ซุก‘ระเบิดใหม่’อื้อ! ‘ช่องอานม้า’2ลูก แถมปั้นข่าวลวง เท้งโผล่เท้าราน้า

"สื่อมาเลย์" ขออภัยแปลข่าวทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชาผิด ยันผลตรวจ AOT  พบเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ "โฆษก รบ." ติงเรื่องละเอียดอ่อนต้องระมัดระวัง "ช่องอานม้า" พบอีก 2 ทุ่นระเบิดถูกฝัง "โฆษก ทบ." เชื่อเขมรรุกข้ามแดนหมายดักบึ้มทหารลาดตระเวน “แม่ทัพกุ้ง” มองเหตุยิงปืนเล็กฝั่งสระแก้วหวังกลบข่าวทหารเหยียบระเบิด แนะจับตาปราสาทตาควายอาจเบี่ยงไปก่อเหตุ "เท้ง" เตือนสติ "นายกฯ อนุทิน" อย่าโหนกระแสชาตินิยมเอาแต่คะแนนเสียง บอกฉีกสันติภาพทำไทยเสียเปรียบเวทีโลก "นักวิชาการ" สะท้อนมุมกลับ ชี้รัฐบาลไทยแก้ปัญหาชายแดนถูกทาง เลิกปฏิญญาเพื่อรักษาอิสระชาติ

เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2568 มีความเคลื่อนไหวจากสำนักข่าวเบอร์นามา (Bernama) ซึ่งเป็นสำนักข่าวแห่งชาติของมาเลเซีย ได้แก้ข่าวที่ผิดพลาด หลังรายงานคลาดเคลื่อนเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา  อ้างรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซียย้ำคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) แจ้งไม่มีการวางทุ่นระเบิดใหม่จากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จนได้รับบาดเจ็บ

โดย Bernama สำนักข่าวแห่งชาติของมาเลเซียชี้แจงว่า "ถึงลูกค้าบริการข่าวทุกท่าน  โปรดทราบว่ามีการแก้ไขเร่งด่วนและจำเป็นสำหรับข่าวภาษาอังกฤษที่เผยแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมีคำกล่าวอ้างของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดาโต๊ะ เสรี อุตมา ฮาจี โมฮามัด บิน ฮาจี ฮาซัน เนื้อหาข่าวต้นฉบับมีข้อผิดพลาดในการแปลถ้อยคำที่รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวไว้เป็นภาษามลายู ซึ่งทำให้ความหมายที่ตั้งใจสื่อถูกบิดเบือนไป

ข้อผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้นในย่อหน้าที่ 8 ประโยคที่ไม่ถูกต้อง ในข่าวภาษาอังกฤษระบุว่า: “But the ASEAN observer teams in Thailand and Cambodia have reported that they were not new landmines”. (“แต่ทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียนในไทยและกัมพูชารายงานว่าไม่ใช่ทุ่นระเบิดใหม่”) ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวนี้ขัดแย้งกับข้อมูลในข่าวฉบับภาษามาเลย์ต้นทาง ประโยคในย่อหน้าที่ 8 ควรถูกแทนที่ทั้งหมด ด้วยประโยคแปลที่ถูกต้องดังต่อไปนี้

 “But the ASEAN observer teams in Thailand and Cambodia have reported that they were new landmines. I just got off the phone with the Thai Foreign Minister. My hope is for both sides to calm down and to continue the peace talk,” (แต่ทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียนในไทยและกัมพูชารายงานว่า เป็น #ทุ่นระเบิดใหม่... ผมเพิ่งวางสายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ผมหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสงบลงและเดินหน้าเจรจาสันติภาพต่อไป)

ส่วนนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) รายงานว่าทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบไม่ใช่ของใหม่ ซึ่งไม่ตรงกับคำกล่าวในภาษาต้นฉบับ และไม่ตรงกับหลักฐานความจริงซึ่งฝ่ายไทยตรวจสอบแล้วว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่โดยฝ่ายกัมพูชา ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา สำนักข่าว Bernama ได้ตรวจสอบและยืนยันว่าเกิดความผิดพลาดในการแปลถ้อยแถลงจากภาษามลายูเป็นภาษาอังกฤษจริง คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนในประเทศไทยและกัมพูชรายงานว่า “พบทุ่นระเบิดใหม่” ไม่ใช่ “ไม่พบทุ่นระเบิดใหม่” ดังที่แปลคลาดเคลื่อนก่อนหน้านี้

"พื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นทางลาดตระเวนเดิมของไทย ซึ่งทหารกัมพูชาเคยรุกล้ำเข้ามาวางกำลัง จึงสรุปได้ว่า ฝ่ายกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขอความระมัดระวังในการเผยแพร่ เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดทำให้ไทยเสียประโยชน์ รัฐบาลไทยต้องต่อสู้ถึงที่สุด" โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว

ช่องอานม้าพบทุ่นระเบิดอีก

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ปัจจุบันในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงมีการตรวจพบการใช้ทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้ (14 พ.ย.) ในพื้นที่บริเวณเนิน 677 ช่องอานม้า ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ในเขตเส้นปฏิบัติการของไทย หน่วยทหารในพื้นที่ได้ตรวจพบทุ่นระเบิดจำนวน 2 ทุ่น ซึ่งจากการพิสูจน์ทราบโดยชุดตรวจค้นทุ่นระเบิด พบว่าเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 สภาพใหม่ แต่ยังไม่ได้ถอดสลักนิรภัยออก  จึงได้ทำการเก็บกู้และบันทึกหลักฐานเพื่อดำเนินการรายงานต่อคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน AOT ต่อไป

สำหรับทุ่นระเบิดที่ตรวจพบ 2 ทุ่น วางห่างกันระยะประมาณ 50 เมตร โดยจุดที่ 1 อยู่บริเวณแนวลาดตระเวนของฝ่ายไทย และจุดที่ 2 อยู่ใกล้เคียงกับฐานปฏิบัติการเก่า บริเวณเนิน 677 ที่ฝ่ายไทยอยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ ซึ่งหากพิจารณาจากตำแหน่งที่ตรวจพบทุ่นระเบิดแล้ว สันนิษฐานว่าเป็นการเตรียมการวางทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชา เพื่อลอบทำร้ายฝ่ายไทยที่ลาดตระเวนบริเวณชายแดน หรือมีการเข้าไปปรับปรุงพื้นที่ในบริเวณดังกล่าว

"การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน และแสดงถึงเจตนาในการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารไทย" พล.ต.วินธัยกล่าว

โฆษก ทบ.ยังกล่าวถึงกรณีทางการกัมพูชา  รวมทั้งสื่อกัมพูชากล่าวอ้างทหารไทยยิงใส่พลเรือนบริเวณหมู่บ้านเปรยจัน จ.บันเตียเมียนเจย เมื่อ 12 พ.ย.68 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งว่า ขอตั้งข้อสังเกตหลายประการต่อกรณีนี้ 1.กรณีเรื่องศพประชาชนกัมพูชาที่กล่าวอ้างว่าถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์การปะทะ และได้ฌาปนกิจเสร็จสิ้นไปแล้ว ถือเป็นการกระทำที่ผิดวิสัย 2.หากกัมพูชาต้องการเรียกร้องความสนใจต่อสังคมโลกหรือกล่าวโทษต่อฝ่ายไทย ก็มักจะใช้วิธีเปิดเผยหลักฐานและประโคมข่าวใหญ่โต แต่กรณีศพผู้เสียชีวิตดังกล่าวกลับไม่กระทำเช่นนั้น 3.ทางการกัมพูชาควรออกมาชี้แจงในประเด็นที่ปรากฏคลิปวิดีโอการให้สัมภาษณ์ของผู้อำนวยการโรงพยาบาลสาธารณสุข จ.บันเตียเมียนเจย ระบุจากเหตุการณ์ปะทะผู้บาดเจ็บจำนวน 3 คน และไม่มีผู้เสียชีวิต 4.เมื่อสังเกตจากภาพที่ประชาชนกัมพูชาได้รับบาดเจ็บและนำส่งโรงพยาบาล พบว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

"ข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ล้วนยืนยันว่ากัมพูชาพยายามสร้างสถานการณ์ จัดฉากและสร้างภาพการละครในบทเหยื่อที่ถูกกระทำจากฝ่ายไทย ทั้งที่จริงๆ นั้นกลับเป็นผู้เริ่มดำเนินการละเมิดปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา และให้ข้อมูลบิดเบือนต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง กองทัพบกขอให้กัมพูชาหยุดการกระทำต่างๆ ที่จะสร้างความขัดแย้งและความเป็นปรปักษ์ในพื้นที่ชายแดนเพิ่มมากขึ้น" โฆษก ทบ.กล่าว

ขณะที่ พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติของกำลังพล หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 (ฉก.2) กองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อประเมินสถานการณ์ความมั่นคงและเตรียมความพร้อมในพื้นที่ที่ยังคงมีความอ่อนไหวและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด

แนะจับตาปราสาทตาควาย

แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เน้นย้ำให้กำลังพลทุกหน่วย ยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย ทั้งการลาดตระเวน การเฝ้าตรวจ การวิเคราะห์ข่าวกรองทางทหาร และการเตรียมความพร้อม ในการปฏิบัติตามแผนเฝ้าระวังภัยคุกคามทุกมิติ พร้อมทั้งให้หน่วยดำรงสภาพความพร้อมรบขั้นสูงสุด เพื่อป้องกันเหตุความรุนแรงและรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน

 “กองทัพภาคที่ 2 จะดำรงความพร้อมรบสูงสุด ในการปกป้องอธิปไตย และดูแลความปลอดภัยของประชาชนอย่างมั่นคงยั่งยืน ยืนยันจะดูแลผืนแผ่นดินไทย ไม่เสียแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว” แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุ

ที่กองทัพไทย มีการจัดประชุมชี้แจงและแสดงหลักฐานต่างๆ ในสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีผู้บังคับบัญชาของกองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกับผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้ข้อมูลสำคัญต่อคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย (Military Attache Corps to Thailand : MAC-T) จำนวน 18 ประเทศ

ทั้งนี้ การชี้แจงมุ่งเน้นประเด็นสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดน โดยเฉพาะกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่พิสูจน์ทราบแล้ว ทั้งหลักฐานเชิงประจักษ์และทางนิติวิทยาศาสตร์ว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ ในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจจากนานาประเทศ

ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงมุมมองต่อสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เนื่องจากทหารขาขาดเพิ่มอีกหนึ่งนายว่า ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่นายกฯ ได้ให้คำชี้แจงยืนยันไปแล้ว ส่วนบุคคลที่เราควบคุมตัวทั้ง 18 นาย ก็ยังไม่ให้ปล่อยตัวเชลยศึก ซึ่งตอนนี้เป็นการตอบโต้ในขั้นต้น ก็ชัดเจนอยู่แล้ว  และทางนายกฯ ได้กำชับให้ฝ่ายความมั่นคงดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องไปแล้ว ฉะนั้นฝ่ายความมั่นคงและเหล่าทัพต่างๆ ก็ต้องเตรียมจัดการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามสมควร

ถามถึงกรณีที่มีการระงับปฏิญญาสันติภาพไปก่อนนั้น พล.ท.บุญสินระบุว่า ก็น่าจะเหมาะสม เพราะเป็นเรื่องที่เราสูญเสียกำลังพล เราต้องแสดงออกถึงความเหมาะสม และไม่พอใจที่ลูกน้องเราโดนกระทำแบบนี้ ก็ต้องมีการตอบโต้อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว นอกจากการประท้วงด้วยเอกสาร

"เหตุยิงเข้ามาทางจังหวัดสระแก้วของฝ่ายกัมพูชา มองว่าอาจเป็นเกมอย่างหนึ่ง อาจเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อกลบข่าวกับระเบิดที่จังหวัดสุรินทร์ก็ได้ ผมคิดว่าจะมีนัยพอสมควร ส่วนจะยังมีการยั่วยุอีกหรือไม่ ก็ต้องรอดูว่าเจตนารมณ์ของผู้นำเขานั้นมีวัตถุประสงค์ต้องการอะไร" พล.ท.บุญสินระบุ

ถามว่า มองว่าพื้นที่สระแก้วจะลุกลามไปถึงพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 หรือไม่ พล.ท.บุญสินระบุว่า คงเป็นนโยบายของประเทศเดียวกันของเขมร ในความคิดของตนตามแนวชายแดนก็มีส่วนที่จะเชื่อมโยงสถานการณ์กัน และอาจจะมีส่วนหนึ่งที่ดึงความสนใจไปที่ปราสาทตาควาย ฉะนั้นทางรัฐบาลที่ได้ออกมาตอบโต้ในเรื่องของการงดปล่อยตัวเชลยศึก และการประณามต่างๆ ตนคิดว่าถูกต้องแล้ว

ที่อาคารอนาคตใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงกรณีท่าทีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย  ต่อกรณีที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นเสียขาจากกับระเบิดของกัมพูชาว่า ตนมีความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าท่าทีของนายกฯ ในขณะนี้เป็นท่าทีที่ขาดความละเอียดรอบคอบ อาจจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในสถานการณ์ความขัดแย้งล่าสุด เพราะไทยกลายเป็นฝ่ายประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพนี้เสียเอง แทนที่เราจะใช้โอกาสนี้ในการตอกย้ำพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของกัมพูชา โดยขอระดมความร่วมมือจากทั่วโลกในการกดดันอย่างเข้มข้น

เท้งเตือนหนูโหนกระแสชาตินิยม

นายณัฐพงษ์กล่าวว่า แทนที่เราจะประกาศฉีกสัญญาสันติภาพ นายกฯ ควรแสดงออกถึงความโกรธที่เกิดขึ้นต่อคนไทยในฐานะผู้นำประเทศ ด้วยการต่อสายตรงถึงตัวแทนจากประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซีย ให้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หรือต่อสายตรงถึงผู้นำสหรัฐอเมริกาโดยตรง ในฐานะสักขีพยานของข้อตกลงสันติภาพ เพื่อขอให้สหรัฐอเมริกาพิจารณาตัดความร่วมมือทางการทหารต่อกัมพูชา รวมถึงการใช้มาตรการกดดันอื่นๆ เช่น มาตรการทางภาษี เพื่อทำให้กัมพูชายุติพฤติกรรมที่ชั่วร้ายเหล่านี้ในทันที

หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวว่า เมื่อเกิดกรณีทหารไทยเกี่ยวกับระเบิดขึ้น แทนที่คุณอนุทินจะเร่งดำเนินการในปฏิบัติการให้โลกล้อมกัมพูชา ทั้งการละเมิดสัญญาสันติภาพและการผนึกกำลังนานาชาติในการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบกัมพูชาในทุกประตู แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีดำเนินการ กลับเลือกโหนกระแสชาตินิยม เพื่อปกป้องคะแนนนิยมของตัวเอง และกลบเกลื่อนการจัดการปัญหาสแกมเมอร์ รวมถึงกระบวนการการฟอกเงินที่กระทบรัฐบาลของคุณอนุทินในขณะนี้ ถ้าหากรัฐบาลยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ตนยืนยันว่ายังมีอีกหลายมาตรการที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้

 “ประเทศไทยในปัจจุบันเราต้องการตัวนายกรัฐมนตรีที่แสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ ตอบโต้อย่างมีสติและได้สัดส่วน และยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง มากกว่าการรักษาคะแนนนิยมของตัวเอง ขอเรียกร้องในการดึงสตินายกรัฐมนตรีให้กลับมา และเร่งดำเนินการตามมาตรการที่ผมแถลง” หัวหน้าพรรค ปชน.ระบุ

ขณะที่ รศ.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา  กล่าวถึงท่าทีรัฐบาลต่อปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาว่า สิ่งที่รัฐบาลดำเนินอยู่เป็นกระบวนการที่มีความละเอียดรอบคอบ มีเหตุผลรองรับ และเป็นแนวทางที่สอดรับกับหลักการเพื่อรักษาสันติภาพ และป้องกันผลกระทบแง่ลบที่ตามมาในระยะยาว  รัฐบาลต้องคำนึงหลายๆ มิติในการแก้ไขปัญหา  เข้าใจความรู้สึกและอารมณ์ของประชาชนในขณะนี้ ที่อยากจะให้รัฐบาลดำเนินการแบบเข้มข้น แต่รัฐบาลต้องประเมินสถานการณ์จากรอบคอบ การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมมีผลกระทบตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"การประกาศยกเลิกปฏิญญาที่เคยลงนามไว้ คือสัญญาณชัดเจนว่าไทยจะกลับมาแก้ปัญหาชายแดนด้วยตนเอง โดยไม่เปิดช่องให้มีการแทรกแซงจากต่างชาติ ซึ่งสะท้อนหลักการพื้นฐานของรัฐอธิปไตยว่าความเป็นอิสระของชาติต้องมาก่อนทุกอย่าง มาตรการที่ไทยใช้ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการไม่ส่งตัวเชลยกลับ การไม่ออกใบอนุญาตแรงงานเพิ่มเติม รวมถึงการปิดด่านตลอดแนว ถือเป็นแรงกดดันทางนโยบายที่มีพลังและเป็นระบบ ไม่ใช่การตอบโต้ด้วยอารมณ์" รศ.โอฬารกล่าว

นักวิชาการ ม.บูรพาชี้ว่า สิ่งที่ทำให้กัมพูชาต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น คือบทบาทของนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศหนุนหลังการตัดสินใจของกองทัพอย่างชัดเจน นี่คือความแนบแน่นระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ ซึ่งแตกต่างจากยุครัฐบาลก่อน ที่มีรอยร้าวปรากฏชัด การที่รัฐบาลชุดปัจจุบันและกองทัพมีจุดยืนตรงกัน ทำให้ท่าทีของไทยมีเสถียรภาพและชัดเจนขึ้นอย่างมาก จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้กัมพูชาต้องประเมินผลลัพธ์ให้ละเอียดกว่าเดิมในทุกการเคลื่อนไหว

ที่ จ.บุรีรัมย์ ปลัดอำเภอพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและ อส. ทำการฝึกความพร้อมสภาพร่างกายและยุทธวิธีต่างๆ ให้กับชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน หรือ ชรบ. ตามแนวชายแดนทั้ง 9 ตำบล 118 หมู่บ้าน รวมจำนวน 2,124  นาย ตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง 

ส่วน จ.สุรินทร์ ชาวบ้าน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ รายงานพบโดรนต้องสงสัยบินต่ำเหนือชุมชนหลายแห่งตามแนวชายแดน โดยมีการบันทึกภาพไว้ได้ชัดเจน.

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.