“สภาพัฒน์” เผยจีดีพีปี 66 โต 1.9% คาดเศรษฐกิจปี 67 ขยายตัว 2.2-3.2% ขอ ธปท.ทบทวนปรับลดอัตราดอกเบี้ยจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตเหลือ 5% ย้ำต้องใช้นโยบายการเงินเข้ามาดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติม "เศรษฐา" ได้ทียำแบงก์ชาติ ทำไมไม่พูดคุยต่อหน้าสาธารณชนบ้าง ว่าถึงเวลาต้องลดดอกเบี้ย
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4 ปี 2566 ขยายตัว 1.7% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 1.4% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ลดลงจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 อยู่ที่ 0.6% โดยรวมทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.9% ชะลอตัวลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2565 ด้านอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.2% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.3% ของจีดีพี
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 2.2-3.2% อัตราเงินเฟ้อ 0.9-1.9% โดยยังไม่นำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทเข้ามาคำนวณ เนื่องจากต้องหารือกับอีกหลายฝ่าย คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3% การลงทุนขยายตัว 3.5% ด้านการท่องเที่ยวคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้าไทย 35 ล้านคน มีการใช้จ่ายในประเทศ 1.22 ล้านล้านบาท นับเป็นแรงหนุนเศรษฐกิจที่สำคัญ รัฐบาลต้องดูแลความปลอดภัยการท่องเที่ยวในประเทศ การยกเว้นวีซ่าระยะยาวให้ชาวต่างชาติ ทั้งผู้สูงอายุ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีกำลังซื้อสูง เพื่อเข้ามาใช้จ่ายในประเทศ
“ขณะนี้มีความเป็นห่วงตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก คาดว่าขยายตัว 3.5% ในปี 2567 เพราะการส่งออกเริ่มกลับมาขยายตัว 2.9% ในปี 2567 เทียบกับการลดลง 1.7% ในปี 2566 จึงต้องหารือกับสภาอุตสาหกรรม, สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการส่งออกเริ่มดี แต่ทำไมเอกชนไม่สามารถผลิตสินค้าให้เติบโตได้ทันตามที่มีคำสั่งซื้อเข้ามา เนื่องจากการผลิตอุตสาหกรรมมีสัดส่วนสูงถึง 27-28% ของจีดีพี หากเอกชนไม่ขยับจะกระทบต่อจีดีพีของประเทศหนักมาก” นายดนุชากล่าว
นายดนุชากล่าวว่า เศรษฐกิจที่ออกมาสะท้อนถึงปัญหาที่อยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย คือหนี้ที่สูงโดยเฉพาะภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้มาตรการต่างๆ เกือบทั้งหมดแล้ว เช่นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ดึงดูดการลงทุนใหม่ในประเทศ แต่ปัญหาหนี้ครัวเรือนและธุรกิจยังอยู่ ทำให้น่าจะถึงช่วงเวลาที่มาตรการการเงินจะเข้ามาช่วยเศรษฐกิจแล้ว โดยสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจังในช่วงถัดไปคือ มาตรการด้านการเงินต้องเข้ามามีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าให้ได้ โดยเฉพาะการลดภาระครัวเรือนและเอสเอ็มอี อาทิ อัตราดอกเบี้ยต่างๆ ต้องพิจารณาจริงจัง ไม่ว่าจะอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนต่างดอกเบี้ย ซึ่งเน้นลงไปที่ภาคครัวเรือนและเอสเอ็มอี
ทั้งนี้ เพื่อให้ส่วนต่างดอกเบี้ยแคบลง ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทบทวนการดำเนินนโยบายการเงินอย่างจริงจัง โดยลดดอกเบี้ยจากปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% ต่อปี ลดช่องว่างสัดส่วนกำไรสุทธิระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากให้แคบลง และกลับมาใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน โดยกำหนดอัตราขั้นต่ำในการชำระบัตรเครดิต จากปัจจุบัน 8% ให้เหลือ 5% เพื่อลดภาระทางการเงินของภาคครัวเรือนและเอสเอ็มอี ที่ต้องพึ่งสินเชื่อบัตรเครดิตเป็นทุนหมุนเวียน อีกทั้งยังเห็นสัญญาณผู้ผิดนัดชำระหนี้ กลายเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น
นายดนุชากล่าวว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2567 ต้องหามาตรการดูแลภาคหนี้ครัวเรือน เพราะหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงต่อเนื่องมาหลายปียังไม่ลดลง หวั่นกระทบรายย่อยอย่างมาก สำหรับการดูแลผู้ส่งออกกำลังหารือกับกระทรวงการคลัง สร้างระบบค้ำประกันการส่งออกเป็นรายบุคคล หากมีคำสั่งซื้อเข้ามาควรนำเอกสารดังกล่าวยื่นค้ำประกันการกู้เงินจากแบงก์ เพื่อนำทุนมาผลิตสินค้าได้โดยไม่ต้องรอการค้ำประกันจาก บสย.ในแต่ละชุด เพื่อออกมาดูแลเอสเอ็มอีผู้ส่งออก
นอกจากนี้ ต้องเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าหมาย และเตือนระวังภัยแล้งจากอุณหภูมิสูงในปีนี้ จนกระทบต่อการผลิตสินค้าเกษตร รัฐบาลต้องเตรียมแผนรองรับ หวั่นกระทบต่อเกษตรกรหนักมาก อีกทั้งความรุนแรงในตะวันออกกลางยังกระทบต่อค่าระวางเรือ และต้นทุนการส่งออกของไทย
ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้ได้พูดไปหลายหนแล้ว และน่าจะทราบจุดยืนของตนอย่างชัดเจน ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาจีดีพีของเราเฉลี่ยโตต่ำกว่า 2% ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ เทียบกับลำดับจีดีพีโลกเราก็ต่ำลงไปเรื่อยๆ และอย่าลืมว่าตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามายังไม่สามารถใช้งบประมาณได้เลย เร็วที่สุดที่น่าจะใช้ได้ก็คือ 1 เมษายน 2567 แต่ทุกกระทรวงได้ใช้นโยบายเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น แต่วันนี้ต้องยอมรับว่าไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้าไปในระบบเลย ซึ่งหลายสำนักมีการปรับประมาณการจีดีพีลงอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ซึ่งรัฐบาลได้พยายามดำเนินการทุกมาตรการที่มีอยู่ ส่วนตัวขอฝากไว้ว่านโยบายดอกเบี้ยไม่ต้องใช้งบประมาณ ซึ่งขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.5% หากลดลงเหลือ 2.25% เพียงสลึงเดียวก็จะช่วยบรรเทาภาระของพี่น้องประชาชนทุกคนได้ แต่เขาไม่ลดกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ ได้พูดเรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่ได้รับการตอบรับจาก ธปท.เลยหรือ นายเศรษฐาถามกลับว่า “ดอกเบี้ยนโยบายใครเป็นคนควบคุม ก็คือธนาคารแห่งประเทศไทย” ตนพูดคุยกับเลขาธิการสภาพัฒน์ ก็บอกว่าเราได้ทำทุกวิถีทางแล้ว และมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเลขาธิการสภาพัฒน์ระบุว่า ได้คุยกับผู้ว่าการ ธปท.ว่าถึงเวลาที่จะต้องลด
“ผมจึงบอกว่าทำไมไม่พูดคุยต่อหน้าสาธารณชนบ้าง และพูดคุยในภาษาที่ชัดเจน ซึ่งเลขาธิการสภาพัฒน์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผมเองต่างก็จบเศรษฐศาสตร์มา ตรงนี้เราไม่ได้มาเอาชนะกัน แต่ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะมีการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้น เพื่อรองบประมาณที่จะคลอดออกมา ผมก็ได้สอบถามกับเลขาธิการสภาพัฒน์ว่าสามารถทำอะไรได้อีก หากมีอะไรที่ทำได้ก็ขอให้เสนอมา ผมไม่ได้จมปลักอยู่กับการลดดอกเบี้ยอย่างเดียว แต่การลดดอกเบี้ยก็เป็นการแบ่งเบาภาระของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งเห็นอยู่แล้วสำหรับตัวเลขที่ออกมา อย่างเช่นนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ก็พยายามที่จะออกมาให้เร็วที่สุด“ นายกรัฐมนตรีกล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่า การเติมเงินเข้าไปในระบบจำนวน 500,000 ล้านบาท จะทำให้เงินเฟ้อ นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงว่า ปัจจุบันนี้ตัวเลขเงินเฟ้อติดลบอยู่แล้ว หากจะบอกว่าติดลบจากการที่รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนผ่านมาตรการลดราคาน้ำมัน หรือพยุงราคาไฟฟ้า ซึ่งหากถอดดัชนีตรงนี้ออกไปเงินเฟ้อขึ้นมาไม่ถึง 1% ยังไม่ถึงกรอบต่ำสุดด้วยซ้ำ ซึ่งหลายเรื่องที่รัฐบาลทำต้องใช้เวลา รวมไปถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วย หากทุกคนเห็นด้วยและพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่มีการทุจริตและประพฤติมิชอบ ก็จะพยายามทำให้เร็วที่สุด อยากจะให้เกิดขึ้นภายในเดือนพฤษภาคม และนโยบายอื่นก็พยายามดำเนินการอยู่ ซึ่งรัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างที่สามารถทำได้ ณ วันนี้ยินดีรับฟังว่าอยากให้รัฐบาลทำอะไร แต่ต้องคำนึงว่างบประมาณสามารถใช้ได้หรือไม่ อย่างเร็วที่สุด 1 เมษายน ซึ่งพยายามเร่งอยู่แล้ว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เรียกโจ๊กแจง7พค. ทีมสอบวินัยย้ำชัด ยึดกม.-ไร้คนชี้นำ
"รอง ผบ.ตร." เรียกประชุมคณะกรรมการสอบ “บิ๊กโจ๊ก” พร้อมพวก 5 คนผิดวินัยร้ายแรง จ่อเรียกรับทราบข้อกล่าวหาภายใน 7 พ.ค.นี้
ทร.บีบ‘สุทิน’สานฝันเรือดำน้ำ
ทร.มัดมือ "สุทิน" สานฝันเรือดำน้ำให้เป็นจริง บอกรอมา 10 ปีเต็ม
หั่นจีดีพีเหลือ2.4 ลุ้นดิจิทัลกระตุ้น ‘พิชัย’นำทัพฉลุย
“คลัง” หั่นจีดีพีปี 2567 เหลือ 2.4% โอด “ส่งออก-ภัยแล้ง-งบประมาณล่าช้า”
ชงกกต.ชี้ขาด‘ทอน-ช่อ’จุ้นสว.
"สนธิญา" ร้อง กกต.สอบ "ธนาธร-พรรณิการ์" ยุ่งเกี่ยวรณรงค์เลือก
นายกฯขอโทษปานปรีย์ รับปรึกษา‘อุ๊งอิ๊ง’ตลอด หึ่ง!‘มาริษ’เสียบรมว.กต.
“เศรษฐา” เปิดห้องสีม่วงเคลียร์ปม “ปานปรีย์” ไขก๊อกไม่ร่วมรัฐนาวาเศรษฐา 2
เรืองไกรชงป.ป.ช.คุ้ยดิจิทัลวอลเล็ต
ไม่พลาด “เรืองไกร” มาแล้ว ส่งหนังสือร้อง ป.ป.ช.สอบ