รบ.ตีปี๊บนายกฯไอแพด ประชุมWEFเซ็น‘FTA’

รัฐบาลตีปี๊บ “นายกฯ อิ๊งค์ไอแพด”  เตรียมโชว์วิสัยทัศน์ในเวทีเวิลด์อีโคโนมิกฟอรัม  ฟุ้งเตรียมลงนามเอฟทีเอกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป ชี้เป็นข้อตกลงทางการค้าฉบับแรกที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป

เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF)  ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 20-25 ม.ค.2568  ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 55 ภายใต้หัวข้อหลัก “Collaboration for the Intelligent Age” เพื่อหารือเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูงให้เกิดคุณประโยชน์สูงสุดในการสนับสนุนการค้าการลงทุน ซึ่งจะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ในบริบทของสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบันที่สลับซับซ้อนและท้าทาย

 นายจิรายุกล่าวว่า โอกาสนี้ นายกฯ จะใช้เวที WEF แสดงวิสัยทัศน์และนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ย้ำศักยภาพและความพร้อมของไทยที่จะขับเคลื่อนไปสู่ยุคดิจิทัล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และขยายโอกาสของภาคเอกชนไทยในตลาดโลก โดย WEF นับเป็นเวทีที่มีอิทธิพลสูงมากต่อความตระหนักรู้ของสาธารณชนและสื่อมวลชนชั้นนำระดับโลก ทั้งยังจะมีการพบหารือทวิภาคีกับระหว่างผู้แทนระดับสูงจากภาครัฐ องค์การระหว่างประเทศ และผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของโลก โดยเฉพาะจากภูมิภาคยุโรป

 สำหรับผู้แทนรัฐบาลไทยที่ได้รับเชิญและร่วมคณะ ประกอบด้วย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.การคลัง, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ, ศ.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์, นางนลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย และนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ ทั้งนี้ นายกฯ จะเดินทางถึงท่าอากาศยานนครซูริก สมาพันธรัฐสวิส  ในวันจันทร์ที่ 20 ม.ค. เวลา 14.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น 

นายจิรายุยังกล่าวว่า รัฐบาลประสบความสำเร็จในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ที่จะลงนามในวันที่ 23 ม.ค.นี้ ในการประชุม WEF ที่เมืองดาวอส โดย น.ส.แพทองธารจะร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงดังกล่าว ซึ่งเอฟทีไทย-EFTA ถือเป็นเอฟทีเอหรือข้อตกลงทางการค้าฉบับแรกที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ โดยถือเป็นเอฟทีเอสมัยใหม่ที่มีข้อตกลงที่ครอบคลุมอย่างรอบด้าน มีมาตรฐานสูง สอดคล้องกับการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยจะทำให้ปัจจุบันไทยมีเอฟทีเอทั้งหมด 16 ฉบับ กับ 23 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ

นายจิรายุกล่าวว่า ไทยและ EFTA มีมูลค่าการค้าในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ย.2567 รวมกว่า 1.1  หมื่นล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 24.94% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.อัญมณีและเครื่องประดับ 2.นาฬิกาและส่วนประกอบ 3.เหล็ก  เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 4.อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และ 5.เครื่องใช้สำหรับเดินทาง

“การเจรจาจัดทำเอฟทีเอจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้า ดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในยุโรปที่มีมาตรฐานสูง  ทั้งนี้ การเจรจาเอฟทีเอถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและการส่งออกของไทย  สนับสนุนให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาค” นายจิรายุระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง