ชูหนีบ‘เจ้าสัว’ออนทัวร์ ไหมกระตุกแลนด์บริดจ์

“เศรษฐา” วอนสารพัดหลักสูตรทั้ง วปอ.-วตท.เลียนแบบ หนีบเจ้าสัวต่างๆ ลงพื้นที่พบประชาชน รวมถึงหน่วยงานโครงการพระราชดำริ ลั่นจัด ครม.สัญจรทุกภูมิภาค  6 จังหวัดภาคใต้เตรียมชงใช้งบกว่า 750 ล้านบาท

เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 21 ม.ค.2567  ที่กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำนักธุรกิจลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ว่าเป็นครั้งแรกที่เรานำนักธุรกิจลงมา ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย ที่สละเวลามาพูดคุยให้ความรู้กับนักธุรกิจรายใหญ่ รายกลาง และรายย่อย ที่เรียนกับหลักสูตรรวมมิตร ซึ่งอยากให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีกบ่อยๆ จะได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และมีปัญหาอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน

เมื่อถามว่า จะต่อยอดไปในพื้นที่ภาคอื่นอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แน่นอน อยากไปทำในทุกพื้นที่ ทั้งภาคอีสานและภาคใต้ด้วย แต่หลักสูตรรวมมิตรมีปีละ 1 ครั้ง แต่ทั้งนี้ก็มีหลักสูตรเยอะ เช่น วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)  สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) เยอะไปหมด ก็อยากให้ทุกคนช่วยๆ กันมาทำอย่างนี้ ก็ยินดี และเชื่อว่าหน่วยงานรัฐที่ดูแลทางด้านโครงการพระราชดำริ ก็อยากจะเปิดให้โอกาสนักธุรกิจและนักเรียนที่เรียนหลักสูตรเหล่านี้มีส่วนร่วมในการได้พบปะกับประชาชน

นายเศรษฐายังกล่าวถึงการเลือกจังหวัดระนองเป็นพื้นที่การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 22-23 ม.ค.ว่า ครม. สัญจรนัดแรกไปภาคอีสานมา ครั้งนี้เป็นภาคใต้ ครั้งต่อไปเป็นภาคเหนือ สลับสับเปลี่ยนกันไป จะต้องไปดูแลให้ทั่วถึง รับฟังปัญหา พร้อมชี้แจงโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีโอกาสพูดคุยกับประชาชนเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า น่าจะ ส่วนหากมีประชาชนมาแสดงความคิดเห็นคัดค้าน ก็ต้องมีการชี้แจง และมีการชี้แจงตลอด เวลาเราลงพื้นที่ก็มีคนมาร้องเรียน  ขอใช้คำว่าร้องเรียนทุกเรื่องอยู่แล้ว รัฐบาลมีหน้าที่ต้องรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาพืชผลหรือเรื่องอื่นๆ ก็ต้องรับฟังอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขณะที่รัฐบาลพยายามทำงาน แต่ในทางการเมืองยังมีกระแสข่าวปรับ ครม. นายกฯ จะให้คำยืนยันหรือให้ความมั่นใจอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า ยืนยันมาตลอดเวลาว่าเรายังทำงานร่วมกันดีอยู่ กับพรรคร่วมรัฐบาล และรัฐมนตรีทุกคนก็ทำงานหนักมาก ตรงนี้ขอให้ฟังจากตนเองคนเดียวก็แล้วกัน ถึงเวลาเมื่อไรจะบอกเองก็แล้วกัน

เมื่อถามว่า นายกฯ ได้วางไว้หรือไม่ว่า 6 เดือนจะมีการประเมินผลการทำงานของ ครม.หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า  คิดว่าทุกคนมีการประเมินผลตลอดเวลา เรามีการติชม เสนอแนะมาตลอด ไม่จำเป็นต้อง 6 เดือน 3 เดือน หรือ 1 ปี

เมื่อถามว่า หากพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนต้องการปรับรัฐมนตรีในส่วนของพรรคตัวเอง สามารถเสนอได้ใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า รับฟังอยู่ตลอด แต่ตอนนี้เท่าที่ได้ยินมา ทุกท่านมัวแต่ง่วนกับการทำงาน ยังไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ซึ่งความเดือดร้อนของประชาชนทุกคนก็รู้อยู่ว่ามีเยอะอยู่แล้ว ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหลายท่านก็ลงพื้นที่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ก็มาด้วยหลายคน แม้แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทยก็มา และรัฐมนตรีบางท่านได้ลงไปในพื้นที่จังหวัดระนองเพื่อเตรียมงานในพื้นที่แล้ว เพราะเวลาลงพื้นที่ประชุม ครม.ต่างจังหวัด อยากรับฟังเรื่องที่พี่น้องประชาชนเดือดร้อน แต่แน่นอนเชื่อว่าคงต้องมีเรื่องร้องเรียนขอความช่วยเหลือ บ่นเยอะ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ก็ต้องรับฟังความเห็นของประชาชน อะไรที่ทำได้ก็ต้องพยายามทำออกไปให้ได้

รายงานข่าวจาก ครม.สัญจรแจ้งว่า  ในวันที่ 22 ม.ค. นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคใต้ เพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการพัฒนาพื้นที่ของทางกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน 6 จังหวัด คือ กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูลหลายโครงการ มูลค่ากว่า 750 ล้านบาท แบ่งเป็นจังหวัดเสนอ 350 ล้านบาท และภาคเอกชนเสนอ 400 ล้านบาท

ด้านนายก้องศักดิ์ คู่พงศกร ประธานกรรมการหอการค้าภูเก็ต เผยว่า กลุ่มจังหวัดอันดามันเตรียมเสนอ 2 โครงการ วงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้ กรอ.กลุ่มจังหวัดภาคใต้และ ครม.สัญจรพิจารณา ประกอบด้วย 1.โครงการท่าเรือมารีน่าชุมชน 1 จังหวัด 1 ท่าเรือ รวม 6 ท่า ใน 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน คือ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล เบื้องต้นจะเสนอก่อสร้างท่าเรือนพรัตน์ จ.กระบี่  วงเงิน 16.8 ล้านบาท 2.โครงการของดีจังหวัดอันดามัน 3 จังหวัด คือ ภูเก็ต ระนอง และกระบี่ เพื่อยกระดับสินค้าชุมชนให้เป็นสินค้าพรีเมียม วงเงิน 33 ล้านบาท 

ส่วน จ.ระนอง เตรียมนำเสนอโครงการของจังหวัดที่มีวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการปรับปรุงถนนและระบบสาธารณูปโภคพร้อมปรับภูมิทัศน์ถนนจัดสรรพัฒนา ตั้งแต่ปากซอย 15 ไปจนถึงสี่แยกประปา จาก 2 เลน เป็น 4 เลน ระยะทาง ประมาณ 750 เมตร 2.โครงการปรับปรุงท่าเรือระนอง- เกาะสอง เนื่องจากท่าเรือดังกล่าว เป็นท่าเรือข้ามฟากระหว่างจังหวัดระนองกับเกาะสอง ประเทศเมียนมา และเป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าด้วย รวมทั้งมีโครงการที่จะเสนอให้ ครม.สัญจร ช่วยเร่งรัด 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการถนนเพชรเกษม จากระนองไปพังงา ซึ่งบางช่วงยังเป็น 2 เลน ปรับให้เป็น 4 เลนตลอดสาย 2.โครงการถนนสายราชกรูด-ชุมพร (หลังสวน) ซึ่งเป็นถนนที่มีความสำคัญต่อ จ.ระนอง ปัจจุบันมีรถใช้สัญจรมาก แต่ยังเป็นถนน 2 เลน และโครงการก่อสร้างฝายน้ำล้นคลองบางริ้น วงเงิน 90 ล้านบาท เพื่อทดแทนฝายเดิมที่ได้ชำรุดเสียหายเมื่อปี 2565

ขณะที่ นายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ รองประธานหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคใต้  กล่าวว่า จ.กระบี่ จะเสนอของบ 38 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารใหม่สำหรับเพิ่มห้องผ่าตัด โดยอาคารดังกล่าวจะมีห้องผ่าตัดหัวใจ ทำบอลลูน ทำบายพาสหัวใจ และฉีดสีด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ เยือนโรงงานผลิตผ้าแบรนด์ชั้นนำอิตาลี ต่อยอดภูมิปัญญาผ้าย้อมครามไทยสู่สากล

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานของห้องเสื้อ Zegna เมืองวาลดิลานา (Valdilana) และพบหารือกับนาย Gildo Zegna ผู้บริหารของห้องเสื้อ Zegna