ภูมิธรรมปัดฟอกจำนำข้าว พิชิตขอโอกาสไม่ใช่คนชั่ว

เศรษฐา 1/1 เบิกฤกษ์ไม่สวย ฝนถล่มต้องไปถ่ายรูปหมู่ในตึกสันติไมตรีแทน นายกฯ บอกไม่ต้องมีเคพีไอ  6-7 เดือนตามมาตรฐานเดิม แบ่งงานรองนายกฯ "ภูมิธรรม-สุริยะ-พิชัย" กินรวบเบ็ดเสร็จทุกด้าน ส่วน "อนุทิน-พัชรวาท-พีระพันธุ์" ดูแลเฉพาะโควตารัฐมนตรีในสังกัด  "พิชิต" เผยทุกคนย่อมมีอุบัติเหตุ ลั่นเป็นคนมีความรู้ความสามารถ ไม่อย่างนั้นยืนจุดนี้ไม่ได้ "ราเมศ" แซะสหายอ้วนกินข้าวเก่าไม่สามารถฟอกขาวคดีโกงได้  

เมื่อวันอังคารที่ 7 พฤษภาคม 2567  ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการนัดหมาย ครม.ถ่ายภาพหมู่ทั้งคณะหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เวลา 09.30 น. แต่เนื่องจากมีฝนตกลงมา ทำให้มีการเปลี่ยนสถานที่ถ่ายภาพหมู่ไปใช้ในตึกสันติไมตรีแทน

 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ครม.ว่า จะมีการแบ่งงานรองนายกฯ และรัฐมนตรีใหม่ รวมถึงให้รัฐมนตรีว่าการที่มีรัฐมนตรีช่วยเพิ่มเติมได้แบ่งงานภายในกระทรวงด้วย  โดยจะแบ่งตามความเหมาะสม ความสามารถ และได้เน้นย้ำไปยังรัฐมนตรีเดิมว่าใครที่มีงานค้างเกี่ยวกับงานดูแลประชาชนก็ต้องดำเนินการต่อ

เมื่อถามย้ำว่า จะเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่มี เน้นย้ำทุกเรื่อง โดยเฉพาะนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา

ถามว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้จะทำให้การทำงานขับเคลื่อนไปได้ดีหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า คือจุดหมายหลัก แต่ไม่ได้หมายความว่าอันเก่าขับเคลื่อนไม่ได้ เคยเรียนไว้ว่าช่วงเวลา 8-9 เดือนที่ผ่านมามีความต้องการในภาคส่วนต่างๆ ที่ต่างกัน อย่างในรัฐสภามีการเสริมแกร่งให้ฝ่ายนิติบัญญัติ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นธรรมดา

เมื่อถามว่า จะกำหนด KPI รัฐมนตรีใหม่หรือไม่ว่าต้องเห็นผลงานภายในกี่เดือน นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องพูดคุยกันว่าบางเรื่องต้องเสร็จเมื่อไหร่ และบางเรื่องเราพูดถึงสิ่งที่อยากเห็นได้ แต่พอถึงเวลาก็มีตัวแปรอื่นที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่ง KPI เหล่านี้ปรับเปลี่ยนได้

ถามย้ำว่า มาตรฐานเดิมวางไว้ที่ 6-7 เดือนหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่เกี่ยว มันแล้วแต่ ถ้าบางอย่างต้องจบใน 2 สัปดาห์ก็ต้องจบใน 2 สัปดาห์ บางเรื่อง 2-3 ปีก็มี มันมีหลายเรื่องที่ต้องดำเนินการอยู่ เพราะแต่ละเรื่องต้องใช้เวลาต่างกัน เช่น การลงทุนที่ต้องประสานงานกับทุกฝ่าย แต่มั่นใจ ครม.ชุดใหม่ให้ความสำคัญกับปัญหาประชาชน

เมื่อถามถึงกรณีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อผลงานรัฐบาลในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ยังให้คะแนนเพียง 6-7 คะแนน เมื่อปรับ ครม.แล้วจะขับเคลื่อนการทำงานให้ได้รับคะแนนความนิยมมากกว่านี้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องการให้คะแนนถือเป็นเสียงสะท้อนอย่างหนึ่ง การมาอยู่ตรงนี้เป็นหน้าที่ที่จะต้องฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน จะได้กี่ 6 7 5 4 หรือ 9 คะแนน ก็ยังไม่เต็มสิบอยู่ดี ดังนั้น การพยายามทำงานต่อไปถือเป็นเรื่องสำคัญ และต้องมานั่งดูว่าส่วนไหนที่ยังทำไม่ได้ดี ตรงไหนที่ทำมาแล้ว แต่ระบบยังไม่สามารถทำให้ไปถึงเป้าหมายได้ ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับคณะทำงานด้วยเหมือนกัน แต่ถือว่าเข้าใจได้

เมื่อถามว่า ระบบราชการในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนและสอดรับกับการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าไม่มีปัญหา ข้าราชการเป็นภาคส่วนสำคัญที่จะขับเคลื่อนนโยบาย และได้พูดคุยโดยเอาเนื้องานเป็นหลัก เชื่อว่าทุกกระทรวง ทบวง กรม มีส่วนผลักดันนโยบายรัฐบาลอยู่แล้ว ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าปัญหาที่มีมันใหญ่เหลือเกิน เพราะเมื่อปัญหามันใหญ่มากๆ ต้องใช้ทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อน

ทั้งนี้ ก่อนประชุม ครม. นายเศรษฐาได้เชิญรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือเกี่ยวกับการค้าชายแดน และการจัดตั้งศูนย์ One Stop Service ซึ่งได้กำหนดให้ทดลองระบบวันที่ 1 ก.ย. ณ ด่านศุลกากรหนองคาย และให้แล้วเสร็จเต็มรูปแบบในวันที่ 1 ต.ค.

ต่อมานายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุม ครม.ว่า เมื่อช่วงเช้าได้พบกันก่อนจะมีการถ่ายรูปหมู่ ซึ่งได้ขอบคุณ ครม.ชุดเก่าที่มีการทำงานกันอย่างเคร่งครัด และรัฐมนตรีใหม่เองขอให้ไปดูนโยบายและโครงการต่างๆ ที่รัฐมนตรีท่านเก่าได้ทำไว้ที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน และให้เริ่มดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด โดยไม่ได้มีการพูดคุยอะไรไปมากกว่านี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูเหมือน ครม.ชุดใหม่มีการแบ่งงานให้พรรคร่วมรัฐบาลยึดกระทรวง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเศรษฐาถึงกับร้องโอ๊ยพร้อมกล่าวว่า อย่าไปมองอย่างนั้นเลย ไม่ใช่แบบนั้น เรามองที่ผลงานเป็นหลักมากกว่า ไม่ได้ยึดกระทรวงหรืออะไร วันนี้เราทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน อย่าไปมองว่าเป็นการยึดกระทรวง หรือยึดอำนาจ ถือเป็นการบริหารจัดการการทำงานร่วมกัน และเชื่อว่าอะไรที่เราบริหารจัดการได้ ลดภาระของพี่น้องประชาชน หรือแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ถือเป็นจุดมุ่งหมายหลักและแนวทางการทำงานร่วมกัน

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้รองนายกฯ รักษาราชการแทนนายกฯ  โดยกรณีนายกฯ ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ได้ให้รองนายกฯ เป็นผู้รักษาราชการแทนนายกฯ ดังนี้ 1.นายภูมิธรรม เวชยชัย 2.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 3.นายพิชัย ชุณหวชิร 4.นายอนุทิน ชาญวีรกุล 5.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และ 6.นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

ภูมิธรรมคุมเบ็ดเสร็จ

ขณะที่ น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงอีกว่า ที่ประชุม ครม.ยังได้มีมติมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกฯ โดยนายภูมิธรรมให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกฯ ดังนี้ กระทรวงกลาโหม, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ส่วนการมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกฯ ดังนี้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้, สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ขณะที่การกำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน), สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก, สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ

น.ส.เกณิกากล่าวต่อว่า นายสุริยะ ให้กำกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,  กระทรวงคมนาคม, กระทรวงวัฒนธรรม, กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ส่วนการมอบหมายและมอบอำนาจปฏิบัติราชการแทนนายกฯ คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และกำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน), สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และการดำเนินคดีปกครอง รวมทั้งลงนามมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองกรณีที่มีการฟ้องนายกรัฐมนตรี

นายพิชัย มอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับกระทรวงการคลัง, กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงบประมาณ ส่วนการมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกฯ ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง และกำกับดูแลองค์การดังนี้ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน), สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม 

นายอนุทิน กำกับการบริหารราชการแทนนายกฯ กระทรวงการอุดมศึกษา  วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนการมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) พล.ต.อ.พัชรวาท มอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายพีระพันธุ์มอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับกระทรวงพลังงาน, กระทรวงยุติธรรม (ยกเว้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ) และกระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนการมอบหมายและมอบอำนาจปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี คือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ทนายถุงขนมคุม พศ.

สำหรับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นั้น นายจักรพงษ์ แสงมณี รมต.ประจำสำนักนายกฯ มอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกฯ คือ สำนักงบประมาณ, สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) นายพิชิต  ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ ปฏิบัติราชการแทนนายกฯ คือ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ,  สำนักงานราชบัณฑิตยสภา และสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)            ขณะที่ น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกฯ ดูแลกรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค, บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ

นายภูมิธรรมกล่าวถึงการแบ่งงานใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล กห.ว่านายกฯ ดูภาพรวมใหญ่อยู่แล้ว ในส่วนของตนเองที่ดูคณะกรรมการต่างๆ ซึ่งไม่ได้หนักใจอะไร เพราะ กห.มีผู้นำเหล่าทัพที่มีศักยภาพในการดูแลอยู่แล้ว เราเป็นนักบริหาร ก็ทำหน้าที่ประสานงานและสนับสนุนให้เกิดการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น

เมื่อถามว่า มีข้อสังเกตว่าการมอบหมายให้ดู กห. เพื่อสกัดการรัฐประหาร นายภูมิธรรมหัวเราะก่อนตอบว่า “ผมโดนจี้ โดนอะไรไป แต่ตอนนี้คงไม่ต้องพูดเรื่องรัฐประหารแล้ว ขณะนี้เราเป็นรัฐบาลพลเรือนที่ทำงานกับทุกฝ่าย แล้วเชื่อว่าเราทำงานกับฝ่ายทหารได้ เชื่อว่าท่านก็รักประเทศชาติเหมือนกัน เราทำงานร่วมกันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร”

ทั้งนี้ ก่อนประชุม ครม. นายสุริยะได้เดินทางเข้าทำเนียบฯ ในเวลา 08.15 น. โดยขึ้นไปสักการะพระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนลงมาไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่และศาลตายาย ซึ่งระหว่างไหว้บรรยากาศฟ้ามืดครึ้ม มีเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ และเมื่อไหว้เสร็จ นายสุริยะได้ก้มลงกราบศาลพระภูมิและศาลตายาย โดยถือเป็นคนแรกที่ก้มลงกราบ จากนั้นนายสุริยะให้สัมภาษณ์ว่า งานที่กำกับดูแล ส่วนใหญ่ เป็นงานที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เคยกํากับดูแล ส่วนจะสานต่อโครงการโคล้านตัวหรือไม่ เรื่องนี้จะเข้าไปดูรายละเอียดว่าจะเดินหน้าอย่างไร และต้องพูดคุยกับกองทุนหมู่บ้านอีกครั้ง

เมื่อถามว่า ภายหลังจากรับตำแหน่งรองนายกฯ ตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร นายสุริยะกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ เมื่อนายกฯ ให้ความไว้วางใจ ก็ต้องทุ่มเทความรู้ความสามารถให้เต็มที่ ทำงานเหมือนนายกฯ ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการทำงาน

พิชิตมั่นใจมีความรู้ความสามารถ

ขณะที่นายพิชิตกล่าวหลังได้รับมอบหน้าที่ว่า จะต้องทำให้ดีที่สุด ยืนยันว่ารักประเทศชาติไม่น้อยกว่าคนอื่น จะทำหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมาย โดยเคยอยู่ที่นี่มา 6-7 เดือนแล้ว ในฐานะที่ปรึกษาของนายกฯ เพราะฉะนั้นไม่ใช่คนหน้าใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาอยู่ในที่ประชุม ครม.ตลอดไม่เคยขาดแม้แต่ครั้งเดียว รวมถึงการประชุม ครม.สัญจรในจังหวัดต่างๆ ได้รับรู้นโยบายของรัฐบาล และความตั้งใจของนายกฯ ที่จะทำตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องงาน ขอให้สบายใจได้ สื่อจะเห็นว่าตั้งแต่อยู่มาก็อยู่ด้วยความสงบเรียบร้อย ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน วันนี้แม้จะเปลี่ยนตำแหน่ง แต่ก็ยังนั่งอยู่ที่ห้องทำงานชั้น 2 เหมือนเดิม

 “วันนี้ผมจะ Kick Off  Quick Win ในฐานะรับผิดชอบสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พลิกฟื้นศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน ภายใน 30 วัน ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการทำเนียบฯ ช่วยได้ เพราะทำเนียบฯ ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน โดยจะรับแจ้งเบาะแสอาชญากรรมทุกประเภท และพร้อมรับเรื่องเพื่อไปติดตามงาน ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ซึ่งจะนำผลมาแจ้งให้ประชาชนทราบ”

นายพิชิตกล่าวถึงกรณีที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีว่า "ทุกคนมันมีอุบัติเหตุในชีวิตได้ 6-7 เดือนที่ผ่านมา ถ้าให้ความเป็นธรรมกับชีวิตผม ไปศึกษาเรื่องราวต่างๆ ให้ดีพอจะทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าผมเป็นคนไม่ดีอย่างที่มีการกล่าวหา คนที่ชื่อพิชิต ชื่นบาน จะไม่เดินเข้าทำเนียบฯ ผมมั่นใจว่ากว่า 10 ปีที่ผ่านมา หัวใจผมมั่นใจว่าไม่ใช่คนผิด ไม่ใช่คนชั่วร้าย จึงทำให้ชีวิตยืนอยู่ได้ด้วยความรู้ความสามารถ ถ้าไม่มีความรู้ความสามารถคงไม่มีใครให้ผมมายืนได้ ผมทำงานกับนายกฯ มาหลายคน วันนี้ขอพูดจากใจ" โดยจังหวะนี้นายพิชิต ได้ยกมือไหว้ต่อกล้องสื่อมวลชนและกล่าวว่า ขอโอกาสประชาชนให้ได้ทำงาน

นายพิชิตกล่าวถึงการไปยื่นเรื่องต่อองค์กรต่างๆ อาทิ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และผู้ตรวจการแผ่นดินถึงคุณสมบัติว่าขอให้รอฟังดุลยพินิจของแต่ละหน่วยงานจะว่าอย่างไรทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย วันนี้ขอก้าวไปทำงานจากหัวใจที่ออกมาพูดโดยไม่มีสคริปต์

นายจักรพงษ์กล่าวถึงการกำกับดูแลสำนักงบประมาณ ว่าไม่ได้หนักใจอะไร เพราะก่อนหน้านี้เคยทำงานกับนายกิติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ และ รมว.การคลังในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งพอเข้าใจในวิธีการทำระบบงบประมาณ และงบประมาณปี 2568 ก็มีการวางปฏิทินแล้ว ส่วนจะเคาะเมื่อใดต้องรอ ครม.พิจารณา

ส่วนนายภูมิธรรมกล่าวถึงการทำงานร่วมกับรัฐมนตรีช่วยที่มาจากพรรคร่วมรัฐบาลว่า เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี คิดว่าจะผลักดันงานของกระทรวงพาณิชย์ไปได้ไกล ถึงแม้ว่าจะต่างกันถึง 3 พรรค แต่ก็ไม่มีปัญหา เราคุ้นเคยรู้จักกัน และสามารถร่วมงานกันได้ดี รอผลงานเป็นตัวพิสูจน์

 นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์กล่าวเสริมว่าดีใจที่อยู่กับนายภูมิธรรม ส่วนเรื่องการทำงาน ทำตามนโยบายของรัฐบาล

ส่วนนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกระแสข่าวเปลี่ยนตัวโฆษกประจำสำนักนายกฯ ว่าไม่ขอออกความเห็น เนื่องจากยังไม่ได้มีการสื่อสารอะไรมาถึง แต่ยอมรับว่า 2-3 เดือนที่ผ่านมามีการพูดคุยและชักชวนให้ไปร่วมงานด้านการเมืองอื่น ซึ่งเป็นเพียงแค่การออกความเห็นกันเท่านั้น ไม่ได้มีการทาบทามอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด และไม่ได้มีอะไรซีเรียส

วันเดียวกัน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางกลับไทย กต.ต้องเป็นด่านแรกในการประสานงานว่า เรื่องนี้ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร

เมื่อถามย้ำว่า มีการมองกันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจใช้สถานทูตประเทศใดประเทศหนึ่งเพื่อรายงานตัว นายมาริษกล่าวว่า เรื่องนั้นเป็นเรื่องของการมอง ไม่เกี่ยวกับ กต. และยังไม่ได้รับรายงานว่าจะมีเรื่องนี้เข้ามา ขออนุญาตไม่ตอบ เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับ กต.

กินข้าวเก่าโชว์ฟอกคดีไม่ได้

ขณะที่นายภูมิธรรม กล่าวถึงกรณีพาสื่อมวลชนและผู้ส่งออกลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ตรวจสอบข้าวจากโครงการจำนำในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ว่า เป็นการตรวจคุณภาพข้าว ชิมแล้วไม่มีกลิ่นหืน ไม่มีความรู้ว่าจะกินไม่ได้ ความหอมอาจลดลงไม่เหมือนข้าวใหม่ แต่ความนุ่นนวลไม่มีปัญหา และยังได้เข้าไปตรวจกองข้าว เพื่อไม่ให้มีการจินตนาการไปว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้ ไม่อยากให้เอาจินตนาการมาชี้นำความจริง เรื่องนี้เราพยายามทำให้เรื่องราวต่างๆ  ของประเทศจบลงด้วยดี และสามารถนำเงินกลับเข้าประเทศได้ อย่างน้อยถ้าประมูลได้ราคามาตรฐาน 17-18 บาท ก็มีรายได้เข้ามาถึง 200-400 ล้านบาท

“ไม่ได้ไปบังคับใคร ใครทานได้ก็ทาน  ใครไม่อยากทานก็ไม่ต้องทาน ใครซื้อก็ซื้อ  ซื้อไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อ ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมมากกว่าสิ่งที่ควรทำ และหากในที่ประชุม ครม.หารือกันจนสิ้นสงสัย ก็จะเร่งดำเนินการประมูลภายในเดือน พ.ค.นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินเดือน มิ.ย. อยากให้มันจบ จะได้ไปทำเรื่องอื่นต่อ ไม่อยากให้เกิดดรามา เอาจินตนาการมาชี้นำความจริง” นายภูมิธรรมกล่าว

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในกรณีนี้ว่า นายภูมิธรรมควรเอาข้าวในโกดังดังกล่าวไปหุงให้รัฐมนตรีได้กินกันทั้งคณะในทุกวันอังคารที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ต้องแนะนำแม่บ้านที่หุงข้าวไม่อยากให้ซาวน้ำหลายครั้ง เพราะถ้าซาวน้ำมากกว่า 3 ครั้ง อาจจะทำให้สูญเสียสารอาหารและกลิ่นหอมในข้าวได้ ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและประหยัดค่าใช้จ่ายได้

 “การตักข้าวใส่ปากกินโชว์ของรองนายกฯ ไม่ใช่มาตรฐานการตรวจวัดคุณภาพข้าว และภาพมันฟ้องว่าแม้แต่ตัวรองนายกฯ เองก็ไม่มีความกล้าเต็มร้อย เพราะเน้นกับ ไม่เน้นข้าว มีคนฝากถามช้อนซื้อที่ไหนตักติดแต่กับข้าว ไม่ค่อยติดข้าวสวย และอีกอย่างที่รองนายกฯ มีความประสงค์จะสื่อสารคือโครงการรับจำนำข้าวไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งการมากินข้าวโชว์ก็เช่นกัน ที่ไม่สามารถมาลบล้างเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาในคดีทุจริตรับจำนำข้าวได้แม้แต่บรรทัดเดียว” นายราเมศระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง