นายกฯแย้มจ่อปรับครม. ปชป.ขู่ไล่‘เชาว์’พ้นพรรค

“เศรษฐา” บอกถามเรื่องปรับ ครม.ตรงๆ ได้เลย ชี้ไม่ว่าปรับเล็กหรือปรับใหญ่เวลาเหมาะสมเกิดขึ้นแน่ คุยให้เกียรติเพื่อนร่วมงานตั้งแต่เป็นนักธุรกิจมีอะไรปรึกษาก่อน แต่คนจรดปากกาคือตนเอง “วิทยา” เชื่อปรับเฉพาะในเพื่อไทย เพราะมีคนเหมาะสมและตกขบวนเยอะ “ปชป.” เดือดขู่ไล่เชาว์พ้นสมาชิกพรรค “เสี่ยนิด” ทัวร์นครศรีธรรมราชวันสุดท้าย “ชัยชนะ” โผล่ต้อนรับบอกอย่าโยงการเมืองถือเป็นการทำหน้าที่ สส.ต้อนรับนายกฯ “เศรษฐา” ลั่นเป็นผู้นำคนทั้งประเทศไม่แบ่งฝักฝ่าย

เมื่อวันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังมีกระแสข่าวต่อเนื่องทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเงี่ยหูฟังอยู่ ว่า เรื่องการปรับ ครม.ถามได้ ไม่มีใครต้องมาเงี่ยหูฟัง และเมื่อสักครู่ได้พูดคุยกับ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ ดังนั้นไม่ต้องเงี่ยหูหรอก  ถามตนเองโดยตรงได้เลย

เมื่อถามว่า มีการมองกันว่าโควตาในส่วนพรรคเพื่อไทย (พท.) ยังเหลืออีกหนึ่งตำแหน่งอาจมีการปรับ นายเศรษฐากล่าวว่า ยังมีอีกตำแหน่ง ตรงนั้นเดี๋ยวค่อยไปว่ากันเมื่อถึงเวลา ภายในพรรคก็คงพูดคุยกัน เดี๋ยวเขาก็คงเสนอขึ้นมา  ส่วนโควตาของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นั้นก็ยังไม่ได้พูดคุย ซึ่งวันที่ 9 เม.ย.จะมีการประชุม ครม.ปกติ หากเจอ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค พปชร. ก็จะไม่ถาม แต่ถ้าท่านบอกมาก็จะรับทราบ อย่างที่ได้บอกว่าเป็นโควตาของพรรค พปชร. หากจะเสนอใครก็เสนอเข้ามา และผ่านไปที่คณะกรรมการตรวจสอบ

ถามว่า จะส่งสัญญาณไปยังพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า สัญญาณที่ได้ส่งและให้ความสำคัญมาโดยตลอด คือปัญหาพี่น้องประชาชนในทุกปัญหา ฉะนั้นพวกท่านทราบกันดีอยู่แล้ว ท่านมีวุฒิภาวะที่สูงกันทุกคนแล้ว ก็ทราบว่าความต้องการของพี่น้องประชาชนในปัจจุบันคืออะไร และการที่ลงพื้นที่ในครั้งนี้ก็จะไปดูเรื่องยางพารา

ถามอีกว่า ใจของนายกฯ หากมีการปรับ ครม. อยากปรับเล็กหรือปรับใหญ่ นายเศรษฐากล่าวว่า ถามเหมือนจะปรับและหลอกล่อให้พูด เหมือนกับคำพูดที่ว่าคนรวยคนจน ตรงไหนคือคนรวย ตรงไหนคือคนจน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าบอกปรับเล็กแล้วปรับเล็กคืออะไร คือ 3 ตำแหน่งหรือ 6  ตำแหน่ง และ 6 ตำแหน่งก็อาจมองว่าก็ยังเล็กอยู่ ดังนั้นอย่าไปพูดว่าเล็กหรือใหญ่เลยดีกว่า ไว้ถึงเวลาเหมาะสมเกิดขึ้นแน่นอน

เมื่อถามว่า การตัดสินใจปรับ ครม.จะใช้อำนาจคนเดียว หรือปรึกษาใครหรือไม่ในพรรคร่วมรัฐบาล นายเศรษฐา กล่าวว่า การทำงานตั้งแต่เป็นนักธุรกิจมาจนกระทั่งก้าวสู่เวทีการเมือง ให้เกียรติเพื่อนร่วมงานทุกคน ฉะนั้นการจะทำอะไรต้องพูดคุยซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่แน่นอนตนแองป็นคนจรดปากกาเซ็น

เมื่อถามว่า มีการมองกันว่านายกฯ เป็นคนทำงานเด็ดขาด อย่าเอาอะไรมาขู่เพราะอาจถูกปาดคอได้ นายเศรษฐา หัวเราะพร้อมกล่าวว่า รัฐมนตรีจากทุกพรรคการเมืองที่ร่วมอยู่ รู้อยู่แล้วว่าการทำงานร่วมกันมันไม่มีการขู่ เรามีการพูดคุยกันดีๆ อยู่แล้ว เพราะเป็นคนที่เข้าถึงได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทาง WhatsApp โทรศัพท์หรือในที่ประชุม ครม. มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ไม่ได้มีอะไรเลย

ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐาพูดต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคว่า ต้องไม่แพ้ตลอดไป การเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องเป็นผู้ชนะว่า นายกฯ พูดจากใจไม่มีสคริปต์ 3 ปีครึ่งที่เหลือ ท่านและรัฐบาลจะมุมานะมุ่งมั่นทำงานหนักโดยไม่รู้จักเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อย เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยดีขึ้นในทุกมิติ ส่วนการที่พรรคจะชนะการเลือกตั้งในครั้งหน้า จะเป็นผลพวงจากการที่รัฐบาลสามารถผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายที่ประชาชนได้รับประโยชน์ เชื่อว่าช่วงเวลา 3 ปีครึ่งที่เหลือจะเป็นบทพิสูจน์ว่า ประชาธิปไตยกินได้ภายใต้การบริหารของรัฐบาลมืออาชีพ

เชื่อปรับ ครม.แค่เพื่อไทย

ขณะที่นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ว่า ดูจากกระแสภายในพรรค พท.มีความจำเป็นต้องปรับ ครม.  เพราะมีบุคคลที่เหมาะสมและตกค้างขบวนหลายคน แต่การจะปรับกระทบไปถึงพรรคอื่น สิ่งที่ต้องทำคือตัวนายกฯ ต้องหารือกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ในส่วนที่มีความประสงค์จะปรับ ครม. ซึ่งได้คุยกับหัวหน้าพรรค รทสช.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านบอกยังไม่มีสัญญาณอะไรมาถึง ฉะนั้นขอให้ทุกคนในพรรคอยู่นิ่งๆ เพราะยังไม่มีเรื่องของการปรับ ครม.  เพราะหากจะมีคนที่รู้คนแรกคือหัวหน้าพรรค

เมื่อถามว่าพรรค รทสช.จะประเมิน ครม.ในส่วนของพรรคหรือไม่ นายวิทยากล่าวว่า แน่นอนประเมินแน่ แต่ตอนนี้รัฐมนตรีเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่กี่วัน และบางคนทำงานได้ดี แต่อาจมีบุคลิกที่พูดน้อยก็ต้องปรับปรุง ขณะที่หัวหน้าพรรคก็พยายามแลกเปลี่ยนกับทุกคนมาตลอด แต่คิดว่ามาถึงวันนี้อารมณ์ของคนในพรรคไม่ได้มีความกระตือรือร้นในเรื่องของการปรับ ครม. เพราะคิดว่าไม่เกี่ยวกับเรา

ถามถึงกรณีแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เผยว่า จะมีอดีต สส.หรือสมาชิกพรรค ปชป.ไหลกลับมา ในส่วนของพรรค รทสช.มีหรือไม่ที่จะกลับไปสังกัดพรรคเดิม นายวิทยากล่าวว่า เป็นคนหนึ่งที่เคยอยู่พรรค ปชป. ซึ่งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค รทสช.ก็เคยอยู่ แต่เท่าที่ฟังดูยังไม่มีอารมณ์อย่างนั้น และมีไม่กี่คนที่ยังเป็น สส.ในวันนี้ ซึ่งจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนยังไม่มีกระแสนี้ ส่วนคนของพรรค ปชป.จะมาอยู่พรรค รทสช.หรือไม่นั้นอันนี้ไม่แน่ เพราะมันอีกยาว คิดว่าการเคลื่อนไหวจะเกิดขึ้นจริงก็ตอนใกล้ๆ ยุบสภา ซึ่งบรรยากาศทางการเมืองในวันนี้มีการพูดถึงเรื่องการปรับ ครม. แต่ยังไม่พูดถึงเรื่องการเปลี่ยนนายกฯ แต่ถ้าคิดถึงการเปลี่ยนนายกฯ เมื่อไหร่ก็มาคู่กับการยุบสภา เพราะอำนาจนายกฯ ยุบสภาได้และคิดเปลี่ยนได้ และวันนี้คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องการปรับเปลี่ยนภายในพรรคแกนนำมากกว่า  แต่หากมากกว่านั้นจะสะเทือนองคาพยพทั้งหมด

เมื่อถามว่า มองอย่างไรในบรรยากาศวันนี้ที่ดูเหมือนมีนายกฯ 3 คน นายวิทยากล่าวว่า เป็นเรื่องที่พูดไป แต่นายกฯ มีคนเดียวคือนายเศรษฐา ซึ่งไม่ได้เป็นนายกฯ เล่นๆ หรือเป็นตัวแทนใคร วันนี้ไม่มีใครใหญ่กว่าท่าน เชื่อว่ามีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูงจากการที่ติดตามมา  ไม่ใช่คนที่ว่าจะฟังใครง่ายๆ ลองขู่ให้ท่านลาออกสิ คิดว่าอาจเจอดาบเชือดคอ หากท่านยุบสภาจะว่าอะไรได้ อำนาจมีอยู่ในมือนายกฯ ที่จะยุบสภามากกว่าการลาออก ถ้าจะให้นายกฯ ลาออกจริงๆ ก็ต้องเอานายกฯ ให้ติดคุกหลุดจากตำแหน่ง แต่หากจะใช้วิธีกดดันทางการเมืองคิดว่าไม่มีทาง

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค ปชป. กล่าวถึงนายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษก ปชป.ที่ออกมากล่าวหาพรรคว่า  ที่ผ่านมาการพูดจาของนายเชาว์ทำให้เกิดความเสียหายอยู่บ่อยครั้ง คนเราถ้านักเลงจริงไม่ควรทำเช่นนี้ ถ้ากล้าหาญจริงเป็นลูกผู้ชายจริงต้องเข้ามาคุยกันในพรรค ซึ่งไม่อยากไปให้ราคากับคำพูดที่ด้อยค่าพรรค และอย่ามาโต้ว่าพูดถึงนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค ไม่เกี่ยวกับพรรค คนโง่เท่านั้นที่คิดเช่นนี้ เพราะหัวหน้าพรรค ปชป.คือความเป็นพรรค ปชป. คนปกติคนที่มีความรู้สึกมีสำนึกจะรู้ดีว่าคำพูดใดที่จะส่งผลกระทบต่อพรรค ทุกคนพร้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่คำพูดที่มีเจตนาทำให้พรรคเสียหาย แต่เข้าใจได้ว่าการกระทำคำพูดเช่นนี้คือนิสัยใจคอที่มีมาแต่กำเนิด คงไม่มีใครไปห้ามหรือแก้ได้

ปชป.เดือดขู่ไล่เชาว์

นายธนา ชีรวินิจ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวเช่นกันว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และรู้สึกเสียใจที่เป็นคนแต่งตั้งนายเชาว์เป็นรองโฆษกในสมัยที่ตนเป็นโฆษกพรรค เพราะคิดว่าจะเป็นคนที่มาช่วยกันสร้างพรรค แต่ที่ผ่านมานายเชาว์อาศัยตำแหน่งดังกล่าวสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง และผลักดันตนเองให้เป็นที่รู้จักด้วยการให้ร้ายป้ายสีโจมตีพรรค ปชป.มาโดยตลอด ทั้งๆ ที่พรรคให้โอกาสนายเชาว์หลายครั้ง แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่ามีพฤติกรรมหิวแต่แสงตลอดเวลา ขณะนี้พรรคกำลังจะพิจารณาดำเนินการขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ เพื่อไม่ให้นำพรรค ปชป.ไปใช้หากินอีก

นายเชาว์โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "แปลกใจว่าทำไมการที่วิพากษ์วิจารณ์ตัวหัวหน้าพรรคถึงขั้นที่ต้องขับออกจากสมาชิก ซึ่งถ้าดูตามข้อบังคับพรรคแล้วไม่เห็นผิดตรงไหน  ไม่ได้มีพฤติกรรมที่จะให้ร้ายพรรค แต่มีเจตนาดีที่อยากเห็นทิศทางของพรรคมีการพัฒนาก้าวหน้า ไม่ใช่อยู่เพื่อหวังร่วมรัฐบาลหรือรวมกันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม มองคนเห็นต่างเป็นศัตรูไปเสียหมด ยืนยันว่าไม่ได้มีพฤติกรรมทำลายหรือให้ร้ายพรรค"

“ขอท้าไปยังนายเฉลิมชัย ถ้าจะขับก็รีบ รีบทำเอาให้ไวเลยครับ แล้วไปเจอกันที่ศาล อย่าปล่อยให้ลูกหาบอย่างนายธนาออกมาปล่อยไก่ อ้างว่าเป็นผู้แต่งตั้งผมเป็นรองโฆษกพรรค ทั้งที่ตำแหน่งนี้หัวหน้าอภิสิทธิ์เป็นผู้เล็งเห็นถึงความสามารถมอบหมายให้ผมทำหน้าที่นี้” นายเชาว์โพสต์

วันเดียวกัน ถือเป็นวันสุดท้ายในการลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชของนายเศรษฐา โดยช่วงเช้านายเศรษฐาพร้อมคณะ ได้ตรวจเยี่ยมท่าอากาศยานนานาชาติสมุย เพื่อหารือถึงแนวทางในการขยายรันเวย์ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และให้จังหวัดพิจารณาเตรียมความพร้อมทางด้านระบบสาธารณูปโภค ให้สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มมากขึ้นด้วย

ในเวลา 10.10 น. ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช  ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ปชป. เดินทางมาร่วมรับนายเศรษฐาในระหว่างการลงพื้นที่ โดยให้สัมภาษณ์ว่าตนมาในฐานะ สส.นครศรีธรรมราช มาต้อนรับในฐานะที่เป็นเจ้าของพื้นที่เนื่องจากนายกฯ เดินทางมา

เมื่อถามว่า การมารอต้อนรับในครั้งนี้อยู่ในช่วงกระแสจับมือกันระหว่างพรรค ปชป.กับรัฐบาล นายชัยชนะกล่าวว่า ไม่มี ไม่ใช่เรื่องการเมือง อย่าไปคิดแบบนั้น ยังเป็นฝ่ายค้านเหมือนเดิม ที่มาวันนี้ไม่มีนัยอะไร เพราะการที่เป็น สส.นครศรีธรรมราช ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องมารอรับนายกฯ อยู่แล้ว  อย่าไปมองว่าที่มารับต้องไปผูกพันหรือผูกมัดอะไร

 “อย่ามองทุกอย่างเป็นมิติทางการเมือง แต่ต้องมองทุกมิติในการทำหน้าที่ ซึ่งมารับในหน้าที่ สส. ยืนยันว่าวันนี้ประชาธิปัตย์ยังเป็นฝ่ายค้านอยู่” นายชัยชนะกล่าว

เมื่อถามย้ำว่า คิดอย่างไรที่ช่วงนี้นายกฯ ลงพื้นที่ภาคใต้บ่อย แต่ฝ่ายค้านอภิปรายว่านายกฯ ไม่ให้ความสนใจในพื้นที่ภาคใต้ นายชัยชนะกล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่นายกฯ ให้ความสำคัญกับพื้นที่ภาคใต้ ท่านเป็นนายกฯ ของคนไทย 67 ล้านคน ซึ่งการลงพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัดก็เป็นสิ่งที่ดี  ฉะนั้นที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน เมื่อมีผู้บริหารเข้ามาก็ต้องให้การต้อนรับ และนำเสนอสิ่งที่ประชาชนต้องการ

จากนั้นเวลา 10.45 น. ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นายเศรษฐาเดินทางด้วยรถโตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ ทะเบียน กล 9 นครศรีธรรมราช มาสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ จากนั้นได้สรงน้ำพระพุทธสิหิงค์จำลอง และร่วมทำบุญ 1,000 บาท ขณะที่ประชาชนได้ถือป้ายข้อความยินดีต้อนรับนายกฯ และคณะ

เศรษฐาลั่นไม่แบ่งฝ่าย

ต่อมานายกฯ เข้ามายังพระวิหารทรงม้าเพื่อกราบพระรัตนตรัย ก่อนกล่าวคำถวายผ้าห่มพระบรมธาตุเจดีย์ และเดินขึ้นไปห่มองค์พระบรมธาตุ จากนั้นไปกราบนมัสการพระธรรมวชิรากร (สมปอง ปญฺญาทีโป) เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 16-17 และ 18 และพระราชวิสุทธิกวี เจ้าคณะภาค 16 วัดพระนคร อ.เมืองนครศรีธรรมราช ถวายพวงมาลัย ผ้าไตร ไทยธรรม  พร้อมสนทนาธรรม โดยพระธรรมวชิรากรได้มอบพระพุทธสิหิงค์จำลอง ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว พร้อมด้วยเหรียญหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเนื้อว่านแก่นายกรัฐมนตรี พร้อมสวดให้พรเพื่อเป็นสิริมงคล

ทั้งนี้ ก่อนเดินทางกลับนายกฯ ได้เยี่ยมชมสินค้าโอทอปขึ้นชื่อของจังหวัดนครศรีธรรมราช อาทิ เครื่องถมเงิน ผ้าพื้นเมืองและเสื้อกางเกงวัวชน สินค้ายอดนิยมประจำจังหวัด  รวมทั้งบูธขนมจีนแกงไตปลา ของจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย โดยนายกฯ ได้ชิมแกงไตปลาพร้อมยกนิ้วให้ จากนั้นเวลา 11.20 น. นายกฯ พร้อมคณะเดินทางมาสักการะบวงสรวงศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมผูกผ้าสามสี เพื่อความเป็นสิริมงคล

นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ว่าได้ผลตอบรับดี และมี สส.มาต้อนรับว่า สส.ไม่ว่าจะพรรคไหน เมื่อมีนายกฯ ลงพื้นที่มา ปัญหาของประชาชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ เราเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน โดยกรณีนายชัยชนะก็พาคุณแม่มาต้อนรับด้วย ก็มีการคุยกันเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งเรื่องพื้นที่ เรื่องที่จะดูแลประชาชน นายชัยชนะเป็น สส.ที่มาจากการเลือกตั้ง เชื่อว่าจิตวิญญาณต้องอยู่ที่ประชาชน ฉะนั้นปัญหาของประชาชน ถ้ามีอะไรก็ต้องมาบอกนายกฯ จะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลไม่ได้แบ่งแยกตรงนี้

ต่อมาในเวลา 13.40 น. นายเศรษฐาเดินทางมาสหกรณ์กองทุนสวนยาง ฉลอง น้ำขาวพัฒนา จำกัด โดยได้เข้ามาดูโรงรมยาง เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนกระบวนการรับน้ำยาง  ซึ่งรับมาจากเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ฯ เพื่อแปรรูปเป็นยางแผ่นรมควัน จากนั้นในเวลา 14.35 น.ได้เดินทางไปวัดเจดีย์ ต.ฉลอง อ.สิชล โดยกราบนมัสการพระครูพุทธเจติยาภิมณฑ์ (อภิชิต พุทฺธสโร น.ธ.เอก พธ.ม.) เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ รองเจ้าคณะอำเภอสิชล พร้อมสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส จากนั้นพระครูพุทธเจติยาภิมณฑ์ได้มอบเหรียญไอ้ไข่ รุ่นกฐิน 59 ให้แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนที่นายเศรษฐาจะไหว้และปิดทองไอ้ไข่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ โดดป้อง 'อุ๊งอิ๊ง' ปมแบงก์ชาติ อ้างแค่สะท้อนความต้องการประชาชน

นายกฯ ป้อง “อุ๊งอิ๊ง“ สปีชเวทีเพื่อไทย แค่สะท้อนความต้องการประชาชน ลั่น ไม่เคยบีบบังคับใคร เข้าใจความเป็นอิสระ เตรียมคุย ”รมว.คลัง“ หาทางทำงานร่วมแบงค์ชาติ