หน่อยแฉทุนดำ2หมื่นล้าน

“กมธ.มั่นคง” ตามขยี้ทุนเทา 5  พ.ย.นี้เชิญ “อนุทิน-วรภัค” หญิงหน่อยโผล่ร่วมแจม บอกแก๊งสแกมเมอร์ใช้เงินทุนดำ 2 หมื่นล้านบาทซื้อประเทศผ่านการเลือกตั้ง จี้นายกฯ  เอาจริงขจัดนักการเมือง-ขรก.ที่พัวพัน

เมื่อวันที่ 2 พ.ย.2568 มีรายงานถึงการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.)  เป็นประธาน กมธ. ยังคงติดตามปัญหาสแกมเมอร์และอาชญากรรมข้ามชาติต่อเนื่อง  โดยในวันพุธที่ 5 พ.ย. ได้นัดพิจารณากรณีกลุ่มทุนกัมพูชาที่เชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในไทย  กรณีของบีไอซี กรุ๊ป, บีไอซี แบงก์ และนายยิม เลียก ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยเชิญนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน, พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เข้าชี้แจง  นอกจากนี้ยังได้พิจารณาต่อเนื่องถึงความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคลหรือบริษัทที่อยู่ในไทยที่เชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเชิญนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์, นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีต รมช.การคลัง, พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ, นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม, นายรีวิน เพทายบรรลือ รวมถึงประธานกรรมการบริษัท ไพร์มสตรีท แคปปิตอล เข้าชี้แจงด้วย

ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ อย่าปล่อย ทุนดำ ยึดประเทศไทย! ระบุว่า ทุนดำยึดประเทศไทย ด้วยเงินเพียง 20,000 ล้านบาทของพวกแก๊งสแกมเมอร์ ทุนดำที่ปล้นคนไทยไปหลายแสนล้านบาทร่วมกับนักการเมืองชั่วบางคน ตั้งแต่โควิดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์ที่ใช้หลอก ปล้นเงินของคนไทยและคนทั้งโลก เสียหายปีละหลายแสนล้าน รวมทั้งมีการหลอกคนไทยและคนจากหลายประเทศเข้าไปทำงาน มีการซ้อมทรมานและทำให้เสียชีวิต เข้าข่ายการค้ามนุษย์ จนได้ฉายาว่าสแกมโบเดีย เงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการปล้นคนไทยและคนทั้งโลก ต้องการการฟอกเงิน และไทยคือสวรรค์ของอาชญากรข้ามชาติที่นำเงินสีดำเข้ามาฟอกขาว ไทยจึงกลายเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินของพวกสแกมเมอร์  เมื่ออาชญากรเหล่านี้ต้องเข้ามาฟอกเงินในไทย  ทำผิดกฎหมายไทย ก็ต้องวิ่งเต้นจ่ายเงินให้ผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะนักการเมืองของไทย เพื่อให้การคุ้มครองจนทำให้ขบวนการทุนดำเติบโตอย่างรวดเร็ว กลุ่มเหล่านี้จึงเข้ามามีบทบาททางการเมือง ผ่านการติดสินบน ซื้อนักการเมือง ซื้อพรรคการเมือง ซื้อข้าราชการ เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในลาตินอเมริกา

“รูปแบบเดิมของการฟอกเงินมีตั้งแต่การซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย เช่น หมู่บ้านจัดสรร, ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย, ซื้อคริปโต รวมทั้งซื้อทองคำ จนทำให้เงินบาทแข็งค่า กระทบต่อการส่งออกเราอย่างรุนแรง แต่รูปแบบใหม่ของการฟอกเงินกำลังจะเกิดขึ้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ผ่านพรรคการเมือง โดยนักการเมืองชั่วและอาชญากรข้ามชาติจะร่วมมือกันยึดประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จ โดยใช้เงินไม่เกิน 20,000 ล้าน จ่ายให้ สส. หัวละ 50-70 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อเสียง”

คุณหญิงสุดารัตน์ระบุอีกว่า หายนะของประเทศมาถึงแน่ ถ้าเราคนไทยไม่พร้อมใจกันลุกขึ้นสู้ ขอเรียกร้องให้พวกเราคนไทยไม่เลือกคนที่ซื้อเสียงอย่างเด็ดขาด ซึ่งเงินที่เขานำมาซื้อเสียงก็คือเงินที่ปล้นพวกเรามา ซึ่งทุกคนสามารถรับเงินที่นักการเมืองชั่วเหล่านี้นำมาแจกได้ เพราะเป็นเงินที่ปล้นคนไทยมา แต่ต้องไม่ให้กากบาทให้คนชั่วเหล่านี้กลับมาปล้นมาโกงคนไทยต่อไปอย่างเด็ดขาด รวมทั้งขอเรียกร้องไปยังนายกฯ ให้ลงมือปราบแก๊งสแกมเมอร์ที่ซุกตัวอยู่ในไทย รวมทั้งนักการเมืองชั่วที่ให้การคุ้มครองคนเหล่านี้ ด้วยการสั่งอายัดทรัพย์ พร้อมตรวจสอบเส้นเงิน และดำเนินคดีอาญากับบุคคลที่อยู่ในข่ายนี้ทันที ไม่ว่าจะตรวจสอบเส้นเงินไปพบนักการเมืองหรือข้าราชการใหญ่คนใด ก็ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด  โดยประสานข้อมูลกับสหรัฐอเมริกาและนานาชาติ

วันเดียวกัน น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม.  พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า โกงเงินทหารผ่านศึก โกงโควตาหวยคนพิการ โกงเงินนักกีฬา โกงเงินเกษตรกร โกงเงินชลประทาน โกงชื่อสมาชิกพรรค หลอกคนผ่านสแกมเมอร์ทุกรูปแบบ ศูนย์รวมอยู่ที่เดียว แต่ใหญ่คับฟ้า นายกฯ ยังไม่กล้าแตะ แล้วฝ่ายค้านทำไร โห แหกกันจะโดนสั่งเก็บกันอยู่แล้วพี่จ๋า

นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร เลขาธิการพรรคกล้าธรรม โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า คนบางคนเน้นพูดเน้นกล่าวหา หลักฐานอยู่ไหนไม่เคยมี เพ้อเจ้อ พอไม่มีอะไรจะพูด ได้แค่เป็นฝ่ายตรวจสอบ ไม่ได้แบกนะ จากนั้น น.ส.รักชนกเข้ามาคอมเมนต์ระบุว่า ไผ่ ลิกค์ ไผ่ ร้อน ทำให้นายไผ่ตอบโต้ว่า “ไม่นะครับท่าน สส. แค่อยากเห็นหลักฐานของท่านแค่นั้น และการตรวจสอบของท่าน สส.ดีครับ แต่ก็เสียกำลังใจคนช่วยเหลือที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการนะครับ คุณท่าน”.