“พาณิชย์” ผนึกกำลังหน่วยรัฐ-เอกชน กางแผนรับมือ “ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษีคู่ค้า ประเมินเสียหาย 2.3-2.7 แสนล้านบาท เตรียมเพิ่มนำเข้า-เจรจา FTA ลดกีดกันการค้า พร้อมจับตาสินค้าสวมสิทธิไทยส่งออก กกร.ผวาฉุดจีดีพีร่วงถึง 0.6%
ที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เมื่อวันที่ 2 เมษายน นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงพลังงาน, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แถลงข่าวการเตรียมพร้อมรับมือนโยบายการค้าและการขึ้นภาษีจากสหรัฐอเมริกา ที่จะเริ่มประกาศช่วงตี 4 ของเช้าวันที่ 3 เม.ย. 2568 ตามเวลาประเทศไทย โดยประเมินว่ามาตรการด้านภาษีจากสหรัฐฯ จะออกมาใน 4 รูปแบบ ได้แก่ 1.การขึ้นภาษีรายประเทศ 2.การขึ้นภาษีเป็นรายสินค้า 3.การขึ้นภาษีกับกลุ่มประเทศที่มีปัญหายาเสพติดและการอพยพเข้าเมือง และ 4.การขึ้นภาษีตอบโต้ ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้ทยอยขึ้นภาษีไปแล้ว และที่กระทบกับไทยคือ การขึ้นสินค้ากลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียมไปเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2568 เป็น 25% ซึ่งไทยได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะขึ้นภาษีทุกประเทศเท่ากันหมด
โดยสิ่งที่ต้องจับตาต่อจากนี้คือ การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนในวันที่ 3 เม.ย. 2568 จาก 0-4.9% เป็น 25% และขึ้นภาษีเพิ่มเติม 2-3 รายการ ได้แก่ สินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ อาจขึ้นเป็น 25% ผลิตภัณฑ์ยา ไม้และผลิตภัณฑ์จากป่า รวมถึงการขึ้นภาษีตอบโต้สินค้าไทย ที่ไทยเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่าสหรัฐฯ อีกหลายรายการ ซึ่งปัจจุบันไทยเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่าสหรัฐฯ เฉลี่ย 11% หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าเท่ากับไทยทั้งหมด จะทำให้ไทยเสียหาย 7-8 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.3-2.7 แสนล้านบาท โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบ เช่น ข้าว, กุ้งแปรรูป, ยางล้อรถยนต์, ชิ้นส่วนรถยนต์
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยได้เตรียมการรับมือไว้แล้ว ตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง รัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ ขึ้นทันที เพื่อร่วมกับภาคเอกชนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และการทำงานได้เดินทางเข้าพบสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) สภาคองเกรส สมาชิกวุฒิสภา เพื่อรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะ รวมถึงติดต่อไปยังรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอเจรจา แต่จะเป็นเมื่อใดขึ้นอยู่กับการตอบกลับของสหรัฐฯ
สำหรับแนวทางเจรจา ไทยอาจปรับลดภาษีนำเข้าและเพิ่มปริมาณการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อลดการเกินดุลการค้า เช่น การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, ถั่วเหลือง, เนื้อสัตว์, เศษเนื้อและเครื่องใน, สุรา รวมถึงประสานให้การบินไทยเช่าหรือซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ ตลอดจนให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นำเข้าพลังงาน เช่น น้ำมันดิบ, ปิโตรเคมี, ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติเหลวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าไทยคงไม่สามารถลดภาษี หรือนำเข้าเพื่อแก้การเกินดุลการค้า 3-4 หมื่นล้านดอลลาร์ได้ทั้งหมด จึงต้องเจรจาทุกมิตินอกเหนือจากการค้า เพราะไทยและสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์มายาวนาน จึงใช้มิติภูมิรัฐศาสตร์ อย่างการสนับสนุนให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่ม ทั้งอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน จากปัจจุบันที่มีการลงทุนใน 20 มลรัฐ จ้างงาน 1.1 หมื่นตำแหน่ง
“การลดภาษีและนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มนั้น ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยผลิตได้ไม่เพียงพอและต้องนำเข้าอยู่แล้ว และขอยืนยันว่าแนวทางการเจรจากับสหรัฐฯ นั้น รัฐบาลได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม ทั้งประชาชน ผู้ผลิต เกษตรกร ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ด้วยความรอบคอบ และยึดหลักการเน้นผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย เพื่อสร้างสมดุลทั้งสองประเทศ" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ระบุ
ส่วนข้อกังวลของสหรัฐฯ เรื่องการสวมสิทธิสินค้าไทยไปสหรัฐฯ นั้น ขณะนี้กรมการค้าต่างประเทศได้ขึ้นบัญชีสินค้าที่เสี่ยงสวมสิทธิประเทศไทยแล้ว 49 รายการ โดยเฉพาะเหล็ก และยังมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ 2 แนวทาง คือระยะสั้น การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และระยะยาว การหาตลาดการค้าใหม่ รวมถึงการเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) และอาเซียน-แคนาดา ที่จะผลักดันให้สำเร็จโดยเร็ว
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สิ่งที่ ส.อ.ท.เป็นห่วงคือ เรื่องสินค้าจีนเข้ามาสวมสิทธิสินค้าไทยเพื่อส่งออก ซึ่งสหรัฐฯ จับตาค่อนข้างมาก เนื่องจากช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แม้ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาก แต่ดัชนีการผลิตในประเทศกลับลดลง สวนทางตัวเลขการนำเข้าจากจีน ที่เดือน ม.ค. 2568 เพิ่มขึ้น 20% อาทิ เหล็ก, ยางรถ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจมีการนำสินค้าจีนเข้ามาใช้สิทธิส่งออก หรือนำวัตถุดิบมาผลิต แต่ใช้วัตถุดิบในประเทศเพียง 10-20% ที่เหลือเป็นวัตถุดิบจากจีนถึง 70-80% ส.อ.ท.จึงร่วมกับสมาชิกตั้งทีมติดตามดูอย่างใกล้ชิด
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หากพิจารณามูลค่าการค้าเฉพาะหมวดสินค้าเกษตรและอาหาร พบว่าไทยเกินดุลสหรัฐฯ 142,654 ล้านบาท ซึ่งไทยควรพิจารณาเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงาน เพื่อลดความกดดันด้านดุลการค้า พร้อมกับต้องเร่งเจรจา FTA ต่างๆ ให้สำเร็จโดยเร็ว รวมถึงพิจารณาปฏิรูปโควตาภาษีนำเข้าของไทยกับสหรัฐฯ
วันเดียวกัน นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส ส.อ.ท. เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้จีดีพี ปี 2568 ต่ำกว่าที่เคยคาด จากกรอบประมาณการเดิมอยู่ในช่วง 2.4-2.9% ซึ่งได้คำนึงถึงผลกระทบบางส่วนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไว้แล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนถึงขนาดและขอบเขตมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่จะประกาศ ซึ่งอาจกระทบต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นอีกราว 0.2-0.6% แต่ที่ประชุมยังคงอัตราการเติบโตของจีดีพี ปี 68 ประจำงวดเดือน เม.ย. อยู่ในกรอบเติบโต 2.4-2.9% อัตราการส่งออกอยู่ที่ 1.5-2.5% และเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8-1.2%.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ยกคำร้องคดีฮั้วขอนแก่น ‘กกต.’เผยไร้หลักฐานมัด!
“กกต.” ยกคำร้อง 22 ผู้สมัคร สว.ขอนแก่นปมฮั้ว ชี้ไต่สวนพยานและเส้นทางการเงินไม่พบข้อสงสัย ระบุผู้ร้องกล่าวอ้างลอยๆ
กธ.-รทสช.ย้ำไม่นิรโทษ112
“กธ.-รทสช.” ประสานเสียง ไม่นิรโทษฯ คดี ม.112-ทุจริต “ไผ่” การันตีไม่มีเอาใครกลับบ้าน
จีนขอวางตัวเป็นกลาง! โคราชไล่‘อิ๊งค์’ปมเขมร
หนามยอกอก "ฮุน เซน"! “สม รังสี” โพสต์ภาพแฉกลุ่มอาคารที่ตั้งแก๊งอาชญากรรมในกัมพูชา
วิสุทธิ์รับสภาพลากๆกันไป
"เลขาฯ พท." ลั่นการเมืองไม่มีทางตัน เชื่อฝ่าย กม.ช่วย "นายกฯ อิ๊งค์" ได้แน่ "ปธ.วิปรัฐบาล" รับเสียงปริ่มน้ำแต่ต้องลากกันไปต่อ
แทรกแซงอำนาจรัฐ ‘คปท.’จี้รบ.ลาออกปล่อย‘ทักษิณ’ร่วมประชุมสู้ภาษีมะกัน
“ทักษิณ” โผล่บ้านพิษณุโลกร่วมวงถกรับมือภาษีสหรัฐ “พิชัย” บอกเชิญมาให้ข้อคิดเห็น
นักวิชาการตบหน้าพ่อ-ลูก จีนอดสูมาเก๊าแหล่งมาเฟีย
"นักวิชาการ" ตบหน้า "พ่อ-ลูก" ชินวัตร ซัด "แพทองธาร" ไม่มีองค์ความรู้