ครม.เคาะแจกหมื่น เศรษฐาขนพรรคร่วมการันตี/บีบ4แบงก์ใหญ่ลดดอกเบี้ย

ดิจิทัลวอลเล็ตยังวนลูป   “เศรษฐา” ขนแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลมายืนแถลงรับหลักการแจกเงินหมื่น พร้อมสั่งให้ถาม “กฤษฎีกา” ปมล้วงเงิน ธ.ก.ส.  1.7 แสนล้าน “จุลพันธ์” โวรัฐบาลถือหุ้นธนาคาร 100% แต่ยังไม่ส่งเรื่องเข้าบอร์ดอนุมัติ รอ ต.ค.ก่อน บอกซูเปอร์แอปใช้เงินไม่ถึงพันล้าน ย้ำลงทะเบียนไตรมาส 3  เริ่มใช้ไตรมาส 4 แน่ “ชัย” ออกตัวฟอกร้านสะดวกซื้อ กางรายละเอียดบอกส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ อ้างไม่ควรโวยคนที่รวยแล้วจ่ายภาษีให้รัฐ อึ้ง! เสี่ยนิดเรียก 4  แบงก์ใหญ่เข้าพบ วอนลดดอกเบี้ยกลุ่มเปราะบาง

เมื่อวันอังคารที่ 23 เม.ย.2567 ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ต่างมาร่วมยืนแถลงข่าวโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต

โดยนายเศรษฐาแถลงว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบผลการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงและความเห็นของคณะทำงานได้เห็นชอบหลักการกรอบโครงการเติมเงิน  10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งเรื่องกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการ  แนวทางเข้าร่วมโครงการ เงื่อนไขการใช้จ่าย ประเภทสินค้า การลงทะเบียนร้านค้า รวมถึงแหล่งเงินในการดำเนินโครงการ ซึ่งกระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร   (ธ.ก.ส.) และสำนักงบประมาณ จะศึกษารายละเอียดต่อไป ส่วนข้อห่วงใยใดๆ เช่น อำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. ได้สั่งการหากมีประเด็นข้อสงสัยใดๆ ให้ส่งเรื่องไปสอบถามยังกฤษฎีกา ซึ่งทุกๆ พรรคร่วมรัฐบาลเห็นชอบในหลักการของโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ตดังกล่าว

ภายหลังการแถลงข่าวดิจิทัลวอลเล็ต สื่อมวลชนได้เตรียมซักถาม ขณะที่นายกฯ   ได้ตัดบทจบการแถลงข่าวทันที ทำให้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลถึงกับหัวเราะและต่างเดินแยกย้ายกันกลับ ซึ่งจังหวะนี้สื่อมวลชนได้พยายามให้ตอบคำถามต่อ โดยนายกฯ ระบุว่า จะพูดเรื่องอื่นต่อ เรื่องนี้จบแล้ว โอเคนะครับ ยังมีเรื่องอื่นอีกเยอะ หากจะถามเรื่องเงินดิจิทัลให้นายจุลพันธ์ อยู่รอตอบก่อน พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาที่ปากทำสัญลักษณ์ให้เงียบ

ขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง ตอบคำถามถึงเหตุผลที่ยังไม่เคาะวันชัดเจนในการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตว่า ยังเคาะวันไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาระบบด้วย แต่เราพยายามเร่งรัดที่สุดในกระบวนการทำทุกอย่าง แต่ต้องรอบคอบ โดยเฉพาะความเสถียรของแอปพลิเคชัน ความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลของประชาชนและราชการ รวมถึงการทำตัวเลขต่างๆ ฉะนั้นยังยืนยันตามกรอบเดิม ลงทะเบียนไตรมาส 3 และเปิดใช้ไตรมาส 4

เมื่อถามว่า มีการกำหนดประเด็นถามไปยังกฤษฎีกาเรื่องใดบ้าง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่ได้กำหนดประเด็น แต่นายกฯ   ได้สั่งการว่า หากมีข้อสงสัยประเด็นใดก็ตามที่เป็นเรื่องข้อกฎหมาย ให้ส่งกฤษฎีกาวินิจฉัย ซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. โดยให้ข่าวไปหลายครั้งว่าได้ดูในรายละเอียดแล้ว และมั่นใจว่าเป็นไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ แต่หากจะทำให้เกิดความกระจ่างชัด การสอบถามไปยังกฤษฎีกาเป็นสิ่งที่เราพร้อมอยู่ตลอดเวลา

เมื่อถามว่า สรุปคือกระทรวงการคลังจะส่งเรื่องให้กฤษฎีกาว่า ธ.ก.ส.มีอำนาจในการให้เงินหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า   ประเด็นนี้คงต้องส่งครับ ส่วนการนำเรื่องเพื่อเข้าบอร์ด ธ.ก.ส.เพื่ออนุมัตินั้น ยังไม่มีการดำเนินการ เพราะยังอยู่กระบวนการดำเนินการตามมาตรา 28 ซึ่งเรียกว่านโยบายกึ่งการคลัง นโยบายนี้จะเริ่มต้นประมาณเดือน ต.ค. คงใกล้ๆ ช่วงนั้นถึงจะพิจารณาผ่านบอร์ดและ ครม.อีกครั้ง ระหว่างวันนี้จนถึงเดือน ต.ค. คงต้องดำเนินการอีกหลายๆ อย่างในรายละเอียดให้ครบถ้วน รวมถึงเรื่องการสอบถามกฤษฎีกาเพื่อให้เกิดความกระจ่างและพร้อมดำเนินการ ซึ่งเหลือเวลาอีก 4-5 เดือน

ลั่นรัฐบาลถือหุ้น ธ.ก.ส.100%

 “คำถามที่เกี่ยวข้องกับสภาพคล่องของ ธ.ก.ส. ทาง ธ.ก.ส.มีความมั่นคง และอย่าลืมว่า ธ.ก.ส.รัฐบาลถือหุ้น 100% เรามีแต่เสริมความแข็งแกร่งให้กับ ธ.ก.ส. สิ่งที่ผมได้ชี้แจงกับสหภาพฯ มี 3 ประเด็นคือ 1.การดำเนินการต้องเป็นไปตามกรอบของกฎหมายทุกประการ รวมถึงอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. หากมีข้อสงสัยใดในการดำเนินการให้เกิดความกระจ่างชัดรัฐบาลยินดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฤษฎีกาก็ตาม 2.เสถียรภาพของ ธ.ก.ส. มีความมั่นคงสูง สิ่งที่เราดำเนินการอยู่ในศักยภาพที่ ธ.ก.ส.ดำเนินการได้ และ 3.สิ่งที่ดำเนินการจะไม่กระทบต่อสวัสดิภาพสวัสดิการใดๆ ของพนักงาน ลูกจ้าง ธ.ก.ส.เด็ดขาด” นายจุลพันธ์กล่าว

ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ  รมว.การคลัง กล่าวยืนยันถึงระบบแอปพลิเคชันว่า ไม่มีปัญหาอะไร โดยมี 2 ระบบ คือระบบการลงทะเบียนและระบบธุรกรรมทางการเงิน จะเป็นลักษณะเชื่อมต่อกันในหลายๆ ภาคส่วน ซึ่งทั้ง 2 ระบบได้พัฒนาและอยู่ในกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้ โดยจะเปิดให้มีการลงทะเบียนในไตรมาส 3 ปีนี้ และประชาชนจะได้รับเงินในไตรมาส 4  

เมื่อถามว่า วันข้างหน้าหากมีปัญหาข้อกฎหมายตามมา รัฐบาลจะร่วมกันรับผิดชอบทั้งคณะใช่หรือไม่ นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ขอยืนยันว่าสิ่งที่เราทำถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เรามีการเช็กรายละเอียดรอบคอบ ทั้งในส่วนอำนาจหน้าที่และการได้มาของงบประมาณต่างๆ

ทั้งนี้ ในช่วงเช้า นายจุลพันธ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสหภาพธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เข้าพบที่กระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ในเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตว่า ได้พูดคุยกันและชี้แจงเรียบร้อยดี และก็เข้าใจตรงกัน ยืนยันว่าไม่มีปัญหา ซึ่งพวกเขาก็ต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย โดยคณะกรรมการฯ   และกระทรวงการคลังก็ได้ตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่าทุกอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องการความมั่นใจว่ามีขั้นตอนทางกฎหมายอะไรที่รัฐบาลต้องทำ เช่น ส่งให้กฤษฎีกาตรวจสอบ ซึ่งก็ต้องทำ

เมื่อถามว่า ขณะนี้รัฐบาลเป็นหนี้ ธ.ก.ส.อยู่ประมาณเท่าไหร่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า ประมาณ  8-9 แสนล้านบาท แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการกู้เงินของ ธ.ก.ส.มาทำดิจิทัลวอลเล็ต แต่เป็นการใช้กลไกผ่านงบประมาณและมาตรการการเงินการคลัง เพราะรัฐบาลกู้เงิน ธ.ก.ส.ไม่ได้

เมื่อถามถึงระบบบล็อกเชนจะเข้ากับแอปพลิเคชันของรัฐได้อย่างไร เพราะไม่ได้เอื้อต่อธุรกรรมทางการเงิน นายจุลพันธ์กล่าวว่า กำลังพัฒนาและดำเนินการอยู่ส่วนเรื่องแอป ทางรัฐก็ได้พูดคุยมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในแอปที่คาดหวังว่าจะอัปเกรดเป็นซูเปอร์แอป ยืนยันว่าการไปพัฒนาเรื่องนี้นั้นใช้งบประมาณไม่เยอะ ไม่ถึงพันล้านบาท และจะใช้ทันในไตรมาสที่ 4 ส่วนแอปเป๋าตังก็ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่รัฐบาลก็กำลังดูอยู่

โครงการจบ ก.ย.2569

ขณะที่ นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า  ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบกรอบหลักการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ตามมติคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2567 โดยกลุ่มเป้าหมายคือ ประชาชนที่มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน มีสัญชาติไทย ณ เดือนที่มีการลงทะเบียนอายุเกิน 16 ปี ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท โดยเงื่อนไขในการใช้จ่าย แบ่งเป็น การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้า โดยใช้จ่ายเชิงพื้นที่ในระดับอำเภอ (878 อำเภอ) การชำระเงินต้องเป็นแบบพบหน้า กำหนดให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กที่รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก และการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า โดยร้านค้าที่จะรับการใช้จ่ายจากประชาชนต้องเป็นร้านค้าขนาดเล็ก รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก โดยไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ส่วนร้านค้าที่สามารถรับการใช้จ่ายจากร้านค้า ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขเชิงพื้นที่และขนาดร้านค้า

นายพรชัยกล่าวว่า สินค้าทุกประเภทสามารถเข้าร่วมโครงการ Digital Wallet ได้ ยกเว้นสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วม ได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม ผลิตภัณฑ์กัญชาและกระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซธรรมชาติ โดยกระทรวงพาณิชย์สามารถพิจารณาเพิ่มเติมได้ โดยการใช้จ่ายจะไม่รวมถึงบริการ

 “คุณสมบัติและเงื่อนไขร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการ Digital Wallet ได้ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ดังนี้ 1.ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ 2.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร หรือ 3.ภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย แต่ร้านค้าจะสามารถถอนเงินสดได้เมื่อใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่ 2 เป็นต้นไป”

ทั้งนี้ วงเงินที่ใช้ 500,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินที่ใช้ประกอบด้วย 1.เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ประมาณ 152,700 ล้านบาท 2.การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ 172,300 ล้านบาท และ 3.การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท ส่วนระยะเวลาดำเนินโครงการการต้องไม่เกินเดือน ก.ย.2569 เนื่องจากมีแนวทางการใช้แหล่งเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2567 และ 2568

โฆษกรัฐบาลฟอกเซเว่นฯ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงว่า ในที่ประชุม ครม. มีการขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ภายหลังจากที่มีการประชุมหารือไปหลายรอบ สุดท้ายได้ข้อสรุปคือ  ประชาชนมือที่ 1 มีกรอบเวลาการใช้จ่ายเงิน 10,000 บาท ภายใน 6 เดือน เพื่อให้จบในโครงการ ขณะที่ร้านค้ามือที่ 1 ที่ขายของให้ประชาชนที่นำเงินดิจิทัลไปใช้ ร้านค้ากลุ่มนี้เป็นร้านอะไรก็ได้ แม้กระทั่งหาบเร่แผงลอยก็ลงทะเบียนใช้สิทธิ์เป็นร้านค้าได้ แต่เมื่อขายของแล้วได้เงินดิจิทัลมาแล้ว ยังไม่สามารถนำไปขึ้นเป็นเงินได้ ต้องนำไปใช้ต่อเป็นรอบที่ 2 ซึ่งร้านค้าที่ขายให้ประชาชนมือ 1 ที่ผ่านมาแล้ว จะนำไปซื้อของต่อที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเขตอำเภอ สามารถซื้อข้ามเขตจังหวัดได้ และผู้ที่จะขึ้นเงินได้ต้องเป็นเงินดิจิทัลที่ผ่านการใช้ 2 รอบมาแล้วเป็นขั้นต่ำ และร้านค้านั้นๆ ต้องอยู่ในระบบภาษีของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนิติบุคคล หรือภาษีบุคคลธรรมดา ตามมาตรา 40 ( 8) ของประมวลรัษฎากร

“ประโยชน์ที่จะได้ในโครงการนี้ ปีงบประมาณ 2568 จะสามารถกระตุ้น GDP ได้ 1.2-1.8% ประโยชน์ของโครงการนี้จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายๆ   โครงการในอดีตที่ผ่านมา ผลของการกระตุ้นไม่ได้จบเพียงปีเดียว ซึ่งได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจการคลังมาแล้วว่า การกระตุ้นเที่ยวนี้ โดยนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งกำกับควบคุมว่าจะต้องใช้กับการซื้อสินค้าที่มีผลต่อจีดีพีสูง จะก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 3.2-3.5 รอบ หรือ money multiplier แต่จะก่อให้เกิดตัวทวีคูณทางการคลังจะเกิดขึ้นประมาณ 1.2-1.4 เท่าของเม็ดเงิน 5 แสนล้านที่ใส่ไป นั่นหมายถึง 650,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวเลขจีดีพีที่จะโตใน 3 ปี”

นายชัยกล่าวว่า ในส่วนนี้ไม่ได้มีการพูดในที่ประชุม ครม. แต่จากการได้ไปศึกษาข้อมูลถึงข้อห่วงใยและข้อครหาว่าโครงการนี้ถูกออกแบบมา และจะทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋าเจ้าสัวและร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น จากการตรวจสอบร้านสะดวกซื้อปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 14,500 สาขา ซึ่งมีเพียงครึ่งหนึ่ง เป็นของบริษัทเอกชน (บริษัท ซีพี ออลล์ฯ) โดยตรง แต่ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ และเมื่อเทียบกับจำนวนร้านค้าขนาดเล็ก และร้านค้าย่อย จากการลงตัวเลขในโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลที่ผ่านมา  กระทรวงการคลังรายงานว่า มีตัวเลขร้านลงทะเบียน 1.2 ล้านร้าน ซึ่งคาดว่าร้านค้าเหล่านี้มีโอกาสสูงที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เพราะฉะนั้นที่ประชาชนจะนำเงินดิจิทัลไปใช้ได้รอบแรกประมาณ 1.2 ล้านร้าน ส่วนข้อกังวลว่าจะผูกขาดร้านสะดวกซื้อ 14,500 บาทสาขา อีกครึ่งหนึ่งเป็นของแฟรนไชส์ ขอให้เปรียบเทียบดู ร้านสองแสนกับหมื่นกว่ามันไกลกันเยอะ เพราะฉะนั้นโอกาสที่ประชาชนจะไปใช้จ่ายไม่เข้ากระเป๋าของเจ้าสัวมีสูง

“ไม่ว่าประชาชนจะไปซื้อในร้านของใครก็ตาม ร้านนั้นจะเป็นบริษัทเป็นแฟรนไชส์หรือโมเดิร์นเทรดขนาดเล็ก ซื้อ 100 บาท อย่างน้อยคนที่ขายของต้องนำเงิน 60-70 บาทไปซื้อสินค้าใหม่ เนื่องจากเป็นห่วงโซ่ ไม่ว่าจะเป็นร้านใดก็ย่อมมีการนำเงินมาหมุนเช่นกัน เพื่อนำสินค้ามาขายใหม่ จะเก็บเข้ากระเป๋าทั้งหมดไม่ได้อยู่แล้ว รัฐบาลไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจ และไม่เคยคิดที่จะตั้งเงื่อนไขกีดกันใครก็ตามที่ทำมาหากินแล้วประสบความสำเร็จ เติบโตขึ้นมาบนระบบที่ถูกต้อง ยอมเสียภาษี และวันหนึ่งจะมาถูกต้องข้อรังเกียจว่าคุณหมดสิทธิ์ เราจะไม่ทำอย่างนั้น” นายชัยกล่าว

นายกฯ เรียก 4 แบงก์ลดดอกเบี้ย

วันเดียวกัน ในช่วงเช้าก่อนการประชุม ครม. นายเศรษฐาได้เชิญผู้บริหาร 4 ธนาคารเข้าพบ บนตึกไทยคู่ฟ้าประกอบด้วย น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย, นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย, นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และนายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยใช้เวลาหารือประมาณ 30 นาที

ต่อมาเวลา 09.40 น. นายเศรษฐากล่าวว่า ได้เชิญแบงก์ใหญ่ 4 แบงก์เข้ามาพูดคุยเรื่องปัญหาเศรษฐกิจทั่วๆ ไป รวมถึงได้พูดคุยถึงกลุ่มเปราะบางที่เป็นกลุ่มเอสเอ็มอีหรือรายย่อย มีปัญหาเรื่องดอกเบี้ยสูง ซึ่งได้มีการขอร้องและพูดคุยกันแบบคนที่รู้จักกันมา เพราะทุกคนรู้จักกันมา 10-20 ปีทั้งนั้น ตั้งแต่อยู่ในวงการมา ก็มาขอร้องทั้ง 4 ท่านว่าขอให้มาพิจารณาเรื่องดอกเบี้ยบ้าง ซึ่งท่านก็รับปากว่าเดี๋ยวจะไปพูดคุยกัน

 “มันไม่ใช่เรื่องการแข่งขันทางด้านธุรกิจ หรือมาชิงดีชิงเด่น ใครลดมากลดน้อยมันไม่ใช่ ผมอยากให้ทุกท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และลองดูว่าเราสามารถช่วยเหลือกันได้มากน้อยขนาดไหนอย่างไร เรื่องนี้เป็นการให้เกียรติกัน และเป็นคนที่อยู่ในวงการเดียวกันมาเกือบ 20 ปี รู้จักกันมาดี มองตากันก็รู้ใจ ว่าเราต้องการอะไรซึ่งกันและกัน ทำได้แค่ไหนก็คงแค่นั้น คงไม่ไปกดดันอะไร ต้องให้เกียรติทั้ง 4 ท่านด้วย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดี  พูดคุยกันดี ก็เดี๋ยวคอยนิดนึงแล้วกัน ขอให้ท่านไปพิจารณาทั้งระบบว่าควรจะต้องทำอย่างไร โดยเน้นไปที่กลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งหากถึงเวลาเหมาะสมก็จะเรียกท่านมาพูดคุย”

นายจุลพันธ์กล่าวในเรื่องนี้ว่า เป็นการขอความร่วมมือในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งฟีดแบ็กก็ค่อนข้างโอเค เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ในส่วนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนั้น รัฐบาลดำเนินการได้อยู่แล้วในเรื่องนี้ แต่ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือไป ส่วนรายละเอียดทั้งหมดยังไม่ทราบ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง