เอฟเฟกต์‘อบจ.’ เรืองไกรจี้‘กกต.’ คุ้ย3รมต.ขึ้นเวที

ควันหลงเลือก อบจ. ผลโพลชี้เหตุไปใช้สิทธิน้อยเพราะติดธุระ-หย่อนบัตรวันเสาร์ “เรืองไกร” จี้ กกต.สอบ “อุ๊งอิ๊ง-สุริยะ-มนพร” ขึ้นเวทีหาเสียง ส่อเค้าหลุดเก้าอี้ เพราะมีคำวินิจฉัยเรื่องลูกจ้างมัด

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 ก.พ.2568 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ  เรื่องควันหลงเลือกตั้งท้องถิ่น จากกลุ่มตัวอย่าง 1,386 คน ซึ่งสำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม  โดยเมื่อถามว่า ประชาชนไปเลือกตั้งนายก อบจ. เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2568 หรือไม่ พบว่า 63.28% ไป และ 36.72% ไม่ได้ไป เพราะติดภารกิจ ต้องทำงาน ที่พักอาศัยปัจจุบันอยู่คนละพื้นที่กับเขตเลือกตั้ง ใช้เวลาในการเดินทางนาน

เมื่อถามอีกว่า ประชาชนคิดว่าสาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้น้อยกว่าที่คาดการณ์ พบว่า 68.99% ติดธุระ ไม่สะดวกในการเดินทางไปใช้สิทธิ, 47.18% ตรงกับวันเสาร์ และ 33.49% ผู้สมัครไม่น่าสนใจ/ไม่มีทางเลือกที่ดีพอ  และเมื่อถามต่อว่า ประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นกับการเลือกตั้งระดับชาติมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร พบว่า 52.89% แตกต่างกัน เพราะผู้สมัครท้องถิ่นเป็นคนในพื้นที่ รู้และเข้าใจปัญหาของชุมชนได้ดี มีความใกล้ชิดประชาชนมากกว่า และ 47.11% เหมือนกัน เพราะนโยบายและวิธีการหาเสียงคล้ายกัน มีพรรคการเมืองสนับสนุนเหมือนกัน ประชาชนมีสิทธิออกไปใช้เสียงเหมือนกัน

ถามอีกว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ พบว่า 54.91% ประชาชนมีแนวคิดใหม่ๆ ในการเลือกผู้บริหารท้องถิ่น, 51.15% การเข้าถึงปัญหาท้องถิ่นโดยแท้จริงเป็นเรื่องสำคัญกว่ากระแส และ 42.93% การคัดเลือกตัวผู้สมัครมีผลต่อคะแนนเสียง สุดท้ายเมื่อถามว่า ประชาชนคิดว่าผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้จะส่งผลต่อการพัฒนาพื้นที่จังหวัดของท่านมากน้อยเพียงใด พบว่า 26.98% ไม่แน่ใจ อาจต้องรอดูผลลัพธ์ในระยะยาว, 25.32% ส่งผลในระดับหนึ่ง อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางด้าน, 20.07% ส่งผลน้อย ไม่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงมากนัก, 16.45% ไม่ส่งผลเลย  ทุกอย่างน่าจะเหมือนเดิม และ 11.18% ส่งผลอย่างมากและเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน           วันเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ระบุว่า ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (อีเอ็มเอส) เพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบการหาเสียงเลือกตั้ง อบจ.นครพนม ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม และนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ไปขึ้นเวทีและร่วมปราศรัยช่วยนายอนุชิต หงษาดี ผู้สมัครนายก อบจ. นครพนม เบอร์ 8 พรรคเพื่อไทยนั้น เป็นผู้ช่วยหาเสียงตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2563 ข้อที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และจะเป็นเหตุทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร, นายสุริยะ และนางมนพร มีเหตุสิ้นสุดลงเฉพาะตัวฐานเป็นลูกจ้างของบุคคลใด อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ประกอบมาตรา 170 (5) หรือไม่ ทั้งนี้ ขอให้  กกต.รีบส่งศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัยโดยเร็วด้วย

“คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 2-13/2551 ซึ่งมีผลเป็นเด็ดขาดผูกพัน กกต. และรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 187 มีศักดิ์สูงกว่าระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2563 ข้อ 15 ดังนั้น การที่ น.ส.แพทองธาร,  นายสุริยะ และนางมนพร ไปขึ้นเวทีและร่วมปราศรัยดังกล่าว จึงเป็นผู้ช่วยหาเสียงที่เข้าข่ายเป็นลูกจ้าง ตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 187 อันอาจเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 (5) ซึ่ง กกต.ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป” นายเรืองไกรย้ำ.