รวยพอแล้วไม่โกง! ‘นิด’โวขวางคนเอาเปรียบประชาชน-ยอมมีเพื่อนน้อย

"เศรษฐา" เปิดใจ! รวยพอแล้ว ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนแน่นอน ยอมรับเป็นนายกฯ ต้องปรับตัวมาก อุทิศตน ถ้าใครขวางทางพร้อมที่จะมีเพื่อนน้อยลง ปากหวาน 3 ปีครึ่งจากนี้ไป มีเรื่องเดียวคือยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น แต่การขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ทำได้ช้า เพราะแต่ละพรรค สส.แต่ละคน ให้สัญญากับประชาชนแตกต่างกันไป

เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง กล่าวเปิดใจถึงการทำงานในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมาว่า มีเรื่องที่ไม่ได้ดังใจเยอะ เพราะหลายปัญหาของประชาชนยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร ที่แม้จะดีแล้วแต่ยังสามารถดีกว่านี้ได้อีก เรื่องการท่องเที่ยว ข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงกว่า 140% แล้ว ถือว่าดีมาก แต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19  ในปี 2562 ณ เวลานี้ จากเดือนมกราคม-เมษายน เราได้ประมาณ 60% หากคิดเป็น 100% วันนี้เราได้ประมาณ 90%   

"ผมมั่นใจสถิติคนมาเที่ยวไทย 39.4 ล้านคน เราสามารถดันตัวเลขให้สูงขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งการเปิดตลาดวีซ่าฟรี การอำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการปัญหาไกด์เถื่อน  ไรเดอร์เถื่อน ทำให้การเดินทางเข้าประเทศสะดวกสบายมากขึ้น ก็สามารถทำได้"

นายกฯ ยังเผยว่า เรื่องของกรมศุลกากรที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีจากรายได้ของประเทศ กรมศุลกากรเป็นหนึ่งใน 3 กรมภาษีหลัก จัดเก็บภาษีได้ปีละ 1 แสนล้าน คิดเป็นประมาณ 3% ของรายได้ประเทศ ถือว่าต่ำ แต่แม้เก็บได้ 3% แต่ก็เป็นกรมหลักในการควบคุมสินค้าเถื่อนที่มากระทบชีวิตประชาชน หนึ่งในนั้นคือการควบคุมยางพาราเถื่อน จนส่งผลให้ราคายางในประเทศสูงขึ้น แต่เป็นเรื่องแปลกที่มีคนมาวิ่งเต้นกับกรมศุลกากรมากที่สุด

เขาบอกว่า ได้พูดหลายครั้งว่ากรมศุลกากรมีการวิ่งเต้นสูงสุด แต่แปลกที่มีการจัดเก็บรายได้แค่ 3% ถือเป็นเรื่องที่น่าสงสัย จึงเป็นที่มาที่ต้องพัฒนากรมศุลกากร ให้เป็นกรมศุลกากรที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ ช่วยเหลือประชาชนได้จริงๆ ในหลายมิติ หรือเรื่องภาษีนำเข้าที่เป็นจุดรั่วไหล ทำให้การจัดเก็บภาษีในประเทศไม่ดีเท่าที่ควร

“ผมไม่สบายใจหรือพึงพอใจ ผมขอใช้คำว่ายังไม่พึงพอใจสำหรับการทำงาน 7 เดือน แต่ก็ต้องพยายามต่อไปและทำให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้นไป รวมไปถึงเรื่องของการดึงดูดนักลงทุน เรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ปัญหายาเสพติด” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐาเผยว่า ต้องปรับตัวมากจริงๆ จากการเป็นนักธุรกิจสู่วงการการเมือง การเป็นซีอีโอของบริษัท มีผู้ร่วมงาน คนรอบตัว ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สังคม  เวลาบริหารจัดการต้องคำนึงถึง 4 เสาหลักนี้ เป็นผู้บริหารบริษัทก็ได้รับการซัพพอร์ตเต็มที่จากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น แต่มาอยู่ในบริบทของนักการเมือง และเป็นนายกรัฐมนตรีที่มี 141 เสียง เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค และมีผู้ร่วมงานที่ต่างกัน ทั้งประชาชน สส., สว. สถาบันความมั่นคง เอ็นจีโอ นักข่าว หลายภาคส่วนต้องการการพูดคุยและการอธิบาย ดังนั้นขอใช้คำว่าหุ้นส่วน ในการช่วยเหลือประชาชน

"แต่ละพรรค สส.แต่ละคน ก็ไปสัญญากับประชาชนแตกต่างกันไปบ้าง ดังนั้นการบริหารจัดการงบประมาณก็มีส่วน ทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ช้าไปบ้าง แต่การทำงานร่วมกันมา 7 เดือน เชื่อว่าเรารู้ใจกัน มีการให้เกียรติกันและกัน เชื่อว่าการขับเคลื่อนและบริหารจัดการประเทศ และการช่วยเหลือประชาชนก็จะค่อยๆ ดีขึ้น"

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเป็นนักธุรกิจแล้วมาเป็นนายกฯ  มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจ ย่อมหนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเอื้อประโยชน์ มีวิธีปกป้องตัวเองไม่ให้มีคนเข้ามาขอผลประโยชน์อย่างไร นายกฯ ตอบว่า หน้าที่ของตนไม่ใช่การเซฟตัวเอง มั่นใจอยู่แล้วที่เดินมาสู่การเมือง มีจุดมุ่งหมายเดียวคือ การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนในทุกมิติให้ดีขึ้น หากจะเซฟตัวเองตนไม่มีตรงนี้

นายเศรษฐาระบุว่า ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนไม่มีแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามต้องพูดเรื่องทรัพย์สิน เรื่องของชีวิตส่วนตัว ส่วนตัวของตนลงตัวแล้ว มีรายได้ในอดีตที่ดีพอสมควร มีทรัพย์สินที่ทำให้อยู่ได้อย่างสบายๆ เรื่องการที่จะมาเอาผลประโยชน์ทางการเมืองไม่มี คนในครอบครัวมีความสุข มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมแล้ว

"ผมย้ำในวันแถลงนโยบายไปแล้วว่า 3 ปีครึ่งจากนี้ไป ผมมีเรื่องเดียวคือยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น และหวังว่าจะทำให้เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งผมได้ การที่มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจเยอะ และตอนนี้ก็มีเพื่อนเป็นนักการเมืองเยอะ การที่จะต้องไปเก็บข้อมูลและรู้ลึกทุกเรื่อง และประสบการณ์ในวงการธุรกิจอีก 40 กว่าปี เชื่อว่ามีประสบการณ์มาเยอะพอที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อประชาชน”

ซักว่า การมานั่งเป็นผู้นำอาจจะต้องเสียเพื่อนไปบ้าง  ในกรณีที่ไม่มีการสมประโยชน์กัน เตรียมพร้อมรับมืออย่างไร เขาตอบว่า เจอเพื่อนทุกคนก็คุยกันว่าคนอายุ 60 ปีแล้ว อยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ตนอยากไปดูฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกนัด อยากเดินทางไปประเทศที่ไม่เคยไป ไปทานอาหารอร่อยในทุกประเทศ อยากหาความสุขให้ตัวเอง แต่การเข้ามาในเวทีการเมืองอยากดูแลความเป็นอยู่ประชาชนให้ดีขึ้น

“เมื่อได้ประกาศว่าอุทิศตนแล้ว และบอกเพื่อนฝูงว่าเรื่องต่างๆ ที่จะมาขัดขวางในการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น หรือสภาพจิตใจ การถูกเอาเปรียบจากผู้ที่ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย หากเพื่อนผมทำตัวแบบนั้นก็พร้อมที่จะเสียเพื่อน เพราะฉะนั้นมั่นใจว่าหากอีก 3 ปีครึ่งต้องมีเพื่อนน้อยลง แลกกับการที่ทำให้คนที่อยู่ในฐานพีระมิดดีขึ้น ผมก็พร้อม” นายเศรษฐากล่าว

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า มุมมองทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่หลังเข้าสู่วงการการเมือง นายกฯ แจงว่า หลายคนอาจบอกว่านักการเมืองมีทั้งดีและเลว แต่บางคนที่บอกว่านักการเมืองเลวเพราะการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนั้นชัดเจน แต่บางเรื่องเป็นเรื่องของความเห็นต่างหรือวิธีการที่แตกต่างกัน มีวิธีการดูแลประชาชนต่างจากที่รัฐบาลมอง ดังนั้นการที่จะต้องจูนเข้าหากัน หรือเวลามีคนมาแนะนำเรื่องอะไร และเห็นชัดเจนว่าต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว ตนคิดว่าคนพวกนั้นดูถูกตนไปนิดนึง ตรงนี้ขออย่ามาทำกันดีกว่า ส่วนนักการเมืองจะมาขออะไรก็ขอให้อยู่บนบรรทัดฐานที่เหมาะสม

นายเศรษฐายังพูดถึงความสัมพันธ์กับ สส.พรรคเพื่อไทย ที่ยังมีเสียงสะท้อนจากภายในพรรคว่า ระหว่างนายกฯ กับ สส.ยังมีระยะห่างกันมาก และส่วนหนึ่งมาจากการเข้มงวดเรื่องงบประมาณว่า หลายโครงการที่ขอมาก็มีได้ อย่างที่บอกงบประมาณมีจำกัด และตนในฐานะนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ดูแลภาษีของประชาชน และมีหน้าที่ตอบกับรัฐสภาว่าภาษีนั้น มีการใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่ เช่น การสร้างสนามบิน ด่านชายแดนต่างๆ ต้องดูให้ดี เพราะมีการพูดคุยและดูองค์ประกอบหลายอย่าง จึงอยากค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ขอให้ถึงเวลาก่อน ซึ่งหน้าที่ของตนก็ต้องปรับจูนกับ ส.ส.ของพรรคตลอดเวลา

"ผมต้องหลังพิงประชาชน เพราะเป็นคนที่ส่งให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ และต้องผ่าน สส.ที่มีถึง 141 คน ยังไงก็ต้องโน้มน้าวเข้าหาตลอดเวลา และพยายามอธิบายให้เข้าใจว่าเรื่องคืออะไร ประเด็นคืออะไร เหตุผลที่ให้ได้และให้ไม่ได้ หรือทำไมต้องได้งบประมาณน้อยลงหรือเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องของการพูดคุยเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ยังต้องพยายามไปพบปะพูดคุย หาวิธีสื่อสารให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น"

นายกฯ ยังอธิบายว่า ความสัมพันธ์ที่ว่าไม่ใช่แค่ สส. พรรคเพื่อไทยอย่างเดียว เพราะตนเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต  ไปดูการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4

ถามถึงเรื่องการบริหารอารมณ์ เขาบอกว่า คนเราก็เป็นคน ก็มีอารมณ์บ้าง และตนไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ ซึ่งตนเข้าใจว่าถ้าเป็นนายกฯ ต้องไม่มีสิทธิ์เลือกโกรธ ต้องพยายามรับฟัง ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ดี ซึ่งตรงนี้ก็พยายามทำให้ดียิ่งขึ้น บางเรื่องก็เข้าใจได้ ก็พยายามฝึกกันต่อไป

นายเศรษฐาเปรยว่า ก่อนหน้านี้เป็นนักธุรกิจแล้วใจร้อนมาก แต่เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วใจเย็นขึ้นเยอะ จนเพื่อนบ่น แต่เรื่องนี้ต้องให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจ  หรือให้สื่อมวลชนเป็นคนสะท้อนว่ามีการพัฒนาอย่างไร ถ้าถามว่าทำได้ดีพอหรือยัง ต้องตอบว่ายังไม่ดี ต้องพยายามกันต่อไป เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะแล้วก็ต้องรับฟังทุกๆ คำถาม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เพื่อไทย' จ่อเคลียร์ใจ 'ปานปรีย์' ชวนนั่งกุนซือพรรค ไม่รู้ 'นพดล' เสียบแทน

'เลขาฯ เพื่อไทย' รับต้องคุย 'ปานปรีย์' หลังไขก๊อกพ้น รมว.ต่างประเทศ แย้มชงนั่งที่ปรึกษาพรรค มั่นใจไม่เกิดแรงกระเพื่อม ปัดวางตัว 'นพดล' เสียบแทน ชี้ 'ชลน่าน-ไชยา' หน้าที่หลักยังเป็น สส.