
'ดร.ธีรภัทร์' ย้อนอดีตที่มาของวาระ 8 ปี เผยเป็นประเพณีทางการเมืองตั้งแต่ปี 2550 แล้ว แม้ศาลตีความให้ลุงตู่อยู่ยาว แต่หากอยากให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าก็ควรแสดงสปิริตลาออก
11 ส.ค.2565 - ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นักวิชาการประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ขอคุยด้วยคน ว่าด้วยวาระ 8 ปี” ระบุว่า ผมไม่รู้ว่าจะมีคนเคยเสนอก่อนผมหรือไม่ แต่เท่าที่ทราบ ผมเป็นคนแรกที่เสนอให้จำกัดการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ที่ตัวเลข 8 ปีหรือไม่เกินสองสมัยของการเลือกตั้งเมื่อครั้งที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2549
จำได้ว่าผมได้รับเชิญไปอภิปรายที่ห้องประชุมองค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนิน โดยสถาบันพระปกเกล้า หัวข้อเกี่ยวกับการพัฒนาการทางการเมืองของไทย ก่อนอภิปรายผมขอถอดหัวโขนจากตำแหน่งรัฐมนตรี ขอพูดในนามนักวิชาการทางรัฐศาสตร์ การพูดในวันนั้นมาจากแรงบันดาลใจเพราะประทับใจในสปิริตของนายพลจอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาเมื่อท่านดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครบสองวาระ 8 ปี แม้รัฐธรรมนูญของสหรัฐในขณะนั้นจะยังไม่มีข้อบัญญัติให้ประธานาธิบดีห้ามเป็นเกินกว่าสองสมัยติดต่อกันก็ตาม ท่านแสดงตนเป็น "รัฐบุรุษ" ที่ประกาศไม่ขอลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปเป็นสมัยที่ 3 ด้วยคำกล่าวที่ว่า "หากให้ข้าพเจ้าลงสมัครต่อไป ข้าพเจ้าจะไม่ได้เป็นประธานาธิบดี แต่ข้าพเจ้าจะกลายเป็นจักรพรรดิแทน"
และการปฏิบัติดังกล่าวของท่าน ได้กลายเป็นประเพณีทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา สำหรับผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อๆมาได้ยึดถือปฏิบัติตาม คือเป็นไม่เกินสองสมัยติดต่อกันหรือ 8 ปี
ผมจึงนำมาเสนอในเวทีของสถาบันพระปกเกล้าเมื่อประมาณปลายปี 2549 หรือต้นปี 2550 ในช่วงที่สภาร่างรัฐธรรมนูญกำลังเตรียมจัดทำรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการบัญญัติหลักการนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 และจำกัดเวลาของการดำรงตำแหน่งไว้ทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเมื่อหนังสือพิมพ์นำไปพาดหัวข่าวใหญ่เท่านั้น ผมก็ถูกพวกนักการเมืองทั้งหลายรุมกันด่าว่าวิพากษ์วิจารณ์สารพัด และกล่าวหาเกินเลยความจริงว่าเป็นข้อเสนอของรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหารที่จะมาจำกัดอำนาจของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ผมพูดในฐานะนักวิชาการ ที่ถอดหัวโขนตำแหน่งทางการเมือง แต่สื่อมวลชนก็ไม่ได้จำแนกเอาไว้
ก็ไม่เป็นไรแม้จะถูกด่าว่าจากบรรดานักการเมือง ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะภายหลังปรากฏว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญได้นำไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 จำกัดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้เพียงตำแหน่งเดียว ไม่รวมตำแหน่งรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ทั้งหมดก็ตาม ตำแหน่งเดียวก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
และต่อมารัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2560 ก็นำมาบัญญัติไว้ต่อเนื่องกันมา จนน่าจะกลายเป็นประเพณีทางการเมืองไปแล้ว
ดังนั้น มาถึงประเด็นของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะครบ 8 ปีในวันที่ 23 สิงหาคมที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้ เมื่อนับรวมตั้งแต่เริ่มยึดอำนาจแล้วเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเข้าใจว่ามีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าจะครบ 8 ปีเมื่อไร จะครบ 8 ปีในวันที่ 23 สิงหาคมนี้หรือจะครบ 8 ปีเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ในปี 2568 หรือจะครบ 8 ปีนับจากการประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งพลเอกประยุทธ์หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2562ในปี 2570
ผมไม่อาจทราบหรือก้าวล่วงการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ (ที่ความน่าเชื่อถือค่อนข้างน้อย) แต่ในทรรศนะส่วนตัว และ (อาจกล่าวอ้างได้ว่า) เป็นคนแรกที่เสนอการจำกัดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ ผมคิดว่าการเมืองไทยจะพัฒนาการหรือยกระดับมาตรฐานทางการเมืองอย่างชัดเจนว่าประเทศเราจะเป็นประชาธิปไตยเชิงคุณภาพได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจครั้งนี้
ทรรศนะของผมคือ การจำกัดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ที่ 8 ปีได้กลายเป็นประเพณีทางการเมืองของประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ที่ชาวไทยทุกคนควรช่วยกันรักษาไว้ และกระแสสังคมก็ดูเหมือนจะตอบรับในประเด็นนี้
ประเพณีทางการเมืองดังกล่าวจึงเป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 และเป็นเป้าหมายที่ไม่ต้องการให้บุคคลใดก็ตามที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะมาโดยการยึดอำนาจหรือมาจากการเลือกตั้งจะต้องไม่อยู่ในตำแหน่งเกิน 8 ปีเป็นอันขาด
ผมจึงขอเสนอว่าศาลรัฐธรรมนูญควรยึดถือประเพณีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ให้พลเอกประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินวันที่ 23 สิงหาคมนี้ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นอื่น พลเอกประยุทธ์ ก็ควรแสดงสปิริตทางการเมืองโดยการประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 23 สิงหาคมนี้เช่นกัน ซึ่งจะเป็นการก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างสง่างาม
ผมอาจฝันเกินความจริง แต่อยากเห็นการเมืองไทยก้าวไปข้างหน้าได้เสียทีหนึ่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มติเอกฉันท์! ศาลรธน. ไม่รับคำร้อง 'เรืองไกร' กล่าวหารัฐสภาแก้ รธน.ล้มล้างการปกครอง
‘ศาลรธน.’ มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง ‘เรืองไกร’ ปมกล่าวหาประธานรัฐสภา–สมาชิกรัฐสภาใช้สิทธิล้มล้างการปกครอง ชี้การประชุมร่วมแก้รัฐธรรมนูญยังไม่ปรากฏพฤติการณ์เข้าข่ายมาตรา 49 แม้อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการแต่ผู้ร้องมีสิทธิเข้าศาลโดยตรงก็ตาม
'วราเทพ' เปิดใจอยากกลับบ้านเก่ามานานแล้วโวกวาด สส.กำแพงเพชรยกจังหวัด!
'เพื่อไทย' เปิดตัวผู้เสนอตัวลงสมัคร สส.ล็อตใหม่เพิ่ม 3 เขต 'วราเทพ' ลั่น พท.เป็นพรรคอันดับหนึ่งที่ประสบความสำเร็จสูง บอกอยากกลับบ้านที่เคยอยู่นานแล้ว มั่นใจได้ 4 เขตไปรวม 200 ตาม 'สุริยะ' ตั้งเป้า
คนเสื้อแดงกินแห้ว! ศาล รธน. ไม่รับวินิจฉัย ปม MOA 'ภูมิใจไทย-ปชน.'
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่นายนิยม นพรัตน์ (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ผู้ถูกร้องที่ 1) และนายณัฐพงษ์
ลุ้นกันยาวๆ 24 ธ.ค.ศาล รธน.นัดไต่สวนพยานคดี 'ภูมิธรรม-ทวี' จุ้นคดีฮั้ว สว.
ศาล รธน.นัดไต่สวนพยานคดีสถานะ 'ภูมิธรรม-ทวี' จุ้นคดีฮั้วเลือก สว. 24ธ.ค.นี้ พร้อมไม่อนุญาต 'สราวุธ' ถอนตัวจากการพิจารณาคดี
'จรัญ' เตือนแก้รธน.อย่าเซาะกร่อน หมวด 1-2 ต้องมี ทริปเปิลวิน ชนะไปพร้อมกัน
'จรัญ' มอง 'สูตร 20 หยิบ 1' เลือก กมธ.ร่าง รธน. ประนีประนอมทุกฝ่าย ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาล รธน. เตือนอย่าเซาะกร่อน หมวด 1 หมวด 2 หวั่น มีปัญหากับคนไทย ชี้ การทำ รธน.ฉบับใหม่ ต้องมี ทริปเปิลวิน ทั้ง 'ข้างมาก-ข้างน้อย-ประชาชน' ชนะไปพร้อมกัน
'บุญสิน' นั่งเก้าอี้ผอ.4ส. 'จนท.รัฐ' ต้องลุยพื้นที่สร้างสันติสุข
“อิสระ“ เปิดตัว “บุญสิน” ผอ.หลักสูตร 4ส สถาบันพระปกเกล้า เ ชี้ ทางสร้างสังคมสันติสุข เจ้าหน้าที่รัฐต้องลงพื้นที่จริงมากกว่านั่งโต๊ะทำงานแม้จะอันตรายมาก


