พท.เพ้อเจ้อหนัก ชั้น14ไม่โยงศาล

เพื่อไทยเพ้อหนัก! "อนุสรณ์"  อ้างมติแพทยสภากับคดีชั้น 14 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นคนละประเด็นกัน ไม่เชื่อมโยงกัน “เด็จพี่” เหน็บนักจินตนาการการเมือง อย่าเพิ่งสร้างภาพหลอน  ยันนายใหญ่ไม่หนี ยิ้มแย้มมีความสุขดี “หมอวรงค์” เผยไต่สวนวันแรกเริ่มเห็นเส้นทางกลับสู่คุกแล้ว ข้องใจเช่าห้องพิเศษเพื่อนอนกินยาเอง

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายอนุสรณ์  เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย  (พท.) กล่าวถึงกรณีแพทยสภาโหวตเกิน 2 ใน 3  ยืนยันมติเดิมลงโทษ 3 แพทย์ ปมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่รักษาอาการป่วยที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจว่า ประเด็นแพทยสภากับประเด็นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดพร้อมหรือนัดไต่สวนคดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เป็นคนละประเด็นกัน เรื่องแพทยสภาตรวจสอบจริยธรรม 3 แพทย์ มติที่ออกมาจะมีความชัดเจนหรือมีข้อเคลือบแคลงใจสงสัยถึงอคติในใจ หรือมีความไม่เป็นกลางหรือนัยใดหรือไม่ บางส่วนก็สะท้อนผ่านผลโพลออกมาแล้ว

ส่วนแพทย์ 3 ท่านก็ยังมีสิทธิ์เรียกร้องเพื่อเข้าถึงความเป็นธรรมให้กับตัวเอง และสามารถสู้ต่อรวมถึงกระบวนการในการยื่นศาลปกครองได้  กรณีนี้จึงอาจยังไม่จบแค่ในชั้นแพทยสภานี้ แต่ขอยืนยันว่า ประเด็นของแพทยสภากับประเด็นของศาลเป็นคนละกรณีกัน เท่าที่ติดตามข่าว ทีมงานฝ่ายกฎหมายของนายทักษิณมีความเชื่อมั่นว่ากระบวนการทางราชทัณฑ์มันจบแล้ว ถือว่านายทักษิณถูกคุมขัง และเป็นการคุมขังในโรงพยาบาล ซึ่งครบถ้วนแล้ว แต่ทั้งนี้สุดแต่ดุลยพินิจของศาล ไม่มีใครไปก้าวล่วงได้

“กรณีมติแพทยสภากับคดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ที่ศาลถือเป็นคนละประเด็น ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่เชื่อมโยงกัน ไม่ควรนำมาเชื่อมโยงให้เกิดความสับสน” นายอนุสรณ์กล่าว

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กลุ่มขาประจำหน้าเดิมๆ  ที่ทำตัวเป็นปรปักษ์นายทักษิณและพรรคเพื่อไทย  ออกมาสวมบทนักวิเคราะห์การเมือง คาดการณ์ล่วงหน้าผลแห่งคดีน่าจะเป็นลบต่อนายทักษิณ  ทั้งที่กระบวนการทางคดีศาลยังนัดไต่สวนพยานอีกร่วม 20 ปากตลอดเดือน ก.ค. เป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการพิจารณาคดีของศาล ต้องสืบสวนหาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานต่างๆ ให้สิ้นข้อสงสัยก่อนที่จะนัดฟังคำพิพากษา 

“บุคคลหน้าเดิมๆ นักการเมือง นักวิชาการ กลุ่มนักเคลื่อนไหวและทนายความบางคน กลับออกมาฟันธงล่วงหน้า ชี้นำทำให้คนในสังคมคล้อยตามเห็นว่าท่านทักษิณผิดแล้ว จะต้องถูกลงโทษกลับเข้าเรือนจำ ท่านทักษิณหนีแน่ๆ จะมีผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยและ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ สร้างเรื่องโยงโน่นโยงนี่ให้เห็นเพียงแต่มุมเลวร้าย บรรดานักวิเคราะห์ นักจินตนาการทางการเมือง อย่าเพิ่งคิดไกลคาดการณ์ไปล่วงหน้าขนาดนั้น กระบวนการพิจารณาคดี การสอบพยาน เรียกเอกสารหลักฐานยังไม่เสร็จสิ้นเลย แต่กลับใช้อคติส่วนตัวมาฟันธงล่วงหน้า” 

เส้นทางกลับสู่คุก

นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า พวกที่เคยบอกว่าวันที่ 13 มิ.ย. ท่านทักษิณหนีแน่ๆ ไม่เดินทางมาศาล ตามตัวบทกฎหมายสามารถมอบอำนาจให้ทนายมาแทนได้ แล้วเป็นอย่างไร ท่านยังไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัว เดินทางไปรับประทานอาหาร ใช้ชีวิตตามปกติอยู่ในประเทศ ยิ้มแย้มมีความสุขดี เพียงแต่ไม่อยากพูดถึงการไต่สวนของศาลนัดแรกเท่านั้น เพราะมีส่วนได้ส่วนเสียกับคดี   สรุปท่านไม่ได้หนีไปไหน กรณีนี้ก็เหมือนกัน หนทางยังอีกยาวไกล ทางที่ดีพวกนักจินตนาการทางการเมืองอย่าเพิ่งสร้างภาพหลอน ควรรอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษาออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง  อย่าเพิ่งใช้จินตนาการผสมกับอคติส่วนตัวมาชี้นำสังคมไขว้เขว

 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความเรื่อง “เส้นทางกลับสู่คุก” ระบุว่า ผมได้ติดตามการเผยแพร่ การไต่สวนของศาลนักการเมือง กรณีบังคับคดีนายทักษิณว่า มีการติดคุกตามคำพิพากษาหรือไม่ ผมขอสรุปและแสดงความคิดเห็นของการไต่สวนวันแรก ดังนี้

1.พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ได้ตรวจร่างกายนายทักษิณ และระบุว่านายทักษิณอยู่ในเกณฑ์ผู้ต้องขัง 608 ซึ่งหมายความว่ามีผู้ต้องขังอายุเกิน 60 ปี และมีโรคเรื้อรัง 8 โรค

ข้อสงสัย คือ "เกณฑ์ 608" เป็นแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยเราใช้ในการจัดกลุ่ม "ผู้มีความเสี่ยงสูง" ต่อการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น COVID-19 โดยเฉพาะช่วงที่มีการแพร่ระบาดหนัก โดยใช้เพื่อวางแผนการให้วัคซีน ไม่รู้ว่าราชทัณฑ์จัดเกณฑ์นี้เพื่ออะไร มีอภิสิทธิ์อะไรในกลุ่มนี้ เพื่อทุกคนหรือไม่ หรือเพื่อบางคน

2.หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอก และทำใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า  ซึ่งเป็นเรื่องปกติในเรือนจำ

ทำใบส่งตัวล่วงหน้า

การทำใบส่งตัวล่วงหน้า ถ้าเป็นอาการป่วยปกติพอเข้าใจได้ แต่การทำใบส่งตัวล่วงหน้า หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถส่งตัวไปภายนอก จะรู้ได้อย่างไรว่าเหตุฉุกเฉินนั้นจะเกิด หรือมันใช่โรคที่เขียนไหม เช่น ถ้าเป็นนิ้วล็อก แต่ตอนดึกมาเป็นหัวใจกำเริบ มันคนละอาการ อย่างไรก็ต้องให้แพทย์มาดู ถ้ารักษาไม่ได้ ต้องเขียนใบส่งตัวใบใหม่

3.จากการตรวจสอบพบว่านายทักษิณมีอาการความดันโลหิตสูง ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ  นอนไม่หลับ แน่นหน้าอก แพทย์ไม่ได้ตรวจวินิจฉัย แต่พยาบาลเป็นผู้โทร.ไปประสาน นพ.ณัฐพร แพทย์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์  แพทย์ให้ความเห็นว่าสามารถส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำได้ทันที เนื่องจากมีใบส่งตัวอยู่แล้ว

อาการที่กล่าวเป็นเหตุฉุกเฉิน (ถ้าเป็นจริง)  ทำไมไม่ส่งไป รพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งอยู่ติดกัน และถือว่ามีความพร้อมสูงเช่นกัน แต่ส่งตัวนายทักษิณไป รพ.ตำรวจ

4.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ใกล้กับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรียกได้ว่ามีบริเวณรั้วติดกับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งปกติผู้ต้องขังจะต้องถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ทุกครั้งก่อนส่งไปโรงพยาบาลภายนอก

คำเบิกความนี้เป็นการยืนยันขั้นตอนนักโทษทั่วไปว่า ถ้ามีนักโทษป่วย ต้องส่งไปที่ รพ.ราชทัณฑ์ก่อนทุกครั้ง ถ้ายังรักษาไม่ได้จึงส่งต่อ รพ.ภายนอก ดูแล้วย้อนแย้งกับคดีนายทักษิณ ที่สำคัญ "ทักษิณ" มิได้เข้าไปตรวจวินิจฉัยโรคที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์แต่อย่างใด

หยุดอยู่ที่แผนกพยาบาลของเรือนจำ แล้วไปนอนห้องวีไอพีโรงพยาบาลตำรวจทันที แทนที่จะเข้าห้องไอซียูเพื่อให้เหมาะกับอาการป่วยวิกฤต

5.การส่งตัว "ทักษิณ" เป็นไปตามขั้นตอนมาตรา 55 ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ปี 2560 ไม่ได้ใช้การส่งตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) ที่ต้องขออนุญาตศาลก่อน

ประเด็นนี้มีข้อถกเถียง ถ้าอ่าน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป่วยนักโทษ มาตรา 54 จะหมายถึงการป่วยทั่วไป  มาตรา 55 จะหมายถึงการป่วยที่มีอาการทางจิตหรือโรคติดต่อ และมาตรา 56 หมายถึงการป่วยหนัก บาดเจ็บสาหัส จึงตั้งข้อสงสัยว่า การส่งตัวนายทักษิณไปรักษา รพ.ตำรวจโดยอ้างมาตรา 55 นั้น ถูกต้องหรือไม่ น่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลต่อการอ้างมาตรา 55 ออกมาภายหลัง

เช่าห้องพิเศษเพื่อนอนกินยาเอง

6.มีประเด็นที่ทนายจำเลยซักคือ การรับตัวผู้ต้องขังเมื่อ 22 ส.ค.2566 ที่มีการตรวจสอบร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ ซักประวัติ และมาพร้อมหมายจำคุกของศาล ถือเป็นการยืนยันว่าผู้ต้องขังได้รับการบังคับโทษแล้วใช่หรือไม่ ซึ่งศาลบอกว่า "ศาลจะเป็นคนวินิจฉัยเอง"

เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก ในการลงทะเบียนนักโทษตาม รท.101 ต้องถอดเสื้อถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ ต้องทำในแดนคุมขัง มีผู้ต้องขังคนอื่นด้วย ไม่ใช่มาพร้อมหมายจำคุกของศาล ซึ่งศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง ถ้าไม่เป็นไปตามระเบียบ อาจถือว่ายังไม่ได้ติดคุกเลย

7.ทนายให้สัมภาษณ์เรื่องใบเสร็จรับเงิน ไม่มีรายการค่ายา อ้างว่าเคยรักษาต่างประเทศ ไม่มีกฎหมายใดห้ามใช้ยาจากต่างประเทศ

แสดงว่าผู้ป่วยนำยาที่หมอต่างประเทศจ่ายให้มาทานเองหรือ? แสดงว่าเช่าห้องพิเศษเพื่อนอนกินยาเองใช่ไหม? ทำไมไม่กลับไปกินยาในเรือนจำ สอดคล้องที่แพทยสภาแถลงว่า ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าป่วยวิกฤต

บทสรุป แค่ได้ติดตามการไต่สวนวันแรก เริ่มเห็นเส้นทางกลับสู่คุกครับ

ขณะที่ นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)  เปิดเผยว่า วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายนนี้ เวลา 09.30  น. คปท.จะรวมตัวกันที่เวทีชมัยมรุเชฐ ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อเรียกร้องให้มีคำสั่งไล่ออกจากราชการแพทย์ตำรวจ 2 นาย ที่ถูกระบุว่าให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และเป็นเหตุให้นักโทษคนหนึ่งได้รับอภิสิทธิ์ในการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ

สำหรับแพทย์ทั้งสองที่ คปท.เรียกร้องให้ออก คือ 1.พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ที่ถูกแพทยสภาชี้ว่าให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนโดยอ้างอาการป่วยของผู้ต้องขังในโรงพยาบาลตำรวจในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดว่าอยู่ในภาวะวิกฤต ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางการแพทย์ 2.พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าออกใบแสดงความเห็นแพทย์ โดยขาดความถูกต้องตามหลักวิชาชีพ เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังรายเดิมได้รับอนุญาตให้นอนพักรักษาต่อเนื่องโดยไม่มีหลักฐานรองรับว่าป่วยหนักจริงตามเกณฑ์

นายพิชิตระบุว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้มุ่งเรียกร้องความรับผิดชอบจากเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจในทางที่ส่งผลกระทบต่อความศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม พร้อมย้ำว่า การแสดงออกของ คปท. จะเป็นไปโดยสงบ และเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อทวงถามความยุติธรรมจากผู้มีอำนาจสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตัวละครในเรื่องเล่า‘ทักษิณ’ แค่ขยายผลเพื่อหวังแก้เกม

ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูล “ชินวัตร” และตระกูล “ฮุน” ขาดสะบั้นลงด้วย “ความไม่ไว้ใจกัน” ระหว่าง “ฮุน เซน” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” จากเหตุ “คลิปเสียงสนทนาหลุด” ส่งผลให้ความสัมพันธ์จาก “สหาย” กลายเป็น “พระยาละแวก” แบบฉับพลัน