‘นิด’โชว์ผ้าขาวม้า กล่อมออสซี่ลงทุน

นายกฯ ร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย อารมณ์ดีสวมผ้าพันคอไทยสไตล์ผ้าขาวม้า เผย มาเลเซียเตรียมสั่งยางพาราจากไทยเพิ่ม  หารือเอกชนออสเตรเลียสนใจมาลงทุนด้าน Cold Storage Facility ในไทย  หารือ Hesta กองทุนบำเหน็จบำนาญขนาดใหญ่ เชิญชวนเพิ่มการลงทุนในบริษัทไทยที่มีศักยภาพ นายกฯ  นิวซีแลนด์เตรียมนำคณะมาเยือนไทย 

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่นครเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย ภายหลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง พบหารือกับดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ระหว่างเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย  สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ นายเศรษฐาได้ไปเดินเล่นบริเวณด้านหลังโรงแรมที่พัก ใกล้กับสะพาน Evan Walker ซึ่งเป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำ Yarra โดยแต่งชุดสูทสากล สวมผ้าพันคอเป็นลายผ้าขาวม้าสีเหลือง-ดำ ที่ชาวบ้านจังหวัดกาฬสินธุ์มอบให้ในการลงพื้นที่เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา

โดยนายเศรษฐาเปิดเผยว่า การหารือกับมาเลเซียมีการพูดคุยกันเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้เล่าให้ฟังว่า สัปดาห์ที่แล้วตนได้ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี  ยะลา นราธิวาส การหารือมีการพูดถึงการเปิดพื้นที่ชายแดน เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจชายแดนและการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศดียิ่งขึ้น ส่วนเรื่องการท่องเที่ยว ส่งเสริมความร่วมมือท่องเที่ยวเชื่อมโยง 6 ประเทศ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯของทุกประเทศเห็นด้วย และจะนำมาพูดคุยต่อยอดอีกครั้ง โดยขณะนี้แต่ละประเทศได้เริ่มต้นดำเนินการแล้ว รวมถึงได้พูดคุยเรื่องตั๋วเครื่องบินที่มีราคาแพง ที่เป็นอุปสรรคเช่นเดียวกัน และการทำความร่วมมือเรื่องอาหารฮาลาล

ทั้งนี้ ได้พบเจอกับนายกฯ มาเลเซียบ่อยครั้ง และวันนี้ก็เป็นการติดตามงานแต่ละโครงการ แต่เดียวกันได้พูดคุยถึงเรื่องยางพาราที่มาเลเซียนำเข้าจำนวนมาก เพราะมีโรงงานผลิตถุงมือและถุงยางอนามัยเป็นจำนวนมาก จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ให้ติดต่อการขายยางให้กับมาเลเซีย ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี โดยขณะนี้ราคายางพาราค่อนข้างสูง เพราะในสต๊อกมีจำนวนน้อย แต่หากทราบออเดอร์ล่วงหน้า ก็จะสามารถรักษาราคาที่ต้องการขายไว้ได้

นายเศรษฐาเปิดเผยด้วยว่า ได้พูดคุยกับนายกฯ มาเลเซียเรื่องฟุตบอล ที่หลานของท่านเชียร์ทีมอาร์เซนอล ซึ่งเมื่อคืนก็แฮปปี้ เพราะชนะ 6-0 โดยตนเคยเจอหลานๆ ของท่านแล้ว ก็พูดคุยกันเรื่องฟุตบอลอย่างสนุกสนาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างเดินชมเมือง นายกรัฐมนตรียังได้โชว์ถุงเท้าลายหมีโคอาลา ซึ่งพลเอกเดวิด เฮอร์ลีย์ ผู้สำเร็จราชการแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย มอบให้เป็นของขวัญ จำนวน 2 คู่ ระหว่างเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในระหว่างวันที่ 13-17 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา โดยอีกหนึ่งคู่เป็นลายกิ้งก่าและจิงโจ้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของออสเตรเลีย โดยวันพรุ่งนี้จะดูชุดที่สวมว่าเหมาะสมที่จะใส่ถุงเท้าลายกิ้งก่าและจิงโจ้หรือไม่

นายกรัฐมนตรียังเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีด้วยว่า "เมื่อวานนี้ (พี่ตั๊ก) นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ ไปไล่จับหมีโคอาลาบนต้นไม้ แต่จับไม่ได้ ซึ่งพี่ตั๊กจะพยายามสัมผัสพูดคุยเชิงการทูต แต่การพูดคุยการทูตกับต่างประเทศง่ายกว่าการพูดคุยกับหมีโคอาลา"

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันที่ 5 มี.ค. นายเศรษฐาได้พบหารือกับบริษัทเอกชนออสเตรเลีย ดังนี้ เวลา 10.00 น. (เวลาท้องถิ่นนครเมลเบิร์น) พบ Dr.Andrew Forrest AO, Executive Chairman and Founder ผู้บริหาร Fortescue ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ขนาดใหญ่ของออสเตรเลีย มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Perth ปัจจุบันเป็นบริษัทถลุงสินแร่เหล็ก (Iron Ore) อันดับ 4 โลก มีกำลังการผลิต 192 ล้านตันต่อปี ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำและแบตเตอรี่อีวี  มียอดขายในปี 2023 สูงถึง AU$ 16.8 billion หรือเกือบ 400 ล้านบาท โดยได้แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ไฮโดรเจนและไฮโดรเจนสีเขียวในประเทศไทย

เวลา 10.40 น.  Mr. Peter Fox AM, Executive Chairman ผู้บริหาร Linfox ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์อัจฉริยะของออสเตรเลีย มีสำนักงานใหญ่ที่ Melbourne มีการดำเนินการใน 9 ประเทศ ส่วนในประเทศไทย เป็นสำนักงานและศูนย์ควบคุมสำหรับภูมิภาค มีการลงทุนมาตั้งแต่ปี 1993 จำนวน 12 แห่ง เพื่อให้บริการกระจายสินค้าไปยังร้านค้าปลีกและร้านอาหารมากกว่า 4,000 ร้าน มีพนักงานในประเทศกว่า 6,000 คน และบริษัท subcontract กว่า 3,000 แห่ง โดยบริษัทมีการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง มีแผนที่จะตั้งศูนย์ regional traffic control fleet ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาไทย พร้อมการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ในโอกาสนี้ Linfox สนใจเข้าเป็นผู้ให้บริการใน cold storage facility ที่นายกฯ ได้แถลงถึงการสร้างขึ้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

เวลา 11.20 น. นายเศรษฐาพบหารือกับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเเละการเดินทางระหว่างกัน นายกฯ ผลักดันแนวคิดการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยง 6 ประเทศ (Six Countries, One Destination) ซึ่งเป็นการสนับสนุนแคมเปญ “ปีแห่งการท่องเที่ยวลาว (Visit Laos Year 2024)” โดยกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือในรายละเอียดต่อไป และขอให้ฝ่ายลาวเร่งรัดการกำหนดที่ตั้งของ Common Control Area (CCA) ในฝั่งลาว เพื่อลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายในการนำเข้าและส่งออกสินค้า โดยฝ่ายไทยเห็นควรว่าให้ตั้งที่บริเวณมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) เป็นที่แรก

 นอกจากนี้ ตามที่ฝ่ายลาวมีคำขอ ไทยยินดีสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการซ่อมสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์) และไทยพร้อมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี ของสะพานในปีนี้

ด้านการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ นายกฯ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหายาเสพติดและการฉ้อโกงออนไลน์ (Online scam)

เวลา 11.50 น. นายเศรษฐาพบหารือทวิภาคีกับนายแอนโทนี แอลบาเนซี  นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ ด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เห็นพ้องในการส่งเสริมการค้าทวิภาคี โดยเฉพาะการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) โดยจะปรับปรุงความตกลงฯ ให้ทันสมัย สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันมากขึ้น

 ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ไทยคำนึงถึงร่างกฎหมายกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากรถยนต์ (New Vehicle Efficiency Standard: NVES) ของรัฐบาลออสเตรเลีย โดยนายกฯ ได้ขอให้นำมาตรฐานใหม่ไปใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกมีเวลาในการเปลี่ยนผ่าน

 ด้านการท่องเที่ยวและการศึกษา  นายกฯ พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดทำ MOU ด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน ด้านความมั่นคง และด้านแรงงาน ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการทหารและพัฒนาบุคลากรทางการทหารระหว่างกัน

เวลา 13.45 น. นายเศรษฐาหารือทวิภาคีกับนายคริสโตเฟอร์ ลักซอน  นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ โดยนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์สนใจเยือนไทยพร้อมนำคณะนักธุรกิจในภาคการเกษตร การศึกษา digital economy พลังงานสีเขียว ร่วมคณะด้วย ในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งนายกรัฐมนตรีพร้อมให้การต้อนรับ

เวลา 16.00 น. Dianne Sandoval ผู้บริหาร Hesta กองทุนบำเน็จบำนาญสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพและสังคมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของออสเตรเลีย เข้าพบหารือกับนายเศรษฐา โดย Hesta มีเงินกองทุนภายใต้การบริหาร 80,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 1.95 ล้านล้านบาท เป็นบริษัท มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งมอบอนาคตทางการเงินที่ปลอดภัยและมั่นใจให้กับสมาชิก รวมถึงส่งเสริมสังคมเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่มีความยืดหยุ่น และภาคบริการด้านสุขภาพและชุมชนที่แข็งแกร่งและน่าพึงพอใจมากขึ้น

ปัจจุบัน กองทุน Hesta มีการลงทุนใน 44 บริษัทในตลาดหุ้นไทย และสนใจลงทุนเพิ่มโดยเฉพาะในสาขา Healthcare และ Wellness รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ชักชวนให้ Hesta เพิ่มการลงทุนร่วมกับบริษัทไทยที่มีศักยภาพ

ทั้งนี้ ฝ่าย Hesta สนใจลงทุนด้าน Green transformation Healthcare และได้สอบถามแสดงความสนใจเกี่ยวกับ Clean Energy AI และ Agritech.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ เยือนโรงงานผลิตผ้าแบรนด์ชั้นนำอิตาลี ต่อยอดภูมิปัญญาผ้าย้อมครามไทยสู่สากล

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานของห้องเสื้อ Zegna เมืองวาลดิลานา (Valdilana) และพบหารือกับนาย Gildo Zegna ผู้บริหารของห้องเสื้อ Zegna