่จะไปดำเนินการเอาผิดและลงโทษคุณศักดิ์สยามต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าต้องเว้นวรรคทางการเมืองไม่ใช่แค่ 1-2 ปี แต่ต้องเป็น 10 ปี หมดสิ้นอนาคตทางการเมือง ซึ่งนอกจากดาบสองแล้ว ยังมีดาบสาม ดาบสี่ ดาบห้าตามมาอีก ส่วนเรื่องการยุบพรรคเป็นหน้าที่ของ กกต. ตอนนี้ดำเนินการในเรื่องของนายศักดิ์สยามก่อน ส่วนเรื่องยุบพรรคก็ต้องดำเนินการต่อไป เพราะบอกแล้วว่าจะต้องมีไม้สามไม้สี่ต่อไป” นายศรีสุวรรณกล่าว

ส่วน นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต.ขอตรวจสอบกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยามสิ้นสุดลงเช่นกัน โดยระบุว่า นายศักดิ์สยามเป็นเจ้าของ หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ก็รับงานทำถนนสร้างถนนหลวงมูลค่าหลายพันล้านบาท จึงมีข้อน่าสงสัยว่าเงินดังกล่าวอาจเป็นการได้งานได้เงินมาจากการฮั้วประมูลหรือไม่ ซึ่งงานและเงินที่ได้ถือเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเงินนี้มีการนำไปบริจาคให้พรรค ภท. อีกทั้งพรรคเองก็รับเอาเงินบริจาคที่ถือเป็นเงินไม่ชอบด้วยกฎหมายตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำขัดต่อมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560

“เร็วๆ นี้จะไปยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ว่าเริ่มมาจากจุดไหน โดยใช้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นข้อมูลเบื้องต้นเริ่มต้นเนื่องจากได้วินิจฉัยไปแตะข้อเท็จจริงเรื่องเงินของ หจก.บุรีเจริญฯ อาจได้มาซึ่งการฮั้วประมูล ซึ่งการฮั้วประมูลมีความผิดทางกฎหมายในทางอาญาที่มีโทษสูง” นายภัทรพงศ์ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง