ซัด ‘มาดามแพ’ ไม่เหมาะ!

วิจารณ์ "มาดามแพ" ทำมินิฮาร์ตระหว่างถ่ายรูปร่วม ครม.หน้าตึกสันติไมตรี ไม่รู้กาลเทศะ "หมอวรงค์" ชี้กรณีถ่ายภาพในชุดปกติขาวซึ่งถือเป็นทางการต้องแสดงภาวะผู้นำ ไม่ใช่ทำน่ารักน่าเอ็นดู ด้าน "จตุพร" ประเมินนักร้องเปิดศึกลวงตะลุมบอนกดดันรอบทิศ จน "ทักษิณ" ตรอมใจ หนีอีกรอบก็หนีไม่พ้น ชีวิตสุดท้ายจำใจเดินเข้าคุก "เจษฎ์" ชี้รัฐบาลชุดนี้ตั้งไม่ได้ถ้าไม่มี  คสช.

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2567 ขณะที่คณะรัฐมนตรีนำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมตัวกันที่หน้าตึกสันติไมตรี เพื่อถ่ายภาพหมู่ร่วมกันบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้านั้น มีอยู่ช่วงหนึ่ง น.ส.แพทองธารได้ทำมินิฮาร์ตและให้รัฐมนตรีทุกคนทำตาม กรณีนี้นำไปสู่การวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นการถ่ายรูปอย่างเป็นทางการของคณะรัฐมนตรี

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ชุดขาวไม่ค่ะ หลายท่านน่าจะได้ชมคลิปนายกฯ มาดามแพ ถ่ายรูปหมู่ของคณะรัฐมนตรี หลังจากนั้นนายกฯ ขอถ่ายรูปหมู่ "ทำมินิฮาร์ต" จนได้ยินเสียงตะโกนเข้ามาว่า  "ชุดขาวไม่ค่ะ" นายกฯ มาดามแพก็ต้องทำท่าเหมือนโดนครูดุ

คุณเป็นถึงนายกรัฐมนตรี แต่ไม่รู้กาลเทศะ  ในกรณีถ่ายภาพในชุดปกติขาว ซึ่งถือว่าเป็นทางการ คุณต้องแสดงภาวะผู้นำ ที่จะนำพาประเทศ ต้องสร้างความเชื่อมั่น ไม่ใช่ทำน่ารักน่าเอ็นดู

แต่ภาพที่มีเสียงว่า "ชุดขาวไม่ค่ะ" แล้วคุณต้องหยุดทำท่ามินิฮาร์ต และทำสีหน้าเหมือนโดนครูดุ ต่อไปนี้ใครจะไปเชื่อนายกฯ ประเทศไทย เพราะนายกฯ กำลังเล่นขายของและโดนดุในที่สาธารณะ

ผมคิดว่าเราคงได้เห็นอะไรดีๆ อีกมาก นี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้น มะม่วงบ่มแก๊สแม้สุกย่อมเปรี้ยวฉันใด คนที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลยมาบริหาร ประเทศย่อมสร้างความเสียหายก็ฉันนั้น   ติดตามไปเรื่อยๆ ครับ

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า การยื่นคำร้องให้ตรวจสอบจริยธรรมนายกฯ พ่อนายกฯ  และ ครม.สืบสันดาน เป็นยุทธวิธีการศึกแบบตะลุมบอน เพื่อให้ฝ่ายรัฐบาลเกิดภาวะกระวนกระวายรอบทิศ แล้วที่สุดพุ่งเป้าเผด็จศึกด้วยคำร้องเรียนเรื่องเดียวเท่านั้น

อีกทั้งคาดว่า นับจากนี้ไป ทักษิณ ชินวัตร จะเดินไปสู่ผาตรอมใจ เพราะในความมั่นใจของเขานั้นมีความขลาดกลัวไม่รู้อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น จึงทำให้อารมณ์การเมืองวูบวาบไม่สม่ำเสมอ   บางวันออกอาการกล้าเกินเหตุ แต่บางวันเก็บตัวเงียบไม่กล้าเปิดตัวต่อสังคม ถึงขั้นไปร่วมงานการเมืองต้องหลบซ่อนแอบเข้าประตูหลัง ดังนั้นอารมณ์การเมืองแบบนี้แสดงถึงอาการรน กระวนกระวาย สะท้อนไม่มีความมั่นใจใดๆ ทั้งสิ้น

ส่วนอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ มีพฤติกรรมส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ทนใครเหมือนกัน  จึงกล้าพูดไม่พร้อมข่มเหงใคร นั่นหมายความมุมกลับทางการเมืองว่า ถ้าพร้อมก็ข่มเหงใครก็ได้  และความพร้อมคงจะเกิดขึ้นจากการถูกร้องให้ตรวจสอบจริยธรรมของมนุษย์ที่เข้าข่ายไม่เหมาะสมกับงานการเมือง

อย่างไรก็ตาม คำร้องที่นักร้องหลายคนทั้งนิรนามและเปิดเผยตัวเอง เมื่อพิจารณาแล้ว ล้วนพุ่งเป้าลวง วางกับดักให้รัฐบาลเพื่อไทยกระวนกระวาย แต่เป้าหลักยังเป็นตัวทักษิณเช่นเดิม โดยเริ่มตั้งแต่พฤติกรรมเอื้อประโยชน์การนอนป่วยชั้น 14 รพ.ตำรวจ ไม่ติดคุกสักวัน เรื่อยมาจนถึงเรียกพรรคร่วมรัฐบาลไปประชุมการตั้งนายกฯ แทนนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ศาล รธน.ตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง

“ทักษิณแสดงอาการร้อนรนครอบงำพรรคการเมืองชัดเจน ทั้งการตั้งรัฐบาล การดึง สส.พรรคอื่นมาร่วม และทำลายพรรคการเมือง ดังนั้นจึงเป็นเป้าหลักที่ฝ่ายนักร้องการเมืองต้องจัดการกรณีป่วยนอนชั้น 14 รพ.ตำรวจ ครั้งนี้จะหนียาก และยังยากลำบากที่จะอยู่ในไทยด้วย เพราะอาจต้องกลับเข้าคุก”

การสร้างภาวะตะลุมบอน

ส่วนการยื่นคำร้องฟ้องรัฐบาลอุ๊งอิ๊งนั้น นายจตุพรกล่าวว่า ที่มีจำนวนมากแสดงถึงการสร้างภาวะตะลุมบอนให้เกิดขึ้น เพื่อรัฐบาลจะได้อาการพะวักพะวนกับทุกเรื่องราวรอบตัวจนทำอะไรไม่ถูก เพราะต้องทำทุกอย่างที่ถูกยื่นร้องเรียน แล้วยังต้องเตรียมทีมงานกฎหมายมาแก้ต่างจำนวนมาก สำหรับฝ่ายผู้ยื่นคำร้องจะเล่นงานเพียงเรื่องเดียวเป็นหลักเท่านั้น

"การสู้กับคนตระบัดสัตย์ หลอกประชาชนมาตลอด จึงต้องพลิกแพลงวิธีโจรมาใช้กับโจรเหมือนกัน โดยยึดหลักกฎหมายเท่ากัน ซึ่งเชื่อว่าคำร้องให้องค์กรอิสระตรวจสอบ ต้องโดนสักเรื่องหนึ่ง ถ้าครอบครอง ครอบงำ ไม่มีปัญหากับการเรียกพรรคร่วมมาประชุมที่บ้านจันทร์ส่องหล้า  แม้การตั้งรัฐบาลแบบนี้ไปสมควรทำและเข้าไปแทรกแซง แต่ทักษิณยากจะดิ้นหนีกรณีชั้น 14 ไปได้ง่ายๆ"

นายจตุพรกล่าวว่า ประเทศไทยถ้าปล่อยให้เกิดหลักคิดแบบอะไรก็ได้ จะสร้างความเสียหายมากมายในสิ่งที่ผิด แต่ทำไมจึงไม่คิดแบบเกาหลีใต้ว่า ถ้าอะไรผิดแล้ว อะไรก็ไม่ได้ และไม่ปล่อยไว้ให้เกิดความเสียหายเด็ดขาด ประชาชนของเขาจะลุกขึ้นมาคัดค้านทันที เช่นนี้นักการเมืองจึงไม่กล้าตระบัดสัตย์ ไม่หลอกลวงข้ามหัวประชาชน

อีกทั้งกล่าวว่า ประเทศไทยที่ไปไหนไม่ได้ เพราะคิดแบบอะไรก็ได้ ซึ่งเป็นการทำลายหลักการของประเทศ จน (การพัฒนา) ต้องมายืนอยู่หลังเพื่อน แล้วยังกล้าพูดไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สิ่งสำคัญคือการให้โอกาสคนชั่วแม้วินาทีเดียวก็เกิดความเสียหาย ดังนั้นประชาชนต้องเปลี่ยนหลักคิด อะไรที่ผิดกฎหมาย จริยธรรมการปฏิบัติ หรือตระบัดสัตย์ ต้องไม่ให้โอกาสเด็ดขาด

"ประเทศศิวิไลซ์ทั้งหลายที่ประเทศมีความแข็งแรงเพราะประชาชนแข็งแรงต่างหาก นักการเมืองจึงไม่กล้าทุจริตทำชั่ว ไม่กล้าหลอกลวง ตระบัดสัตย์ ส่วนประเทศไทย ประชาชนปล่อยปละละเลย ทำลายพรรคการเมืองและความไว้วางใจ แต่ประชาชนยังนิ่งเฉยกัน แล้วกล้าบอกให้โอกาสเขาก่อน"

นายจตุพรกล่าวว่า ถ้าประชาชนแข็งแรงแล้ว ไทยจะได้ผู้บริหารประเทศที่มีคุณภาพ และใครก็ไม่กล้าทำความผิด ดังนั้นในประเทศที่อ่อนแอและสุ่มเสี่ยงหายนะ พลังของประชาชนยังมีความจำเป็นกับการปกป้องบ้านเมือง

ตั้งไม่ได้ถ้าไม่มี คสช.

ที่ลานกิจกรรมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) จัดกิจกรรมปราศรัยในหัวข้อ "เปิดโปงระบอบทักษิณ" นายเจษฎ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย ปราศรัยตอนหนึ่งว่า ในวันที่จะตั้ง น.ส.แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรี ใครที่เป็นคนเรียกบรรดาแกนนำนักการเมืองไปนั่งคุยที่บ้าน นายทักษิณเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไหนหรือไม่ ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28-29 มาชี้นำ ครอบงำ ควบคุมให้พรรคการเมืองขาดความอิสระไม่ได้ พรรคการเมืองไหนยอมให้คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคมาครอบงำ ควบคุม ทางตรงหรืออ้อมไม่ได้  คนชี้นำต้องติดคุก พรรคการเมืองต้องถูกยุบ

เขากล่าวว่า หลักฐานที่จะต้องไปหากันคือ 1.วันนั้น น.ส.แพทองธารอยู่ในที่ประชุมหรือไม่ ถ้าไม่อยู่ นายทักษิณอาศัยอะไรไปเรียกคนเหล่านั้นมา 2.วันนั้นอย่าบอกว่าไปคุยแค่เรื่องของนายชัยเกษม นิติสิริ เชื่อหรือไม่ว่าคุยแค่นั้น เขาก็ต้องคุยเรื่อง น.ส.แพทองธารด้วย แล้วคุยการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีด้วย ทำไมพรรคจำนวนมากได้ทุกอย่างเหมือนเดิม

"ผมถูกตั้งเป็นหนึ่งในกรรมการปฏิรูป ตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันสุดท้าย 5 ปี ผมไม่เห็นถึงการปฏิรูปเลย ทั้งๆ ที่เราพูดคุยแต่ละกรรมการว่าจะทำอย่างไรปราบปรามทุจริต ทำอย่างไรให้การเมืองดี แต่รัฐบาล คสช.ไม่ได้ทำอะไรเลย เสียดายคือทหารบอกว่าจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้งเราไม่ควรเชื่อเขา เราไม่ควรลงจากเวทีชุมนุม  รัฐบาลชุดนี้จะจัดตั้งไม่ได้ถ้าไม่มี คสช."

นายเจษฎ์กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้วันนี้พรรคพลังประชารัฐอยากขจัดคนของพรรคเพื่อไทย เขาก็ถีบหัวส่ง เพราะผู้กองที่คุณเคยชุบเลี้ยง คุณไม่รู้หรือว่าก่อนหน้านั้นเป็นผู้กองของใครมา ท้ายที่สุดวันนี้พรรคพลังประชารัฐเป็นเมืองที่แตกแล้ว   ด้านพรรคประชาธิปัตย์ ทุกวันนี้กลับใช้วิธีได้ครับพี่ ดีครับ เหมาะสมครับท่าน ผสมพันธุ์กันเถิดเพื่อความเป็นเลิศทางการเมือง มันจบแล้วครับนาย  แต่มันก็เริ่มต้นใหม่ได้ครับพี่ เรื่องเศร้าไม่มีสำหรับคนที่ได้โอกาสกุมอำนาจ เรื่องอุบาทว์มีแต่กับพวกเรา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลผุดรายการวิทยุ 'เสียงจากใจไทยคู่ฟ้า' เริ่มพรุ่งนี้ 8 โมง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ในทุกวันเสาร์โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค. ในเวลา 08.00 น. รัฐบาลได้จัดรายการภายใต้ชื่อ