ภท.1ขู่ล้มโต๊ะRBC หากกัมพูชาไม่จัดทำแผนอพยพ/‘ฮุนเซน’ปลุกเลิกใช้เงินบาท

“ในหลวง” พระราชทานพระราชทรัพย์ 42 ล้านบาท สร้างอาคารโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ที่เสียหายจากเหตุการณ์ปะทะชายแดน “กองทัพภาค 1” ยันไม่มีประชุม RBC เพราะเขมรไม่ทำแผนอพยพส่งมา “เท้ง” ยกนิด้าโพลบอกไม่เห็นด้วยทำประชามติเลิก MOU ชี้รัฐบาลมีอำนาจตัดสินใจไปได้เลย “สมคิด” โวยรัฐบาลหนูไม่ดูแลชาวอุบลฯ ช่วยแต่ “สุรินทร์-ศรีสะเกษ” ฮุน เซนเดือด! โพสต์ซัดไทยไร้มนุษยธรรมยิ่งกว่าสัตว์ ปล่อยให้นำรูปตนไปเป็นเป้าซ้อมยิงแลกรางวัล ปลุกชาวกัมพูชาเลิกใช้เงินบาท-สินค้าไทย      

เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2568 เวลา 10.15 น. ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายเกษม วัฒนชัย องคมนตรี เชิญเงินพระราชทานจำนวน 42,000,000 บาท ไปมอบแก่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เพื่อเป็นค่าดำเนินการก่อสร้างอาคารของโรงพยาบาล จำนวน 2 อาคาร ที่ได้รับความเสียหาย ได้แก่ อาคารภูมิพัฒน์ ซึ่งเป็นอาคารสูง 2 ชั้น และอาคารแฟลตที่พักพยาบาล เป็นอาคารสูง 3 ชั้น

ด้านกองทัพภาคที่ 1 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 6 ต.ค. ในกรณีกองทัพภาคที่ 1 ขอให้ภูมิภาคทหารที่ 5 กัมพูชา จัดทำแผนอพยพประชาชนชาวกัมพูชาในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และบ้านคลองแผง อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว รวม 3 พื้นที่ ก่อนเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (อาร์บีซี) ซึ่งภูมิภาคทหารที่ 5 ได้ทำหนังสือตอบกลับเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ว่าไม่สามารถดำเนินการตามที่กองทัพภาคที่ 1 ได้เสนอไปนั้น กองทัพภาคที่ 1 ขอยืนยันว่า หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภูมิภาคทหารที่ 5 เกี่ยวกับการจัดทำแผนการอพยพประชาชนกัมพูชาที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย การประชุมอาร์บีซีจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากไม่มีวาระเพิ่มเติมที่จะนำไปสู่การยุติของปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

ขณะเดียวกัน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลจะให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องบันทึกความเข้าใจ (MOU) 43-44 ผ่านการทําประชามติว่า ผลสำรวจของนิด้าโพลที่สำรวจเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นแล้วว่า  ประชาชนราว 70% มีความไม่เข้าใจ กับค่อนข้างไม่เข้าใจเป็นเสียงส่วนใหญ่ เกี่ยวกับเนื้อหารายละเอียดของ MOU ฉบับดังกล่าว ซึ่งสิ่งที่จะทำให้ประชามติเป็นกระบวนการสะท้อนเจตจำนงของประชาชนจริงๆ คือออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียง โดยมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างดีเพียงพอระดับหนึ่ง

“การทำประชามติแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่ผลที่สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน”

เมื่อถามว่า ปชน.จะเสนอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้หรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า เสนอทบทวนมาโดยตลอดทุกครั้งที่มีโอกาส และเชื่อว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเอง นอกจากทราบจากตนเองก็น่าจะทราบจากนักวิชาการ และเสียงสะท้อนจากสังคม ตอนนี้ก็เห็นว่ามีโพลบางส่วนที่ทำในโลกออนไลน์ ก็จะเห็นว่าประชาชนบางส่วนอยากมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น หรือบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยที่จะเอาเรื่องนี้มาทำประชามติ

 “ควรเป็นหน้าที่ฝ่ายบริหาร รัฐบาลไม่ควรโยนการตัดสินใจนี้ให้เป็นภาระของประชาชน จริงๆ เป็นหน้าที่ฝ่ายบริหารโดยตรงที่ประชาชนมอบความไว้วางใจไป ในการตัดสินใจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ในเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน เรื่องความมั่นคงแบบนี้ รัฐบาลจะทำอย่างไรก็แสดงความรับผิดรับชอบ ตัดสินและทำเองได้เลย” นายณัฐพงษ์กล่าว

ข้องใจเสนอประชามติ MOU

ถามว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์กล่าวว่า การเสนอมาในช่วงจังหวะนี้ ทั้งที่การเลือกตั้งครั้งหน้ามีบัตรอย่างน้อย 2 ใบ คือ สส.เขตและ สส.บัญชีรายชื่ออยู่แล้ว อีกทั้งเรื่องการจัดทำประชามติที่มี 2 คำถาม ดังนั้นก็มีข้อห่วงใยว่าอาจเพิ่มภาระประชาชนในการออกเสียง ที่ต้องทำความเข้าใจเรื่องละเอียดซับซ้อนหลายเรื่อง จึงต้องให้สังคมช่วยกันวิเคราะห์ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะอย่างไร และเป็นข้อเสนอที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างไรหรือไม่ ในการโยนข้อเสนอนี้ออกมา ทั้งที่นายอนุทินก็รู้ดีว่า อีก 4 เดือนต้องยุบสภามุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง

 “เราไม่เห็นด้วยกับหลักการที่จะนำเรื่องนี้มาทำประชามติ แต่การบอกแบบนี้ต้องบอกว่า พรรคประชาชนเคารพในการให้เสียงประชาชนเป็นใหญ่ ถ้ามีการจัดทำประชามติผลออกมาอย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือกระบวนการ หากส่งเสียงคัดค้านแล้วรัฐบาลเดินหน้าต่อ ก็เป็นหน้าที่พรรคประชาชนและทุกพรรคการเมืองที่ต้องรณรงค์ให้มากที่สุด ต้องหาวิธีอธิบายเรื่องละเอียดซับซ้อนให้ดีที่สุด”

ส่วนนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. กล่าวถึงกรณีผลนิด้าโพลสะท้อนความเห็นประชาชนกว่า 70% ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาของ MOU 43-44 ว่า ภาครัฐควรให้ความเข้าใจก่อนว่า MOU มีประโยชน์ หรือผลกระทบต่อความมั่นคงอย่างไร หากถามคนที่รู้กับคนที่ไม่รู้ คำตอบจะเป็นคนละบริบทกัน คนที่ไม่เข้าใจคำถามจะไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วดีหรือไม่ดีอย่างไร ดังนั้นหน้าที่ของรัฐบาล คือให้ความรู้ความเข้าใจประชาชน ส่วนตัวอยากให้มีการออกสื่อประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์  แม้กระทั่งสื่อออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจในความสำคัญของเนื้อหามากยิ่งขึ้น

ส่วนกรณีที่นายณัฐพงษ์อยากให้รัฐบาลทบทวนการทำประชามติในเรื่องดังกล่าวนั้น นายพิสิษฐ์กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถามทำประชามติที่ประชาชนยังไม่มีความเข้าใจ ทั้งเรื่องการยกเลิก MOU และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากมีข้อมูลที่ถูกต้องประชาชนก็จะทราบเองว่าควรยกเลิกหรือไม่

 “เมื่อมีโพลที่เกี่ยวข้องกับความเข้าใจในเรื่องของ MOU แล้ว ก็ควรมีโพลสำรวจความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วย ว่าประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ ในสิทธิและเสรีภาพของตัวเองในรัฐธรรมนูญฉบับนี้มากแค่ไหน เรื่องนี้ควรเป็นคำถามเหมือนกัน” นายพิสิษฐ์กล่าว

ขณะที่นายสมคิด เชื้อคง อดีต สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย และอดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุการณ์ตามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาว่า ในหลายพื้นที่ของ จ.อุบลราชธานี ประชาชนหลายพันครอบครัวได้รับผลกระทบจากการสู้รบที่เกิดขึ้น โดยรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ และนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรักษาการนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ได้อนุมัติงบกลางเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนทั้งผู้อพยพ และสร้างบังเกอร์หลบภัยในเขตปะทะชายแดนในพื้นที่ที่มีการปะทะ แต่ล่าสุดปรากฏว่างบประมาณที่จัดไว้หายไปหรือตกไป ไม่มีการดำเนินการ แต่พบว่ามีการเบิกงบประมาณไปใช้ในการสร้างหลุมหลบภัยที่อำเภอนาจะหลวย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นพื้นที่ปะทะ ต่างจากที่อำเภอน้ำยืน ช่องบก และน้ำขุ่น ซึ่งเป็นพื้นที่ปะทะมีประชาชนหลายหมื่นคนหนีภัยสงคราม ต้องมาพักอาศัยในพื้นที่ปลอดภัย กลับไม่ได้งบประมาณสักบาทเดียว

สมคิดโวยรัฐบาลหนู

 “รัฐบาลต้องเข้ามาดูแล อย่าเห็นอำเภอน้ำยืน อำเภอน้ำขุ่น เป็นพื้นที่ของพรรคการเมืองอื่นเลยไม่ให้ความสำคัญ แบบนี้พี่น้องประชาชนไม่ยอมแน่ นายอนุทินต้องไปตรวจสอบใครทำให้งบประมาณนี้หายไป ทั้งๆ ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้อนุมัติไว้แล้ว ต่างจากจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษได้ใช้งบประมาณแล้ว แต่จังหวัดอุบลฯ ไม่ได้  หรือนายอนุทินมองว่าจังหวัดอุบลฯ เป็นลูกเมียน้อยหรืออย่างไร ท่านจึงไม่ดูแลเหมือนจังหวัดที่พรรคภูมิใจไทยมี สส.ในพื้นที่ คนเป็นผู้บริหารประเทศคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้”นายสมคิดกล่าว

ด้านนายทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ข้อมูลว่าด้วยการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา” โดยระบุว่า เขตแดนไทย-กัมพูชา ยาว 798 กม. มีการปักปันเขตแดน 603 กม. จำนวน 73 หลัก โดยหลักเขตที่ 1 อยู่ที่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และหลักเขตที่ 73 อยู่ที่หมู่บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด รัฐบาลไทยและกัมพูชาได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการจัดทำเขตแดน (MOU-2000) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดตั้งและมอบอำนาจให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ปักปันหลักเขตแดน ซึ่งการยกเลิกการใช้กลไก JBC จะเป็นการเปิดช่องให้กัมพูชาใช้กลไกอื่นๆ และไทยเองก็ต้องไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก เพราะว่ามีบทเรียนจากคดีปราสาทพระวิหารมาแล้ว 

"นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการนำเรื่องข้อพิพาทเขตแดน 3 ปราสาท และ 1 พื้นที่สามเหลี่ยมมรกตเข้าสู่ศาลโลกก็ตาม แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จะไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ เนื่องจากแผนที่ไม่มีการระบุสัญลักษณ์ของปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาเมือนโต๊ด ซึ่งก็ต้องไปสู้กันที่เรื่องของสันปันน้ำอยู่ดี ซึ่งกรณีของปราสาท 3 แห่ง  แม้ว่าไม่ปรากฏสัญลักษณ์บนแผนที่มาตราส่วน 1:200,000  ที่คณะกรรมาธิการร่วมจัดทำขึ้นมา แต่พบว่ายังมีเอกสารบันทึกวาจาหลักเขตจัดทำเมื่อปี 1908 ซึ่งจะมีคำบรรยายว่าหลักเขตแต่ละหลักเขตอยู่ตรงจุดใดบ้าง โดยทุกหลักจะมีบันทึกทำเป็น 2 ภาษา คือภาษาไทยและฝรั่งเศส และมีการจัดทำแผนผังรายหลักเขตที่เป็นมาตราส่วนที่ละเอียดกว่า 1:200,000 กล่าวคือโดยใช้มาตราส่วน 1:1,000, 1:2,000, 1:4,000 และ 1:10,000 เป็นต้น

 “หมายความว่าการดำเนินตาม MOU-2000 นอกจากจะเป็นการผูกมัดกัมพูชาแล้วยังจะได้เขตแดนที่ชัดเจนแน่นอนอีกด้วย ทั้งยังไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเปรียบ เพราะว่าการดำเนินงานของ JBC เป็นแบบทวิภาคีที่ต้องเห็นชอบร่วมกันทั้งสองฝ่ายในทุกปัญหา”

วันเดียวกัน ที่วัดเสือดาว ม.4 บ้านคอแล ต.หนองบ่อ อ.เมืองตราด จ.ตราด นายบุญมั่น ไชยะวงษ์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 พร้อมชาวบ้าน ได้ช่วยกันจัดสถานที่เตรียมงานตักบาตรเทโวโรหณะ ซึ่งไฮไลต์สำคัญอยู่ที่หุ่นเปรตขนาดใหญ่ 2 ตน ถูกนำมาตั้งไว้เพื่อเป็นพุทธานุสติ สอนใจเรื่องบาปบุญคุณโทษแก่ญาติโยมที่มาทำบุญ โดยหนึ่งในสองตนใช้ใบหน้าฮุน เซน คนดังแห่งกัมพูชา ที่แต่งกายเป็นชูชก 

นายบุญมั่นให้ข้อมูลว่า หุ่นเปรต 2 ตนนี้ทำขึ้นเพื่อเป็นคำสอน ให้คนเห็นภาพว่าหากเป็นคนโลภ อยากได้ของคนอื่น หรือเป็นคนพูดจาเท็จ โกหกมดเท็จ เมื่อตายไปก็จะตกนรกเป็นเปรต โดยใบหน้าหุ่นเปรตทั้งสองตนคือ  ฮุน เซน และมาลี โสเจียตา โดยสาเหตุที่เลือกใบหน้าของทั้งสองคนมาทำ  เพราะคุณมาลีมักพูดจาเท็จไม่มีความจริง ใส่ร้ายประเทศไทยมาโดยตลอด ส่วนฮุน เซน ก็มีท่าทีที่อยากได้ทรัพยากรและสิ่งต่างๆ ของไทย 

'ฮุน เซน' รับไม่ได้ปลุกเขมร

ขณะเดียวกันสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กกรณีร้านค้าในงานวัดแห่งหนึ่งของไทย นำรูปภาพใบหน้าของตนไปเป็นเป้าสำหรับยิงปืนเพื่อแลกของรางวัลว่า "นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าประเทศที่มีอารยธรรมสูงส่ง มีคุณธรรม จริยธรรม และอารยธรรมหรือไม่ ขอเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาทุกคนอย่ากระทำการอันน่าอับอายเช่นนี้ ซึ่งเป็นการไร้มนุษยธรรมและเลวร้ายยิ่งกว่าการกระทำของสัตว์ ไม่ว่าวิดีโอนี้จะสร้างขึ้นโดยมนุษย์หรือ AI ก็ตาม แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ผิดศีลธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้เพื่อนร่วมชาติบางคนขอให้สร้างเนื้อหาที่มีรูปถ่ายหรือภาพเหมือนพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้ถ่ายภาพเพื่อชิงรางวัล เช่นเดียวกับคนไทยบางคนทำ ก็ได้ตอบว่าถ้าเราเชื่อว่าการกระทำของพวกเขาผิด เราก็ไม่ควรแข่งขันกันทำผิด การเลียนแบบพฤติกรรมที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ ซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่าการกระทำของสัตว์"

“เจตนาของพวกเขาคือการยั่วยุข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าหมดความอดทนในช่วงหยุดยิงที่เปราะบาง หรืออย่างน้อยที่สุดก็เพื่อปลุกปั่นกองกำลังทหารและประชาชนของเราให้ตอบโต้และปลุกปั่นความขัดแย้ง ข้าพเจ้าขอวิงวอนพี่น้องร่วมชาติทุกท่านอย่างจริงใจว่า อย่านำภาพพระมหากษัตริย์ไทยหรือภาพผู้นำไทยไปใช้ในลักษณะที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ให้เกียรติ หากท่านรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่พอใจประเทศไทย โปรดงดเว้นซื้อสินค้าไทย และหยุดใช้เงินบาทไทยในกัมพูชา เพื่อเสริมสร้างความเป็นอิสระทางการเงินของชาติ”

นอกจากนี้ยังโพสต์ว่า "ประชาชนบางส่วนในประเทศไทย รวมถึงผู้นำไทยบางคน กำลังประเมินเศรษฐกิจของกัมพูชาไม่ถูกต้อง โดยกล่าวว่ากำลังเผชิญความยากลำบากจากการปิดพรมแดน แต่ขอขอบคุณผู้นำไทยที่จงใจช่วยเหลือเรา กัมพูชาใช้เงินไม่น้อยกว่าห้าพันล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อซื้อสินค้าไทย การเปลี่ยนการใช้จ่ายนี้ไปซื้อสินค้าท้องถิ่น จะเป็นการเปิดตลาดและโอกาสเสริมสร้างเศรษฐกิจกัมพูชา เราไม่เคยเรียกร้องให้นำสินค้าไทยมาจำหน่ายในตลาดเรา เราเป็นผู้จ่ายเงินเอง ผู้นำไทยต้องไม่เข้าใจผิดหรือดูถูกกัมพูชาต่อไป"

“ข้าพเจ้าขอแจ้งต่อประชาชนของเรา โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ชายแดนไทย รีบแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินเรียลหรือดอลลาร์โดยด่วน เพราะในอนาคตอันใกล้นี้คุณอาจเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก เงินบาทอาจกลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกนำไปใช้กดดัน เช่นเดียวกับที่เราเคยพบเห็นในสถานการณ์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และเชื้อเพลิง การเปลี่ยนจากเงินบาทเป็นเงินเรียลจะเสริมสร้างอำนาจอธิปไตยทางการเงินของประเทศเรา”.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.