‘หนู’มั่นใจกองทัพปกป้องปท.

"อนุทิน" บอกอย่าใช้คำแรงเขมรขัดขวางกู้ระเบิด ขอให้มั่นใจกองทัพรู้วิธีป้องกันประเทศ ลั่นหากกัมพูชาเอ้อระเหย 4 ข้อหลัก เชลยศึก 18 รายก็ไม่ต้องคุย “โฆษก รบ.” เผยตั้ง ผบ.ทสส.คุมความคืบหน้าสัญญาสันติภาพ โอ่ผลงาน 1 เดือนยุคนายกฯ หนูไม่เสียดินแดน ทหารไม่เสียชีวิตและประชาชนไม่หลั่งเลือด “กองทัพ” ระบุชง 13 พื้นที่เก็บกู้วัตถุระเบิด แต่ฝั่งเขมรเงียบกริบ “บิ๊กณัฏฐ์” มั่นใจสุดท้ายได้ตาควายคืน

เมื่อวันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีมีรายงานข่าวว่ากัมพูชาขัดขวางไม่ให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เข้าสังเกตการณ์การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์ ว่าอย่าเพิ่งไปใช้คำว่าขัดขวาง เขาประชุมกันตลอด และได้พูดคุยกับ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่ายังดำเนินการอยู่ในเรื่องการถอนกำลังและเก็บกู้ทุ่นระเบิด ยังพูดคุยกันต่อไป แม้อาจไม่ราบรื่นแต่เป้าหมายชัดเจน ไม่ใช่ว่าขัดขวางแล้วฝ่ายไทยจะยอม เราก็ไม่ยอม ถ้าจะให้เรานำไปสู่สันติภาพและสันติสุข ยังคงย้ำในเงื่อนไข 4 ข้ออยู่ คือถอนอาวุธ เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบปรามสแกมเมอร์ และการแก้ไขปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิ์ ทั้ง 4 ข้อต้องได้รับการตอบสนอง ฝ่ายทหารและกองทัพของเราจึงดำเนินการเรื่องเชลยศึก การปักปันเขตแดน และการพูดคุยเรื่องอื่นๆ ต่อไป ยืนยันว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการของกัมพูชา

เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวกัมพูชาขนอาวุธหนักกลับมาในพื้นที่ชายแดนอีกครั้ง นายอนุทินกล่าวว่า ยืนยันว่าต่างฝ่ายต่างถอยออกไป ไปเอาข่าวนี้มาจากไหน ถ้าเข้ามาคือการฉีกข้อตกลง และจะถือว่าไม่มีข้อตกลง และสามารถทำตามที่เราเห็นว่าเหมาะสม

ถามถึงกรณีประชาชนกังวลเรื่องการถอนอาวุธของไทย ที่อาจกลับไม่ทันหากกัมพูชาไม่ทำตามข้อตกลง นายอนุทินกล่าวว่า ถาม ผบ.ทสส.และ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เขาต้องรู้ว่าต้องปกป้องประเทศอย่างไร ขอให้เชื่อมั่นและมั่นใจในกองทัพ

ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกฯ พร้อม พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  (ตร.) ร่วมแถลงความคืบหน้าจากผลการหารือระหว่างนายกฯ ไทยและนายกฯ กัมพูชา ในการประชุมที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี)

โดยนายสิริพงศ์ได้เรียงลำดับเหตุการณ์ชายแดนตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนระบุว่านายกฯ ได้มีคำสั่งจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามเอกสารถ้อยแถลงผลการพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 โดยคณะกรรมการชุดนี้จะมี ผบ.ทสส.เป็นประธาน มีหน้าที่ติดตามประเมินผลการดำเนินการของทั้งฝั่งกัมพูชาและไทย และมีหน้าที่อำนวยการคณะสังเกตการณ์เพื่อให้การสังเกตการณ์เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยและปกติที่สุด

โอ่ผลงานรัฐบาล 1 เดือน

 “รัฐบาลมุ่งมั่นตั้งใจนำความสงบสุขกลับคืนมาสู่คนไทยทุกคน โดยยึดหลักเราจะไม่เสียดินแดนและอธิปไตยแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว ตลอดเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาที่นายอนุทินมาเป็นนายกฯ เราไม่มีดินแดนไทยแม้แต่ 1 ตร.ซม.เสียให้กับกัมพูชา เราไม่มีอวัยวะชิ้นใดของทหารที่เสียสละไปจากสถานการณ์ชายแดนกัมพูชา เราไม่ได้เห็นเลือดของทหารเหล่านั้นหยดบนผืนแผ่นดินไทย และสำคัญที่สุดเราไม่เห็นเลือดประชาชนที่หลั่งบนแผ่นดินไทย ดังนั้น แนวทางที่จะเดินหน้าต่อไป รัฐบาลมีความตั้งใจที่อยากจะทำให้ทุกคนเป็นปกติที่สุด ภายใต้เงื่อนไขการรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของไทย”

  นายสิริพงศ์กล่าวว่า ส่วนเรื่องการเปิดด่านนั้น นโยบายของรัฐบาลชัดเจนว่า ด่านชายแดนไทย-กัมพูชาจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่รัฐบาลจะพิจารณาทำ หลังจากกัมพูชาดำเนินการตามเงื่อนไขทั้งหมดที่กัมพูชาได้ให้คำมั่นไว้ในถ้อยแถลงเท่านั้น ส่วนเรื่องปล่อยตัว 18 ทหารกัมพูชานั้น  กระบวนการเหล่านี้จะเริ่มต้นก็ต่อเมื่อกัมพูชาดำเนินการ 4 ข้ออย่างจริงจัง ฉะนั้นในวันนี้อยู่ในระหว่างประเมินว่ากัมพูชาได้ดำเนินการตามข้อตกลง 4 ข้ออย่างจริงจังหรือไม่

 เมื่อถามว่า รัฐบาลจะมีแนวทางอย่างไรในพื้นที่ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา เนิน 677 จะเจรจาอย่างไรไม่ให้เสียประโยชน์ นายสิริพงศ์กล่าวว่า เรื่องการใช้ความรุนแรงหรือการยิงจบไปตั้งแต่สัญญาหยุดยิง 28 ก.ค. 2568 ดังนั้นรัฐบาลไม่สามารถใช้กำลังเปิดก่อนได้ แต่แนวทางที่ต้องทำคือใช้สันติวิธีโดยการเจรจา สุดท้ายแล้วในเรื่องการปักปันเขตแดนและกรณีพิพาทที่ยังเป็นปัญหาอยู่ เป็นเรื่องที่ต้องมาพูดคุยกันในระดับทวิภาคี ซึ่งหมายรวมไปถึงทุกพื้นที่ที่ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน

พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า การถอนอาวุธหนักเช่นจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ได้มีกำหนดการถอนกำลังและถอนอาวุธในวันที่ 1-21 พ.ย. ส่วนเฟสที่ 2 เป็นการถอนกำลัง อาวุธ ระบบปืนใหญ่ทุกประเภท ปืนทำลายล้างสูง  ปืนใหญ่อัตตาจร กำหนดช่วงเวลาคือ 22 พ.ย.-12 ธ.ค.  ส่วนเฟสที่ 3 จะเป็นการถอนอาวุธที่เหลือ เช่น รถหุ้มเกราะ รถถัง กำหนดเวลาไว้ที่ 13 ธ.ค.-31 ธ.ค. คาดว่าจะถอนกำลังและอาวุธหนักทั้งหลายให้สิ้นทั้งหมดภายในสิ้นปี  ครอบคลุมเวลาทั้งหมด 2 เดือน ยืนยันว่าเป็นแค่การถอนอาวุธหนัก กองกำลังป้องกันชายแดนที่มีการวางกำลังอยู่ในพื้นที่เดิมอยู่แล้วจะไม่มีการถอนกำลังใดๆ

ชงเก็บทุ่นระเบิด 13 พื้นที่

“ที่มีคำถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่ากัมพูชาถอนอาวุธหนักจริงหรือไม่นั้น เรามีกลไกคณะผู้สังเกตการณ์จาก AOT จำนวน 8 ประเทศ ถ้ามีปัญหาใดๆ ทางฝ่ายไทยหรือกัมพูชาจะรายงานหรือแจ้งไปที่ฝ่าย AOT เพื่อให้รายงานและสร้างแรงกดดันไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้มีการจัดตั้งชุดประสานงานร่วมเฉพาะกิจ (JCTF) ขึ้นมาเพื่อประสานงานในพื้นที่ต่างๆ เพื่อจะเข้าไปเก็บกู้ระเบิด โดยฝ่ายไทยเสนอพื้นที่นำร่อง 13 พื้นที่ในเรื่องการเก็บกู้ระเบิด ที่ผ่านมาเริ่มมีการดำเนินการไปบ้างแล้ว ในบางส่วนมีการถูกขัดขวางจากกัมพูชาบ้าง แต่เรามีกลไกเจรจาและพูดคุยเพื่อให้บรรลุในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด” พล.ร.ต.สุรสันต์ระบุ

ขณะที่นายเบญจมินทร์กล่าวว่า ผลการประชุมเจบีซีเมื่อวันที่ 21-22 ต.ค.ได้กำหนด 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การซ่อมแซมและจัดทำหลักเขตแดน เพื่อเปลี่ยนหรือทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่เสียหาย ที่ทั้งสองฝ่ายเคยเห็นตรงกันแล้ว 2.เร่งรัดแก้ไขทีโออาร์ปี 2003 เพื่อนำเทคโนโลยีไลดาร์ (LiDAR) มาใช้ทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ โดยเห็นชอบให้ทดลองใช้ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ธ.ค. 68 และ 3.เห็นพ้องต่อกระบวนการสำรวจและจัดทำหมุดชั่วคราวอย่างเร่งด่วน บริเวณหลักเขตแดน 42-47 ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว

“กัมพูชากำลังพิจารณาร่างคำแนะนำทางเทคนิค สำหรับการสำรวจและวางหมุดชั่วคราวในบริเวณเร่งด่วน  ซึ่งฝ่ายไทยได้จัดทำร่างหนังสือแล้วและกำลังรอคำตอบอยู่ โดยกำหนดไว้ภายในวันที่ 14 พ.ย. จากนั้นจะเริ่มสำรวจวางหมุดชั่วคราวภายในวันที่ 17 พ.ย. โดยเริ่มจากหลักเขตแดน 42-43 แล้วตามด้วยหลักเขตแดน 46-47 และ 43-46 ตามลำดับ ซึ่งการวางหมุดชั่วคราวมีวัตถุประสงค์เพื่อการสำรวจเท่านั้น ไม่กระทบต่อสิทธิของไทยและกัมพูชาในเรื่องของเขตแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศ”

 ผู้สื่อข่าวถามว่า การแก้ไขทีโออาร์ 2003 จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบหรือไม่ นายเบญจมินทร์กล่าวว่า ทีโออาร์ 2003 เป็นข้อปฏิบัติจาก MOU 43 จึงไม่มีเนื้อหาอันใดที่ทำให้เสียเปรียบได้ เป็นการกำหนดรายละเอียดแก่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น

ส่วน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงข้อกังวลของประชาชนบางส่วนต่อกรณีการถอนอาวุธหนัก  แม้อาวุธบางส่วนถูกปรับออกจากพื้นที่หน้าแนว แต่ยังคงมีกองกำลังป้องกันชายแดนประจำอยู่เพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวัง และรักษาปกป้องอธิปไตยตามปกติ ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพบกในการทำหน้าที่ปกป้อง รักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติให้ได้อย่างดีที่สุด

พล.ต.วินธัยยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ว่าศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ได้เข้าพิสูจน์ทราบพื้นที่แล้ว 7.62% ของพื้นที่ทั้งหมด 355,026 ตารางเมตร และปัจจุบันฝ่ายไทยได้ยืนยันความพร้อม และดำเนินการตามแผนที่เสนอต่อฝ่ายกัมพูชาครอบคลุมทั้ง 13 พื้นที่ แต่ฝ่ายกัมพูชายังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในประเด็นดังกล่าว

สุดท้ายได้ตาควายคืน!

ที่หอประชุมคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวในการประชุมสัมมนาติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งถึงกรณีรัฐบาลไปลงนามในเวทีต่างๆ เพื่อสันติภาพว่า มีบางคนตั้งคำถามว่าไปลงนามทำไม เมื่อลงแล้วได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ส่วนตัวยืนยันว่าไม่มีนายกฯ คนใดที่คิดไม่ดีกับประเทศ แต่ทำไมนายกฯไทยถึงลงนาม ซึ่งเราไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเขาถูกกดดันอะไรมา เช่นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ อาจบีบเรื่องกำแพงภาษีหากไม่หยุดยิง ขณะเดียวกันประชาชนสามารถประเมินผลงานของนายกฯ ได้ในระยะการทำงาน 4 เดือน ว่าถ้านายกฯ ดีก็เลือกเขา ถ้านายกฯ ไม่ดีก็อย่าเลือก ดังนั้นนายกฯ คงไม่กล้าทำอะไรที่ไม่ดีอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้มันค้ำคอเค้าอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่ถูกเลือก เชื่อเช่นนั้น

คำถามที่ว่า เราจะได้ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กลับคืนมาหรือไม่ พล.ต.ณัฏฐ์กล่าวว่า ตาควายภูมิประเทศเราเสียเปรียบ ถ้าเราจะไปตีเอาปราสาทตาควายคืน ทหารเราก็จะตายเป็นร้อย ซึ่งเราจะยอมไหม ตอนนี้เราเสียการควบคุม แต่เราไม่ได้สูญเสีย ซึ่งการเอาคืนมี 2 วิธี วิธีแรกคือตีคืนมาเลย ส่วนวิธีที่สองอาจช้าหน่อย เช่นการใช้เครื่องมือเทคโนโลยี LiDAR เพื่อใช้พิสูจน์พื้นที่ เช่นใช้ในพื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เมื่อเสร็จสิ้นก็มาใช้ทางนี้ โดยเราดำเนินการในส่วนที่เร่งด่วนก่อน ถือว่าไม่ได้สูญเสีย มั่นใจว่าถึงอย่างไรปราสาทตาควายก็กลับมาเป็นของเราอย่างแน่นอน ไม่ว่าเป็นวิธีใดก็ตาม

ส่วนนายแก้วสรร อติโพธิ นักกฎหมายและนักวิชาการ เผยแพร่บทความถาม-ตอบเรื่อง “งานปักปันเขตแดน..เพื่อแก้ปัญหาความมั่นคงชายแดน ไทย-กัมพูชา” โดยตอนหนึ่งระบุว่า "เปลี่ยนใจมาสนับสนุนให้รัฐไทยรักษา MOU 43 ไว้ต่อไป เพราะได้ฟังเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันโดยละเอียดแล้ว พบว่าเราต้องแยกเรื่องกลไกจัดการปัญหาความมั่นคงชายแดนกับปัญหาเขตแดนไม่ชัดเจนออกจากกัน เรื่องเขมรรุกล้ำไทยประท้วงเป็น 600 ครั้งทำอะไรไม่ได้นั้น ไม่เกี่ยวกับการมีอยู่ของ MOU 43  เลย แต่เป็นความขี้โกงของเขมรที่เราจัดการไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้มีข้อตกลงจัดตั้งคณะกรรมการดูแลชายแดนร่วมกันอยู่แล้วแต่ไม่มีผล เพิ่งมีปีนี้ที่เราเริ่มเสียงแข็งยื่นคำขาดบ้าง  เช่นเรื่องรุกล้ำบ้านหนองจานเป็นต้น

 “เชื่อว่าฮุน เซน มันอยู่ได้อีกไม่นาน ตอนนี้รัฐบาลน่าจะให้กรมสนธิสัญญาสำรวจหาบริษัทหรือองค์กรผู้เชี่ยวชาญระดับโลก มาเจรจาเตรียมเข้าเป็นคู่สัญญาช่วยใช้เทคโนโลยีสำรวจทางภูมิศาสตร์ รังวัดพื้นที่ตลอดชายแดนไว้เลย อาจให้ลงมือระยะที่ 1 จนพอเห็นเนื้องานและแนวเขตเบื้องต้นก่อนก็ได้ เมื่อเขมรมีรัฐบาลใหม่แล้วก็ค่อยเจรจาเดินหน้าลุยกันอีกที โดยให้บริษัทผู้ชำนาญช่วยรับเหมาทำงานใต้กำกับของคณะทำงานร่วมไปเลย ถึงเวลานั้นหมดฮุน เซนไปแล้ว เราก็น่าจะพูดกันได้ง่ายกว่านี้  สันติภาพจริงก็จะถือกำเนิดได้ จนเปิดด่านกันได้ในที่สุด”นายแก้วสรรระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน

'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง