แถลงนโยบาย ครม.อนุทินวันแรกเดือด “นายกฯ” โต้ทุกดอก ลั่นเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อมาตามล้างตามเช็ดปัญหา รบ.เก่าทำทิ้งไว้ “ชลน่าน” ซัด 4 เดือนแห่งการสร้างแผนกินรวบประเทศไทยเป็นสีน้ำเงิน ซูฮกผู้นำจิตวิญญาณสีน้ำเงินวางยุทธศาสตร์เหนือชั้น "คดีฮั้วสภาสูง" ทำฝ่ายค้าน-สว.เปิดศึกระอุ ประท้วงหนัก 2 รอบถึงขั้นท้าทาย “อนุทิน” ลั่นสิ้น ม.ค. 2569 ยุบสภา "บวรศักดิ์" แจงเลือกตั้งรอบใหม่ต้องกาบัตร 4 ใบ 2 ใบแรกเลือกตั้ง ใบที่สามแก้รัฐธรรมนูญ และใบสุดท้ายเอา-ไม่เอาเอ็มโอยู
ที่รัฐสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568 มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยในวันแรกมีผู้ประสงค์ขออภิปรายรวม 36 คน
ทั้งนี้ก่อนการประชุม นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า ครม.เตรียมความพร้อมอภิปรายชี้แจงในเรื่องต่างๆ ที่เป็นข้อสงสัย และพร้อมรับคำแนะนำข้อเสนอแนะที่ดีเพื่อกลับไปต่อยอดและไปปฏิบัติ
ขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา กล่าวยืนยันว่า ปชน.เตรียมผู้อภิปรายไว้ 20 คน ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่เข้มข้น โดยภาพรวมเป็นการนับถอยหลังสู่การยุบสภาเพื่อเดินหน้าจัดทำประชามติ และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมทั้งเรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ความมั่นคงชายแดน และเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรี รวมถึงตรวจสอบรัฐบาลไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับคดีสำคัญ ทั้งคดีเขากระโดงและคดีฮั้ว สว.
“ขอให้รอดูการอภิปรายตลอด 2 วันนี้ จะมีการแสดงเนื้อหาที่เข้มข้นและทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่แน่นอน”นายณัฐพงษ์กล่าว
กระทั่งเวลา 09.00 น. นายอนุทินได้นำทีม ครม.เข้าแถลงนโยบายรัฐบาล โดยนายอนุทินอ่านจากหนังสือปกสีน้ำเงินขลิบธงชาติไทยที่รัฐบาลจัดทำไว้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยระบุว่า รัฐบาลกำหนดนโยบายสำคัญแก้ปัญหาเร่งด่วนประเทศ เพื่อคืนความเชื่อมั่นและความสุขให้คนไทย ดังนี้ 1.ด้านเศรษฐกิจ สร้างรายได้ลดรายจ่ายให้ประชาชนในชีวิตประจำวัน อาทิ โครงการคนละครึ่ง 2.แก้ปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่องบนพื้นฐานความเสี่ยงที่เป็นธรรมระหว่างสถาบันการเงินและผู้กู้ อาทิ แก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชนรายบุคคลในระบบรายละไม่เกิน 1 แสนบาท 3.เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อย 4.ฟื้นความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว สร้างความปลอดภัย และ 5.เร่งแก้ปัญหาผลกระทบสงครามการค้า
ต่อมานายณัฐพงษ์อภิปรายว่า ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา พวกเราต้องเปลี่ยนนายกฯ 3 คน และคนไทยทั่วประเทศผู้มีสิทธิเลือกตั้งในยุคนี้ ไม่เคยมีคนรุ่นไหนที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้งแล้วประเทศไทยไม่เคยมีการปฏิวัติรัฐประหาร และไม่เคยมีคนไทยสักรุ่นที่เกิดและเติบโตในประเทศไทยที่อยู่ในการเมืองประชาธิปไตยเต็มใบ ที่มีเสถียรภาพการเมืองแบบที่เป็นอยู่ ที่เราต้องมาแถลงนโยบาย 3 ครั้งในรอบ 2 ปี เนื่องจากกลไกของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระถูกนำมาใช้ทำลายล้างกันทางการเมือง มากกว่าการจับคนโกงลงโทษคนผิด ปัญหาความทุจริตในประเทศไม่เคยเบาบางลง มีแต่หนักขึ้นทุกวัน
“ถึงเวลาที่ต้องยกเครื่องให้เดินหน้าอย่างเต็มกำลัง ถ้าพวกเรามีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และต้องให้ความสำคัญต่อการยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด เพราะเราต้องการรัฐบาลที่มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพและมีความชอบธรรม ยึดโยงกับพ่อแม่พี่น้องประชาชน”
ผู้นำฝ่ายค้านอภิปรายต่อว่า สิ่งที่พรรคประชาชนจะทำหน้าที่ในช่วง 4 เดือน คือ 1.การเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญจะต้องมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภายใต้กรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 2.เราสามารถผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนได้มากที่สุด 3.แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงปัญหาที่ตกค้างจากรัฐบาลก่อน และ 4.พรรคประชาชนและพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่
หมอชลน่านจัดเต็ม
“พรรคประชาชนไม่ได้โหวตให้นายอนุทินเพื่อให้รัฐบาลใหม่ใช้อำนาจโดยมิชอบ หรือแต่งตั้งบุคคลที่ไม่เหมาะสมเป็นรัฐมนตรี หรือเพื่ออนุญาตให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการดำเนินคดี ทั้งการฮั้ว สว.หรือเขากระโดง สิ่งที่พวกเราอยากเห็นจากนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่แค่ท่านเคารพต่อข้อตกลงกับพรรคประชาชน แต่อยากเห็นท่านเคารพต่อกระบวนการยุติธรรม และเคารพต่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ และเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้” นายณัฐพงษ์กล่าว
จากนั้นเวลา 10.20 น. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า ขอมุ่งเน้นในสามด้าน คือ 1.นโยบายทำได้หรือไม่ 2.เรื่องของบุคคลที่เข้ามาบริหารนโยบาย และ 3.เรื่องของโอกาสของพี่น้องประชาชนที่สูญเสียไป จากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ เพราะนโยบายนี้เป็นนโยบายเฉพาะกิจเพื่อการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในสี่ปี จึงเป็นที่มาว่านโยบายที่ท่านแถลงต่อรัฐสภานี้จะเป็นปัญหามากกว่าทางออก ไม่ใช่ปัญหาธรรมดา แต่เข้าขั้นหายนะ ถ้าเราไม่ตระหนัก ไม่สำนึก ไม่เฝ้าระวัง
นพ.ชลน่านอภิปรายว่า ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าทำไม่ได้ สี่เดือนที่จะยุบสภาก็จะกลายเป็นสี่เดือนแห่งการยุบคดี โดยนโยบายเพื่อการสืบทอดอำนาจมันจะทำให้ภาพของประเทศเรา ภาพการเมืองไทยในอนาคตมันจะปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ คือประชาธิปไตยที่อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง สิ่งที่เราจะเห็นคืออนาคตประชาธิปไตย ระบบรัฐสภาของเรา ขีดเส้นใต้เลยว่าเป็นเรื่องของเงินที่เป็นปัจจัยสูงสุดในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
นพ.ชลน่านอภิปรายอีกว่า อนาคตที่เราคาดหวัง ผู้นำฝ่ายค้านบอกที่ท่านต้องการมากคือรัฐธรรมนูญ ท่านยอมแลกมอบอำนาจให้กับนายกฯ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะถูกยกร่างด้วยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากสีน้ำเงิน รัฐธรรมนูญฉบับนั้นจะเป็นสีน้ำเงิน ไม่ว่าจะเป็นกลไกใด จะผ่านจากร่างของพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน หรือพรรคพรรคภูมิใจไทยเป็นหลัก กระบวนการเหล่านี้จะวนแล้ววนอีก นี่คืออนาคตที่เราจะเจอ
“อนาคตที่เจออีกเรื่องคือ นโยบายเฉพาะกิจเพื่อการเลือกตั้ง รัฐบาลที่มาเฉพาะกลุ่มเฉพาะที่ หลายคนขนานนามว่ารัฐบาลอนุวิน ผมไม่รู้ว่ามาจากอะไร รัฐบาลเนทิน หรือรัฐบาลหนูเน นั่นหมายความว่าความเป็นรัฐมนตรี ความเป็นนายกฯ ของท่านเองไม่ได้ใช้กลไกอำนาจบริหารที่แท้จริง”นพ.ชลน่านระบุ
นพ.ชลน่านอภิปรายว่า นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นสี่หายนะของประเทศ คือ 1.หายนะทางประชาธิปไตย 2.หายนะด้านความโปร่งใส 3.หายนะด้านการบริหารจัดการประเทศ และ 4.หายนะทางโอกาสของประชาชนชาวไทย อะไรที่ดีที่เป็นนโยบายรัฐ รัฐบาลที่ไหนทำ เราสานต่อไม่ว่าจะต่างขั้วต่างพรรคต่างฝ่าย นั่นคือประโยชน์ของพี่น้องประชาชน
นพ.ชลน่านกล่าวอีกว่า ท่านทำการเมืองเหนือชั้นมาก ต้องยอมศิโรราบ ทุกคนไหลเข้าก้มหัวให้ท่านหมด เพราะรู้ว่าอยู่กับท่านและปลอดภัย ได้มาเป็นรัฐบาลแน่ในครั้งหน้า แต่ท่านอย่าประมาทพี่น้องประชาชน เพราะสี่เดือนที่ท่านเข้ามาเพื่อยุบสภา จะบ่งชี้ว่าท่านมายุบคดี ต้องพิสูจน์ ขนาดยังไม่ถึงมือท่านคดีก็เริ่มยุบแล้ว ยุทธศาสตร์การเมืองของท่านลึกล้ำสุดยอดจริงๆ ผมไม่รู้ว่าออกมาจากสมองใคร แต่ต้องยกให้ ขอยอมเป็นลูกศิษย์ ยอมกราบ ถ้าจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่อยู่ข้างหลัง มีนักวิชาการบอกว่าผู้นำจิตวิญญาณสีน้ำเงิน ผู้นำจิตวิญญาณสีแดง และผู้นำจิตวิญญาณสีส้ม ผู้นำจิตวิญญาณหมายเลขหนึ่ง ฉลาดปราดเปรื่อง หลักแหลม ยุทธศาสตร์ล้ำลึก คือผู้นำสีน้ำเงิน
“สี่เดือนมาเพื่อให้ได้คะแนนเลือกตั้งสูงสุด สี่เดือนที่ทำจะได้จะเป็นสี่ปี ท่านจะกินรวบประเทศไทย พวกเราจะยอมหรือให้มีคนมากินรวบประเทศไทย หรืออำนาจของสภาเป็นของสีน้ำเงิน อำนาจวุฒิสภาสีน้ำเงิน อำนาจองค์กรอิสระเป็นสีน้ำเงิน อำนาจราชการเป็นสีน้ำเงิน ทั้งประเทศเป็นน้ำเงินทั้งหมด ท่านกำลังเอาสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีอันประเสริฐลงมาคลุกกับการเมือง ซึ่งหมายถึงเราไม่เคารพสีน้ำเงิน ซึ่งผมทนไม่ได้ เราเป็นผู้คนที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหาทรงเป็นประมุข ประมุขของประเทศอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม สีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ของสถาบัน การนำเอาสีน้ำเงินลงมาในสิ่งที่มิบังควร เป็นสิ่งที่พวกเราไม่สบายใจ"
ต่อมานายอนุทินลุกขึ้นชี้แจงว่า สิ่งที่ นพ.ชลน่านตั้งคำถามแรกว่า รัฐบาลทำได้หรือไม่ ทำเป็นหรือไม่ ทำดีหรือเปล่า คำตอบคือทำได้ สิ่งที่ถูกเขียนอยู่ในคำแถลงนโยบายนั้น เป็นสิ่งที่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วว่าพวกเราทุกคนต้องทำได้ เพราะวิธีการทำงานของตนเองนั้น เราใช้คำว่าทำได้เร็วและต้องทำเลย
“ที่ท่านบอกไว้ต่อเนื่องมาถึงเรื่องของการขาดโอกาส ซึ่งผมคิดว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุด ที่รัฐบาลจะได้แสดงผลงาน เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีคำว่าคนละพรรค นี่คือพรรครัฐบาล ไม่มีขัดแข้งขัดขา ส่วนเรื่องความโปร่งใสนั้น เกิดจากการที่เราจะต้องทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการถูกต้องตามกฎหมาย ถูกต้องตามระเบียบ และที่สำคัญคือต้องใจกล้าให้ทุกคนมาตรวจสอบได้ ยืนยันว่ารัฐบาลของผมต้องโปร่งใส และมีการตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน”
31 ม.ค.ยุบสภา!
นายอนุทินกล่าวด้วยว่า ส่วนที่ นพ.ชลน่านระบุว่าดูแล้วขาดอนาคตประชาธิปไตย ซึ่งประชาธิปไตยนั้นก็คือการเคารพเสียงส่วนใหญ่ ไม่เอาแต่ใจมาเป็นข้อตัดสิน มีความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเห็นต่างกับ นพ.ชลน่าน เพราะจากนี้ไปรัฐบาลนี้จะวางรากฐาน วางแนวทางแบบอย่างที่ดีในการเป็นรัฐบาล ที่จะทำให้อนาคตของประชาธิปไตย อย่างน้อยนายกฯ คนนี้จะไม่มีใครบงการได้ ตัดสินใจเอง คิดเอง แล้วหารือกับ ครม.และสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด ในการตัดสินใจทำประโยชน์สูงสุดให้ประเทศและประชาชน
“ขอให้นับวันที่ 1 ต.ค.เป็นวันแรก แล้วนับไป 4 เดือน คือวันที่ 31 ม.ค. ยุบสภาแน่นอน ถือเป็นพันธะระหว่างพรรคที่ลงนามใน MOA กับพรรคประชาชน ว่าความมุ่งหมายของเราเป็นอย่างไร รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ แต่มีติ่งท้ายที่ขอกระทำและทำให้สำเร็จ คือจะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่ต้องเข้ามาแก้ไขความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลที่แล้วมา ยอมรับในสภานี้และ ครม.ของตัวเองอีก 35 คน จะทำทุกอย่างเพื่อเรียกความเสียหาย ความสูญเสีย ทั้งเรื่องเกียรติภูมิของประเทศ เศรษฐกิจ ขวัญกำลังใจ ความปลอดภัยของประชาชน กลับมาสู่ประเทศไทยและคนไทยให้ได้ในระยะเวลาทำงาน 4 เดือน มั่นใจว่าทำได้ เพราะได้เตรียมการในเรื่องนี้มามากพอสมควรแล้ว” นายอนุทินระบุ
ต่อมาเวลา 11.12 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้อยู่ 4 เดือน แต่อาจจะอยู่ถึง 9 เดือน นายกฯบอกจะยุบสภาปลายเดือน ม.ค. 69 กินเวลา 4 เดือนแล้ว ช่วงเวลาที่ 2 ระหว่างช่วงเวลาในการหาเสียง กินเวลาประมาณ 2 เดือน รวมแล้ว 6 เดือน ช่วงที่สามรอประกาศผลการเลือกตั้ง ไม่รู้ กกต.ใช้เวลาเท่าไหร่ และรอตั้งรัฐบาลใหม่ รวมแล้ว 8-9 เดือน
“สิ่งหนึ่งที่ขอพูดและชมนายกฯ ว่านายแน่มาก คือกล้าตั้งรัฐมนตรีที่แม้แต่รัฐบาลชุดที่แล้วก็ไม่กล้าตั้ง เพราะไม่อยากเสี่ยงที่จะไปเดินตามรอยนายเศรษฐา ทวีสิน แต่เมื่อตั้งแล้วท่านก็ต้องรับผิดชอบ ผมก็ขอให้ ครม.ปฏิบัติภารกิจให้ดีที่สุด”
นายจุรินทร์ยังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำประชามติว่ามีคำถาม 2 ข้อ ได้แก่ 1.ที่นายกฯ ยืนยันการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 คำถามคือ ถ้ามีร่างรัฐธรรมนูญฉบับใดเสนอเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา และไม่มีกำหนดเงื่อนไขว่าจะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 รัฐบาลชุดนี้จะยกมือให้หรือไม่ และ 2.รัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวกับคุณสมบัติรัฐมนตรี เจ้าพนักงานของรัฐ ศาล องค์กรอิสระ และตำแหน่งที่ใช้อำนาจสำคัญต้องมีคุณสมบัติ ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง เป็นหัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญปราบโกงฉบับนี้ คำถามคือถ้าการแก้รัฐธรรมนูญไปแก้ข้อนี้ และแก้ถอยหลังเข้าคลอง นายกฯ และรัฐบาลจะสนับสนุนต่อไปหรือไม่
นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว. อภิปรายว่า ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาเรื่องการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มีกาสิโนของ สว. ขอชื่นชมและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะแบนเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ต่อมาเวลา 12.00 น. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ลุกขึ้นชี้แจงกรณีนายจุรินทร์ตั้งคำถามเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า ประชามติที่รัฐบาลนี้จะทำและทำในวันเดียวกับการเลือกตั้งเป็นประชามติ 2 เรื่องเท่านั้น ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือ 1.ประชาชนจะเห็นชอบให้มีการจัดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และ 2.ประชาชนจะเห็นชอบวิธีการและเนื้อหาสาระที่รัฐสภาทำร่างรัฐธรรมนูญมาแล้วสำเร็จเสร็จสิ้นตามมาตรา 256 อนุมาตรา 1-6 จะไม่มีการลงไปถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะฉะนั้นเนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สมาชิกอาจต้องรอว่า ส.ส.ร.ที่มาจากหมวด 15/1 เขาจะเขียนอะไร ที่แน่ที่สุดเท่าที่ทราบ พรรคภูมิใจไทยและพรรคอื่นที่เป็นพรรคใหญ่ ที่แถลงไว้แล้วไม่แตะหมวด 1 หมวด 2
“เรื่องคุณสมบัติลักษณะต้องห้าม ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาตรา 256 (8) พูดไว้ชัดว่า จะไปแก้คุณสมบัติต้องห้ามต้องไปทำประชามติก่อน เรื่องนี้รัฐบาลไม่แตะ ส่วนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ทำขึ้น โดย ส.ส.ร.จะไปแตะเรื่องคุณสมบัติหรือไม่ ต้องตามไปดูในขั้นตอนที่ 2”
เลือกตั้งรอบใหม่กา 4 ใบ
นายบวรศักดิ์ยังกล่าวถึงการทำประชามติให้ยกเลิก MOU ว่า การทำประชามติแต่ละครั้งใช้เงิน 6,000 ล้านบาท เพื่อให้เป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดิน รัฐบาลจะทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้ง ซึ่งประชามติจะมี 2 เรื่องที่จัดทำ 1.คือเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมี 2 คำถาม และมีบัตรขึ้นมาอีกใบหนึ่ง ซึ่งถามว่าท่านเห็นชอบให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่ ดังนั้นในการเลือกตั้งทั่วไป หลังจากยุบสภาประชาชนจะมีบัตรทั้งสิ้น 4 ใบ ใบที่ 1 คือเลือก สส.เขต ใบที่ 2 เลือก สส.บัญชีรายชื่อ ใบที่ 3 เป็นการลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ และใบที่ 4 ประชาชนต้องวินิจฉัยว่าจะให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่
“ที่ตั้งคำถามว่ารัฐบาลสามารถตัดสินใจเรื่อง MOU ได้ แต่ทำไมจะต้องไปสอบถามประชาชน ซึ่งที่ต้องไปถามประชาชนเพราะรัฐบาลนี้เห็นว่า เรื่องสำคัญเช่นนี้กับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลเฉพาะกิจไม่ควรตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ควรขอฉันทานุมัติจากประชาชนตามมาตรา 166”
นายวราวุธ ศิลปอาชา สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา อภิปรายว่า ได้ฟังสิ่งที่นายกฯ อนุทินพี่ชายที่รักแถลงไปแล้ว อะไรที่ดีอยู่แล้วขอให้นายกฯ ทำต่อ อะไรที่จะต้องปรับแก้ ทำแล้วคนไทยดีขึ้นให้ทำเสีย ที่สำคัญถ้าไม่เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเวลา 4 ปี หรือ 4 เดือน
ต่อมาเวลา 13.00 น. เริ่มเกิดความวุ่นวายในการประชุม เมื่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ อภิปรายนโยบายรัฐบาลมีเนื้อหาพาดพิงถึงปัญหาที่ดินเขากระโดง ทำให้ สส.พรรคภูมิใจไทยพากันลุกขึ้นมาประท้วง ทำให้นายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธาน วินิจฉัยให้ พ.ต.อ.ทวีอภิปรายอยู่ในเนื้อหานโยบายรัฐบาล แต่ พ.ต.อ.ทวียืนยันว่า สิ่งที่อภิปรายเป็นข้อห่วงใยเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ทำให้ สส.ภูมิใจไทยไม่พอใจลุกขึ้นประท้วงวุ่นวายอีกครั้ง และนายมงคลได้ห้ามปราม พ.ต.อ.ทวีอีกครั้ง
จากนั้น พ.ต.อ.ทวีเปลี่ยนไปอภิปรายคดีฮั้ว สว. ระบุว่า มีหลักฐานการฮั้ว 100% และมีชื่อนายกฯ ไปเกี่ยวข้อง จน สส.ภูมิใจไทยยกทีมขึ้นมาประท้วงต่อเนื่อง และ สว.ขึ้นมาช่วยสนับสนุน เกิดความวุ่นวายตอบโต้กันไปมากับ สส.พรรคเพื่อไทย และ สส.พรรคประชาชาติที่ขึ้นมาช่วยสนับสนุน พ.ต.อ.ทวี โดยนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายไล่นายมงคลไม่ให้ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เพราะทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง ขอให้เปลี่ยนนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ขึ้นมาทำหน้าที่แทน โดยการโต้เถียงใช้เวลาไปมากกว่า 20 นาที
จากนั้นเวลา 13.42 น. นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า จากการฟัง พ.ต.อ.ทวีที่เป็นอดีต รมว.ยุติธรรม ซึ่งการพูดและการแสดงออกต้องพูดให้ครบ แต่ถ้าพูดไม่ครบคนที่ฟังจะเกิดความสับสน และอาจเข้าใจไปในแนวทางที่พูดว่าเมื่อศาลตัดสินไปแล้ว ต้องทำตามคำสั่งของศาลก็เห็นด้วย แต่ต้องดูว่าคดีความที่เกิดขึ้นนั้น มี 3 คดีที่ศาลตัดสินพิพากษาไปแล้ว แต่ไม่มีคดีไหนเลยที่ศาลตัดสินให้เป็นที่ของการรถไฟ
ต่อมานายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป. อภิปรายว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่เคลือบแคลงสงสัยมาโดยตลอด และคิดในใจว่ารัฐบาลนี้เปรียบเสมือนผู้ป่วยโปลิโอ นับตั้งแต่วันแรกก็เป็นคนที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์ นโยบายเหมือนดูดี วาดภาพเหมือนผู้ชายที่หล่อ แต่ป่วยอยู่ข้างใน ทั้ง 5 ด้านทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านบริหารภาครัฐ
เวลา 14.10 น. นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. อภิปรายนโยบายของรัฐบาลในส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า มี 3ประเด็นฝากส่งถึงรัฐบาล ได้แก่ 1.ฝากขอโอกาสให้ประชาชนสามารถเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้ 2.การทำประชามติบรรยากาศต้องเสรีและเป็นธรรม และ 3.รัฐบาลต้องมี Action Plan ว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิออกเสียงประชามติได้อย่างเสรีและเป็นธรรม อย่างน้อยภายในวันที่ 20 ม.ค.ต้องมีมติ ครม.ในการออกเสียงประชามติแล้ว
เดือด! อภิปรายฮั้ว สว.
จากนั้นนายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. อภิปรายถึงกรณีคดีที่ดินเขากระโดง โดยกล่าวว่า ขอเสนอให้นายกฯ อนุทิน หรือรัฐมนตรีพิพัฒน์ ประกาศ ณ ตรงนี้เลยว่าจะให้การรถไฟฯ ดำเนินการฟ้องเพิกถอนโฉนดที่ดิน 2 แปลงที่ ป.ป.ช.ชี้แล้วว่าออกโฉนดโดยมิชอบ ถ้าศาลตัดสินจนถึงที่สุดว่าที่ดินเป็นของการรถไฟฯ รัฐก็ได้ที่ดินคืนมา แต่ถ้าศาลตัดสินเป็นอย่างอื่นเรื่องจะได้จบ
ต่อมาเวลา 16.20 น. นายอดิศร เพียงเกษ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายตอนหนึ่งถึงคดีฮั้ว สว.ว่า จะไว้วางใจได้อย่างไรว่านายอนุทินจะไม่แทรกแซง 4 เดือนที่ท่านเข้ามาไม่ใช่ยุบสภา แต่เข้าใจว่าท่านจะมายุบคดีนี้ เพราะหากผลการสอบสวนปรากฏต้องถูกยุบพรรค กรรมการบริหารและ ครม.ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง ทำให้นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ลุกขึ้นประท้วงทันทีว่า ประธานในที่ประชุมได้อธิบายถึงเรื่องการฮั้ว สว.แล้ว จึงขอให้ประธานใช้ข้อบังคับให้สมาชิกซักถามหรืออภิปรายสนับสนุนในเรื่องความเหมาะสมของนโยบาย ไม่ใช่มีแต่เรื่องรัฐบาลชุดที่แล้ว ทำให้นายมงคลบอกให้นายอดิศรรีบสรุปในสิ่งที่อยากให้รัฐบาลทำ ซึ่งนายอดิศรก็ยังอภิปรายว่าอำนาจวุฒิสภาท่านปล้นมา ทำให้ สว.ลุกขึ้นประท้วงอีกรอบ จากนั้นนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า การประท้วงกันไปมาถือเป็นครั้งที่ 2 ที่ สว.มีกิริยาและกล่าววาจาท้าทาย ไม่อยากให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจึงอยากให้ควบคุม
จากนั้นเวลา 15.35 น. บรรยากาศในห้องประชุมเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. อภิปรายเรื่องกระบวนการฮั้ว สว. โดยลงรายละเอียดพฤติกรรมและขั้นตอนในกระบวนการ ทำให้ สว.หลายคนลุกขึ้นประท้วง ซึ่งนายวันมูหะมัดนอร์ วินิจฉัยว่า ไม่ควรไปลงรายละเอียดเพราะเรื่องยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ทำให้ สส.พรรค ปชน.ไม่พอใจลุกขึ้น ต่อมา นพ.วาโยอภิปรายลงลึกในรายละเอียดเรื่องฮั้ว สว. ทำให้ สว.ไม่พอใจประท้วงกันอีกรอบ โดยนายประเทือง มนตรี สว. อภิปรายเสียงดังด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า จะอภิปราย สว.หรือนโยบายรัฐบาลตอบมา เดี๋ยวได้เจอกัน ทำให้ สส.พรรคปชน.รุมประท้วงขอให้ถอนคำพูด นายวันมูหะมัดนอร์จึงวินิจฉัยให้นายประเทืองถอนคำพูด และให้ นพ.วาโยอภิปรายต่อ โดยเตือนว่าหากยังฝ่าฝืนอภิปรายลงลึกในรายละเอียดก็จะไม่อนุญาตให้พูดอีก
ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า มีความไม่มั่นใจว่าท้ายที่สุดจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ปัญหาคือเราเซ็น MOA กันไป แต่ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้น ปัญหาคือใครจะรับผิดชอบ พรรคไหนจะต้องรับผิดชอบถ้าเกิดเหตุการณ์นั้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว
อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก
นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม
พสกนิกรทั่วไทย เข้าถวายสักการะ ‘พระพันปีหลวง’
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พสกนิกรทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ากราบพระบรมรูปในหลวง ร.9 และสักการะพระบรมศพ
ส้มขีดเส้นโหวตก่อนปีใหม่!
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
พร้อมหน้า นายกฯหนู โพสต์ภาพพาครอบครัวกินห่านพะโล้ในวันพ่อแห่งชาติ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า พาพ่อ แม่เมีย น้อง หลาน ไปกินห่านพะโล้เนื่องในวันพ่อ #ฉั่วคิมเฮง


