หั่นจีดีพีเหลือ2.4 ลุ้นดิจิทัลกระตุ้น ‘พิชัย’นำทัพฉลุย

“คลัง” หั่นจีดีพีปี 2567 เหลือ 2.4% โอด  “ส่งออก-ภัยแล้ง-งบประมาณล่าช้า” ทุบหนัก ลุ้น Digital  Wallet เข็นใช้ไตรมาส 4 กระตุ้นคนใช้จ่ายคึก 3.5 แสนล้านบาท ช่วยดันเศรษฐกิจโตแตะ 3.3% "จุลพันธ์" มั่นใจ  “พิชัย” นำทัพคุมนโยบายเศรษฐกิจฉลุย พร้อมเร่งนัดประชุมดิจิทัลวอลเล็ต ลุุ้นเคาะซื้อไอโฟน-เครื่องใช้ไฟฟ้าได้

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวที่ 2.4% ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 2.8% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มการส่งออกสินค้าที่คาดว่าจะหดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ โดยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 2.3% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4.2% โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม รวมถึงการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ยังหดตัวในระดับสูง สะท้อนจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) โดยเฉพาะสินค้าในหมวดยานยนต์ ชิ้นส่วนและแผงวงจรที่ปรับตัวลดลงมาก ขณะเดียวกันยังมีผลมาจากภาคการเกษตรที่ยังได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งเป็นปัญหาอย่างมาก ตลอดจนภาคการคลังจากงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า ทำให้มองว่าจากปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการปรับตัวลดลงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้

ทั้งนี้ หากเม็ดเงินจากโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สามารถเริ่มมีการใช้จ่ายได้ภายในไตรมาส 4/2567 จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัวได้เพิ่มขึ้นเป็น 3.3% ต่อปี ภายใต้สมมุติฐานว่าในช่วงไตรมาส 4 ประชาชนจะมีการใช้จ่ายเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก

 “วงเงินเป้าหมายของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตคือ 5 แสนล้านบาท และการใช้จ่ายมีระยะเวลา ไม่ได้จบแค่เดือน  ธ.ค. 2567 นั่นหมายความว่าประชาชนบางส่วนจะมีการใช้เม็ดเงินต่อเนื่องไปจนถึงต้นปีหน้า ซึ่งรัฐบาลได้ประมาณว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจประมาณ  1.2-1.8% แต่ถ้าจับช่วงเวลาที่มีผลต่อเศรษฐกิจคือในไตรมาส 4/2567 ที่คาดว่าจะมีการใช้จ่าย 3.5 แสนล้านบาท ในส่วนนี้ก็จะมีผลกับเศรษฐกิจในปีนี้ให้ขยายตัวได้ 3.3% ส่วนเม็ดเงินจะมีการหมุนไปอีกหลายรอบในระยะถัดไป แต่ถ้าไม่มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ปีนี้เศรษฐกิจก็จะอยู่ที่ 2.4%” นายพรชัยกล่าว

นายพรชัยกล่าวอีกว่า จากตัวเลขเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องส่งออกกับภาคอุตสาหกรรมที่ยังชะลอตัวนั้น เชื่อว่าจะทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีข้อมูลเพื่อไปประกอบการพิจารณาได้ดีขึ้น และคาดว่าในการประชุมของ กนง. ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอย่างน้อย 0.25% ต่อปี

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า ยังไม่ได้มีการหารือกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลังเป็นการส่วนตัว คาดว่าจะมีการพูดคุยกันหลังจากได้รับการโปรดเกล้าฯ เรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวเชื่อว่านายพิชัยเป็นผู้มีประสบการณ์ มีความรู้ความเข้าใจนโยบายด้านเศรษฐกิจ และจากประสบการณ์ที่ได้ทำงานร่วมกับภาคเอกชนมาอย่างยาวนาน จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในการเดินหน้านโยบายต่างๆ ของรัฐบาลได้

ส่วนจะเข้ามาดูแลโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตโดยตรงหรือไม่ ให้เป็นอำนาจของนายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ ตนในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet คาดว่าจะมีการเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในสัปดาห์นี้ และจะมีการหารือกันทุกสัปดาห์เพื่อพิจารณารายละเอียด หลักการใช้จ่ายเงินในโครงการให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว

 “ในหลักการจะต้องวางแนวทาง Negative List ในหลายประเด็น สินค้าใดบ้างไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งหลักๆ ต้องเป็นสินค้านำเข้า (Import Content) เช่น  ห้ามนำไปใช้เติมน้ำมันเพราะนำเข้า 100% ไม่ก่อให้เกิดการผลิตและการจ้างงานในประเทศ ส่วนสินค้าที่อยู่ในการพิจารณา เช่น สมาร์ทโฟน ไอโฟน และเครื่องใช้ไฟฟ้า ณ ขณะนี้ยังไม่ได้ห้าม ต้องเอาข้อมูลมาดู รวมทั้งร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการได้ต้องมีคำจำกัดความที่ชัดเจน” นายจุลพันธ์กล่าว

นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า ในข้อเท็จจริงต้องพิจารณาให้เหมาะสมที่สุด เช่นปุ๋ยก็มีการนำเข้าทั้งหมด แต่ก็สามารถให้ใช้ดิจิทัลวอลเล็ตซื้อได้ เพราะถือเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการประกอบอาชีพ ส่วนสินค้าอื่นๆ ก็ต้องหารือร่วมกันในที่ประชุมคณะกรรมการ ยังไม่สามารถฟันธงได้ตอนนี้  100% บางอย่างก็ต้องมีการถอยบ้าง

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงิน 10,000 บาท มองว่าคงเป็นนโยบายสำคัญ หากผ่านไปได้ ไม่ขัดกฎหมาย สภาพคล่องมี แหล่งเงินทุนจาก ธ.ก.ส. สามารถใช้ได้ และดึงงบประมาณปี 2567-2568 มาใช้ได้  ปัญหาคือผิดกฎหมายหรือไม่ การให้กฤษฎีกาตีความก็ควรเร่งตีความว่าสามารถทำได้หรือไม่ สร้างความชัดเจนอย่างเร่งด่วน อาทิ การจะทำซูเปอร์แอปออกมาได้จริงหรือไม่ พิสูจน์ได้ว่าไม่มีข้อบกพร่อง ไม่มีจุดเปราะบาง หรือใช้แอปเป๋าตังแทน หากทุกคนคาดการณ์ได้ว่าดิจิทัลวอลเล็ตมาแน่ มาจริงๆ ไม่ใช่ไม่มาแต่รู้สึกว่าจะมา เพราะจะทำให้การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนติดๆ ขัดๆ ความเชื่อมั่นจะไม่ฟื้นตัวแบบโดดเด่น

นายธนวรรธน์กล่าวว่า นโยบายแรกที่ต้องทำคือ ควรมีความชัดเจนเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ว่าสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายและทำได้ทันที อันนี้จะทำให้ความเชื่อมั่นเกิดขึ้นทั้งไทยและต่างประเทศ เนื่องจากจะมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจกว่า 5 แสนล้านบาท เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/2567 สนับสนุนให้จีดีพีเติบโตเกิน 3% ได้ ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้พูดถึงความคุ้มค่า แต่พูดถึงการใช้ดิจิทัลวอลเล็ตเท่านั้น

ขณะที่นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือน มี.ค. 2567 มีมูลค่า 24,960.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 10.9% กลับมาติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่อง 7 เดือนติดต่อกัน เนื่องจากฐานปีก่อนสูงมาก ส่งออกได้ถึง 28,004.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 892,290 ล้านบาท การนำเข้ามีมูลค่า 26,123.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.6% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 944,828 ล้านบาท ขาดดุลการค้ามูลค่า 1,163.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 52,538  ล้านบาท รวม 3 เดือนปี 2567 (ม.ค.-มี.ค.) การส่งออกมีมูลค่า 70,995.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 0.2% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 2,504,009 ล้านบาท นำเข้ามูลค่า 75,470.5  ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.8% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า  2,692,023 ล้านบาท ขาดดุลการค้า 4,475.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 188,014 ล้านบาท

สำหรับการส่งออกที่ลดลงมาจากการลดลงของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร 5.1% โดยสินค้าเกษตร เพิ่ม 0.1% แต่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรลด 9.9% โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ ข้าว ยางพารา อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป สิ่งปรุงรสอาหาร นมและผลิตภัณฑ์จากนม ส่วนสินค้าที่หดตัว อาทิ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำตาลทราย ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่ม 0.3%

ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมลด 12.3% โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และสินค้าที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมลดลง 0.3%. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โยนรบ.ปลดล็อกม.112 กมธ.นิรโทษฯชง3ข้อเสนอทะลุฟ้า/ก.ก.ย้ำสิทธิประกันตัว

"กลุ่มทะลุฟ้า" บุกทำเนียบฯ-รัฐสภา ร้องรัฐบาลตรวจสาเหตุ  "บุ้ง" เสียชีวิตให้โปร่งใส จี้คืนสิทธิประกันตัวผู้ต้องหาคดีการเมือง