“นายกฯ” อวยพรปีใหม่คนไทย ขอทุกข์โศก-เคราะห์หมดไปปีนี้ เขินโดนถามปี 2569 ปีม้าจะขี่ม้าขาวนั่งนายกฯ อีกสมัยหรือไม่ บอกอยู่ที่ ปชช. สั่ง "รมต." เดินหน้าทำงาน หากเกียร์ว่างให้ปรับใหม่ ลั่นอย่ากังวลเครือข่ายยาเสพติดเชื่อมโยงใคร ชี้ยึดหลักปิดชื่อดูที่พฤติกรรม ใครเอี่ยวเปิดชื่อมาจัดเต็ม โพลรัฐสะท้อน ปชช.อยากเห็นนโยบายสร้างรายได้จากรัฐบาล “ครม.” เคาะแนวปฏิบัติ ขรก.ช่วงเลือกตั้ง กำชับวางตัวเป็นกลาง “เท่าพิภพ” ใช้ฤกษ์ 08.30 น. สมัครชิง สส.เขตบางพลัด บางกอกน้อย แทนผู้สมัครเทา “ปชป.” ซัด "หัวหน้าพรรคส้ม" ทำผิดซ้ำซากมีแต่คำขอโทษ “ยศชนัน” ปลื้มลงหาเสียงเจอกองเชียร์กอด "อ.เจษฎ์" ปูดทุนเทาอาจทุ่มแสนล้านเลือกตั้งครั้งนี้ "อีสานโพล” เผย “อนุทิน" คว้ารางวัลนักการเมืองแห่งปี
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 30 ธันวาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำสัปดาห์ โดยถือเป็นการประชุม ครม.นัดสุดท้ายของปี 2568 ซึ่งก่อนการประชุม นายอนุทินกล่าวอวยพรปีใหม่ว่า วันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของปี ต้องขอบคุณทุกฝ่าย แม้กระทั่งสื่อมวลชน ที่ช่วยกันนำเสนอข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับทราบว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง
“ผมจึงขอถือโอกาสนี้ กราบอวยพรปีใหม่ให้กับพี่น้องประชาชน ขอให้ทุกข์โศก เคราะห์ สิ่งร้ายๆ ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ก็ให้หมดไปกับปีใหม่ หรือขอให้หมดไปตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องรอข้ามปี และปีใหม่ 2569 เป็นปีม้า ก็ขอให้เป็นปีที่ทุกคนมีความคึกคัก โลดโผนโจนทะยาน กระโจนไปข้างหน้าด้วยความมั่นคงและแข็งแรง ประสบแต่ชัยชนะ มีความสุข มีสุขภาพที่ดี” นายอนุทินกล่าว
ถามว่า ปีหน้าเป็นปีม้า นายอนุทินจะขี่ม้าขาวเป็นนายกฯ อีกสมัยหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า อยู่ที่พี่น้องประชาชน
จากนั้นนายอนุทินเป็นประธานประชุม ครม. ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างเงียบเหงา มีรัฐมนตรีลาประชุม ครม. 10 คน คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์, นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา, นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รมช.คมนาคม, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ, นายอัครา พรหมเผ่า รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รมช.เกษตรและสหกรณ์, นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รมช.สาธารณสุข และนายองอาจ วงษ์ประยูร รมช.ศึกษาธิการ
น.ส.อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม ครม.ว่า นายกฯ กำชับ ครม.ยังรักษาการอยู่ จึงให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ฉะนั้น ครม.ยังทำหน้าที่ตามปกติ หากใส่เกียร์ว่างให้ปรับใหม่ ให้เดินหน้าทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะบางอย่างรัฐมนตรีต้องเซ็นอนุมัติเรื่องเร่งด่วนอยู่
ต่อมานายอนุทินให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดที่เชื่อมโยงนักการเมืองว่า อย่าไปกังวล จะเชื่อมโยงนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้านักธุรกิจหรือนักเลงที่ไหนก็แล้วแต่ ตอนนี้ตนและ ผบ.ตร. เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้ใช้หลักปิดชื่อถือพฤติกรรมที่ตนเคยมอบหมายไว้ให้ เพื่อที่จะทำงานด้วยความสบายใจและเต็มที่ เราไม่รู้ใครเป็นใคร แต่ต้องดำเนินการจับตามสำนวน ดูตามพฤติกรรมเส้นเงิน หลักฐานต่างๆ เปิดมาเจอใครก็จัดเต็ม
ถามว่า แต่ละพรรคการเมืองมีเรื่องเชื่อมโยงในลักษณะนี้ ก็เลยนำมาขิงกันไม่ได้ใช่หรือไม่ นายกฯ ย้อนถามว่า ตนเป็นคนสมัยใหม่ ขิง แปลว่าอะไร แต่ทางที่ดีที่สุดทุกพรรคการเมืองควรทำเหมือนพรรคภูมิใจไทย ที่ทำงานของตนเองไม่ต้องไปว่า ไม่ต้องไปขิงใคร โดยเฉพาะไปด้อยค่าหรือใช้วาทกรรมทำให้อีกฝ่ายเกิดความเสียหาย แต่ขอให้เอาเหตุผลเข้าว่ากัน จะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นมีความเข้มแข็ง มีความแฟร์ ไม่ชกใต้เข็มขัด
ปชช.ขอเห็นนโยบายสร้างรายได้
ซักว่า ที่โซเชียลมีเดียระบุถึงสโลแกนของพรรคประชาชนมีส้มไม่มีเทา ตอนนี้กลายเป็นดำไปแล้ว นายกฯ กล่าวว่า อย่ามาขิงกับตนแบบนั้น ไม่เอา แล้วแต่โซเชียลตัดสินใจ เมื่อถามถึงบรรยากาศการหาเสียงในขณะนี้เป็นอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า เหลือแค่ 38 วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง ขอให้ทุกฝ่ายเน้นเรื่องนโยบาย สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
เมื่อถามกรณีที่มีกระแสข่าวระบุบริษัทของนายเศรณี ชาญวีรกูล หรือเป๊ก บุตรชายนายกฯ ไปมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ระยะเวลา 25 ปี ในปี 2564 นายอนุทินได้ถามกลับว่า “ปีอะไรครับ” ก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะตอบว่า “ปี 2564” นายอนุทินกล่าวต่อว่า ดูให้ถูก ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าจะไม่ชี้แจงหรือ ไม่นายอนุทินตอบว่า ไม่ต้องชี้แจง เพราะไม่ใช่เรื่องของตน ตั้งแต่ปีอะไร ขอให้ไปดูใหม่ เพราะว่าคุณเป็นคนเขียนข่าวเอง และเขียนว่าปี 2561 ก่อนจะถามว่า “แล้วปี 61 ผมเป็นอะไร”
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังประชุม ครม.ที่นายอนุทินเดินลงจากตึกบัญชาการ 1 เพื่อทักทายสื่อมวลชน พร้อมทำท่า “พลัส” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการหาเสียงของพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ หลังการสัมภาษณ์ นายกฯ ทำท่าพลัสอีกครั้งก่อนจะกล่าวว่า “สวัสดีปีใหม่ครับ”
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม.ในช่วงบ่าย นายอนุทินได้ขับเครื่องบินส่วนตัวบินด่วนไปยังจังหวัดอุดรธานี เพื่อปฏิบัติภารกิจหัวใจติดปีกรับอวัยวะหัวใจจากผู้บริจาค เพื่อนำส่งให้ผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่าย ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยการเดินทางดังกล่าวเป็นภารกิจเร่งด่วน เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาในการขนส่งอวัยวะ นับเป็นหัวใจดวงที่ 153 ที่ได้ร่วมปฏิบัติภารกิจรับ-ส่ง เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤต และต้องได้รับการปลูกถ่ายอย่างเร่งด่วน โดยหลังเสร็จสิ้นภารกิจดังกล่าว นายอนุทินได้เดินทางกลับเพื่อปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่ราชการต่อไปตามกำหนดการ
น.ส.อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม ครม.ว่า ครม.มีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายของรัฐบาล พ.ศ.2568 ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความคาดหวังของประชาชนต่อนโยบายและการดำเนินงานของรัฐบาล ความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาของประเทศ และความพึงพอใจในชีวิตของประชาชน เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการติดตาม ประเมินผล และวางแผนกำหนดนโยบายเพื่อสร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมในการดำเนินชีวิตให้ประชาชนทุกคน ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลโดยส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไปสัมภาษณ์ประชาชนตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขนาดตัวอย่าง 5,000 ราย ระหว่างวันที่ 17-23 ต.ค.68 นำเสนอผลในระดับทั่วประเทศและภาค จำนวน 5 ภาค คือ กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้
โดย 1.ประชาชนร้อยละ 40.3 ความคาดหวังให้รัฐบาลนายอนุทิน ลดค่าครองชีพ/ควบคุมราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคในสัดส่วนที่สูงที่สุด รองลงมาได้แก่ ฟื้นฟูเศรษฐกิจและแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา 2.ประชาชนร้อยละ 86.8 ระบุรัฐบาลควรเร่งดำเนินนโยบายสร้างรายได้ ลดรายจ่ายในสัดส่วนที่สูงที่สุด 3.ประชาชนร้อยละ 31.0 มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาของประเทศในระดับมาก-มากที่สุด 4.ประชาชนตัวอย่างให้คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในชีวิต 7.10 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10.00 คะแนน
กำชับ ขรก.ปฏิบัติหน้าที่เป็นกลาง
ส่วน น.ส.ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.มีมติอนุมัติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง สส.และแนวทางปฏิบัติในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้ง โดยขอให้กระทรวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ และสนับสนุนการดำเนินงานของ กกต. ในการดำเนินการดังกล่าว เพิ่มเติมจากมติ ครม. เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.68 เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร และเรื่องการออกเสียงประชามติครั้งที่หนึ่งเพื่อให้ความเห็นชอบการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยแนวทางการปฏิบัติ 1.ให้บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่วางตัวเป็นกลาง 2.ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นหน่วยออกเสียง 3.ขอความร่วมมือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการช่วยตรวจสอบหน่วยเลือกตั้งทุกแห่งว่ามีความพร้อมสำหรับให้บริการคนพิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ หรือไม่ โดยเฉพาะครั้งนี้ที่มีจำนวนหน่วยเลือกตั้งเพิ่มมากขึ้น 4.ให้การสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการ 5.กรณีสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้หน่วยงานของรัฐจัดยานพาหนะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปยังที่เลือกตั้งและนำกลับไปจากที่เลือกตั้ง 6.กรณีสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้จัดให้มีการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงทะเบียนขอใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง
ขณะที่ เพจเฟซบุ๊ก "พรรคประชาชน" โพสต์ภาพนายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ผู้สมัคร สส.กทม. เขต 33 พรรคประชาชน ซึ่งลงสมัครแทนนายบุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ ที่ลาออกหลังถูกหมายจับคดีฟอกเงินเครือข่ายค้ายาเสพติด ได้ลงพื้นที่เขตบางพลัด-บางกอกน้อย ประเดิมหาเสียงวันแรก โดยมี ช่อ-พรรณิการ์ วานิช เป็นผู้ช่วยหาเสียง
พร้อมระบุว่า "ต้อนรับอบอุ่น! เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ผู้สมัคร สส.เขตบางพลัด บางกอกน้อย เบอร์ 11 ประเดิมหาเสียงวันแรกทันทีหลังยื่นใบสมัครกับ กกต.เรียบร้อย เมื่อ 08.30 น. วันนี้ โดยเดินพบปะประชาชนที่ย่านบางขุนนนท์ พบว่าประชาชนทั่วไปรับทราบข่าวการเปลี่ยนตัวผู้สมัครแล้ว และยินดีเลือกพรรคประชาชนยกบ้าน 2 ใบเหมือนเดิม พรรคประชาชนกราบขอบคุณทุกความเชื่อมั่นไว้วางใจที่ประชาชนยังคงมีต่อพรรค มีส้มไม่มีเทา เจอเทาเราจัดการทันที"
ว่าที่ ร.ต.สัมพันธ์ แสงคำเลิศ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (ผอ.กกต.กทม.) ชี้แจงข้อกฎหมายกรณีการเปลี่ยนตัวผู้สมัครของพรรคการเมืองในการสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งว่า ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.มาตรา 50 กำหนดไว้ว่า การสมัครรับเลือกตั้ง หากยังไม่สิ้นสุดการสมัครรับเลือกตั้ง เมื่อมีการสมัครแล้วสามารถถอนหรือเปลี่ยนแปลงได้ 3 กรณี คือ 1.ตาย 2.ขาดคุณสมบัติ และ 3.มีลักษณะต้องห้าม เท่าที่สอบถามจะเข้าลักษณะที่ผู้สมัครลาออกทำให้เป็นคนที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองนั้น จึงเป็นการขาดคุณสมบัติตามมาตรา 41 (3) อันนี้จะดำเนินการ กรณีนี้ทำไพรมารีโหวตมาแล้ว พักดำเนินการจัดส่งผู้สมัครเป็นการถอน และเปลี่ยนแปลง โดยได้หมายเลขเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมคือเสียค่าสมัครใหม่ 10,000 บาท
นายชนินทร์ รุ่งแสง อดีต สส.กรุงเทพฯ เขตบางพลัด บางกอกน้อย ในฐานะผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ย้อนถามถึงกรณีที่พรรค ปชน.ส่งนายเท่าพิภพ แทนผู้สมัครเดิมที่พัวพันกับคดียาเสพติดและการฟอกเงินว่า อะไรคือมาตรฐานการทำงาน และจริยธรรมของพรรคการเมืองที่เป็นความหวังการเปลี่ยนแปลงประเทศ และเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ และควรคิดถึงหัวใจ และเห็นหัวคนในเขตที่จะเลือกตั้งที่ 33 กรุงเทพฯ บางพลัด และบางกอกน้อย
จี้ ปชน.รับผิดชอบผู้สมัครเทา
"อะไรคือความรับผิดชอบ มีแต่คำขอโทษ แล้วความรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำผิดอยู่ตรงไหน ตั้งแต่หัวหน้าพรรคออกมาขอโทษเรื่องที่พรรคไปยกมือให้คุณอนุทินเป็นนายกฯ แล้วสุดท้ายสิ่งตกลงไว้ ก็ไม่ได้ประโยชน์ตามที่ตกลงไว้อย่างชัดเจนแท้จริง” นายชนินทร์กล่าว
ที่ตลาดวัดเกาะ เขตสายไหม กทม. นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค พท. และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค น.ส.รัตติกาล แก้วเกิดมี ผู้สมัคร สส.กทม.เขต 11 รวมถึงผู้สมัคร สส.กทม. พรรค พท. อีกหลายเขตลงพื้นที่หาเสียง โดยเมื่อนายยศชนันมาถึงได้เดินพบปะพูดคุย พร้อมแนะนำตัวผู้สมัครและหมายเลขปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค พท. ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึก ทั้งนี้ มีแม่ค้ารายหนึ่งได้เข้ามาสวมกอดนายยศชนัน พร้อมกับหอมแก้มด้วย ทำให้นายยศชนันถึงกับยิ้มเขิน
นายยศชนันกล่าวถึงกลยุทธ์หาเสียงว่า จะเน้นความเข้าใจปัญหาของประชาชนในพื้นที่ ผู้สมัครแต่ละคนได้สื่อสารแนวนโยบาย พบว่าหลายนโยบายของพรรค พท.โดนใจพี่น้องประชาชน สิ่งที่สำคัญคือการทำให้นโยบายเกิดขึ้นทันทีหลังได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งในการลงพื้นที่หาเสียง ได้รับการตอบรับจากประชาชนดีมากในการหาเสียง สิ่งสำคัญประชาชนเริ่มจดจำนโยบายของพรรค พท.ตั้งแต่นโยบายที่เคยทำมาก่อน รวมถึงนโยบายที่ทำขึ้นใหม่ แสดงให้เห็นถึงการสื่อสาร ว่าเป็นนโยบายที่เข้าถึงประชาชน แนวทางนโยบายคือการลดรายจ่าย หากเศรษฐกิจดีรายได้เพิ่มขึ้นรายจ่ายน้อยลง และมีนโยบายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
“อีกอันหนึ่งเกี่ยวกับหนี้ ทุกคนยังมีปัญหาเรื่องนี้อยู่ จะต้องทำเรื่องนี้ก่อน และอีกตัวหนึ่งที่ทำได้เลย และเป็นความแตกต่าง คือการทำนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สามารถทำได้เลย เรื่องเกี่ยวกับการคมนาคมขนส่งในจุดที่ไม่มีรถไฟฟ้า จะเป็นฟีดเดอร์ที่สามารถยึดโยงได้ เป็นเรื่องราคา 10 บาท เป็นนโยบายที่สำคัญและประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี” นายยศชนันกล่าว
ส่วนนายจุลพันธ์เสริมว่า หลังจากนี้จะปล่อยนโยบายออกมา ซึ่งไม่ใช่นโยบายลักษณะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่เป็นเรื่องสวัสดิการของประชาชน จะเป็นนโยบายใหญ่และจะตอบโจทย์ประชาชน เพื่อให้คนไทยพ้นจากความยากจน เมื่อถามถึงปัญหาพรรคคู่แข่งมีการเปลี่ยนตัวผู้สมัครใน กทม.
นายจุลพันธ์กล่าวว่า พรรค พท.พยายามคัดสรรอย่างดีที่สุด และมองการคัดสรรของพรรค ปชน.อาจเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ จะต้องมีการปรับแก้เอง ยอมรับห่วง 2 เรื่อง คือกรณีหาก กกต. ดำเนินการให้เปลี่ยนแปลงผู้สมัครได้ และสองเมื่อเปลี่ยนตัวแล้วต้องให้ประชาชนพิจารณา ว่าผู้สมัครและพรรคการเมืองใดตอบโจทย์ประชาชน
“หลักคิดไม่ให้มีการเปลี่ยนหลังจากสมัคร ในอดีตเคยมีการใช้อามิสสินจ้าง ไปขอกดดันเพื่อให้ผู้สมัครถอนตัวเกิดขึ้นได้หากเราเปิดช่องนี้ในอนาคตอาจจะเกิดปัญหาที่ใหญ่กว่า ในพรรคเพื่อไทยดู แล้วกระบวนการสมัครเมื่อสมัครแล้วไม่ควรมีการถอนตัวได้” นายจุลพันธ์กล่าว
ส่วนพรรครักชาติ (รช.) นายเจษฎ์ โทณะวณิก แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค รช. กล่าวถึงสถานการณ์การแทรกแซงทางการเมืองของกลุ่มทุนสีเทาว่า ล่าสุดมีการอายัดทรัพย์กลุ่มทุนสีเทากลุ่มหนึ่งมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งได้รับข้อมูลมาว่าเป็นเพียงร้อยละ 10 ของเม็ดเงินจริงที่เตรียมไว้สำหรับสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ โดยยอดรวมอาจสูงถึง 1 แสนล้านบาท
“หากมีเงิน 1 แสนล้านบาท สามารถซื้อคนได้ถึง 100 ล้านคน ในราคาคนละ 1,000 บาท แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ถึงจำนวนดังกล่าว และหากนับเฉพาะผู้มาใช้สิทธิจริงประมาณกว่า 30 ล้านคน การซื้อเสียงเพื่อให้ได้เสียงข้างมาก (ประมาณ 60% ของผู้มาใช้สิทธิ) จะทำให้อัตราการจ่ายเงินพุ่งสูงถึงหัวละ 3,000-4,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่กลุ่มทุนเหล่านี้สามารถจ่ายได้จริง" นายเจษฎ์ระบุ
วันเดียวกัน อีสานโพล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง รางวัลแห่งปีของคนอีสาน ประจำปี 2568 เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคนอีสานเกี่ยวกับบุคคล องค์กร และผลงานที่มีความโดดเด่นที่สุดแห่งปี ในสาขาต่างๆ 13 รางวัล ซึ่งคณะทำงานได้ลงพื้นที่การสำรวจระหว่าง 18- 21 ก.ค.2568 และ 19-25 ธ.ค.2568 จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 2,203 ราย ในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด โดยการสำรวจนี้จะให้ชาวอีสานเสนอชื่อบุคคลหรือองค์กรหรือผลงานที่สมควรได้รับรางวัลแห่งปีแบบปลายเปิด ไม่มีตัวเลือกให้ ซึ่งจากการประมวลผล พบว่า คะแนนสูงสุด 3 อันดับแรก แต่ละรางวัล ประกอบด้วยนักการเมืองแห่งปี ปีนี้ตกเป็นของนายอนทุิน ด้วยคะแนนร้อยละ 18.3 รองลงมาคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ 15.6 และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 13.3
โดยร้อยละ 15.3 เห็นว่ายังไม่มีผู้เหมาะสม อันดับ 4 คือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 6.62 ขณะที่บริษัท/องค์กร/รฐัวิสาหกิจเพื่อสังคมแห่งปีอันดับ 1 คือ ธนาคาร ธ.ก.ส. ร้อยละ 12.4 ตามด้วย มูลนิธิกระจกเงา ร้อยละ 11.8 และบริษัท ปตท. ร้อยละ 9.3 รายชื่ออื่นๆ ร้อยละ 46.8.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พระราชทานพรปีม้า เรี่ยวแรงดีสุขกายใจ
"กรมสมเด็จพระเทพฯ" อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงบาตรเนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2569
พ้น72ชม.ไม่วางใจ สั่งปีใหม่คุมเข้มชายแดน เขมรยังปล่อยโดรนป่วน
ครบกำหนดหยุดยิง ไร้ปะทะ แต่กัมพูชาส่งกำลังบำรุง-ปล่อยโดรนตลอดแนวชายแดน ละเมิดข้อตกลง
เศรษฐกิจโต2.2% ธปท.-ปปง.ตั้งทีม สอบธุรกรรมทอง
"แบงก์ชาติ" เคาะจีดีพีปี 68 โตแน่ 2.2% ชี้เศรษฐกิจเดือน พ.ย.ยังขยายตัว
เตือน‘สายตี้’โดนหนัก สกัดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่
เปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569
ฉายาสภาสูง‘รังของหนู’
ฉายาสภา 68 “รังหนอนสีเทา” ขณะที่สภาสูงคือ “รังของหนู”
ขา11เซ่นหยุดยิง ‘ฮุน’ยื่นถกเขตแดน
“ขาที่ 11” หลังหยุดยิง ทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ “เขาสัตตะโสม” เขมรยังส่งโดรน 250 ลำก่อกวน

