ดร.ณัฎฐ์ ฟาด 'ปิยบุตร' จุ้นจัดตั้งรัฐบาล ชี้เข้าข่ายครอบงำ-ยุบพรรคก้าวไกลได้

ปมตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร  'ดร.ณัฎฐ์' มือกฎหมายมหาชนคนดัง ฟาด 'ปิยบุตร' จุ้นฟอร์มทีมรัฐบาลพิธา เข้าข่ายลักษณะการชี้นำ ครอบงำพรรคการเมือง นำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกลได้

24 พ.ค. 2566 - ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ ดร.ณัฎฐ์ นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงกรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในเฟชบุ๊ก ถึงกรณีโควตาประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นของพรรคก้าวไกล ว่า ผู้ช่วยหาเสียงตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ว่าด้วยวิธีการหาเสียงฯ สิ้นสุดไปตั้งแต่วันเลือกตั้ง ทำให้นายปิยบุตร สิ้นสุดสถานะความเป็นผู้ช่วยหาเสียงตั้งแต่ วันที่ 14 พ.ค.2566 เป็นต้นไป

ขณะนี้นายปิยบุตร ไม่มีสถานะเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลแล้ว และนายปิยบุตรอยู่ในระหว่างถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองโดยศาลรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดๆได้รวมถึงพรรคก้าวไกล และก่อนหน้านี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และนางสาวพรรณิการ์ วาณิช อดีต กก.บห.พรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ไปนั่งร่วมโต๊ะอาหาร เจรจากับ 8 พรรคการเมือง เพื่อฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลพิธา อย่าบอกนะว่า เหตุบังเอิญ ไปกินข้าวด้วย เพราะประชาชนเขาจะหัวเราะเอา มันใช่เวลาไหม เพราะกฎหมายพรรคการเมือง ห้ามบุคคลที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้น ไปครอบงำ สั่งการ พรรคการเมือง

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่าส่วนการโพสต์หรือการแสดงความคิดเห็นไม่ได้เป็นการให้ความเห็นทางวิชาการ แต่เนื้อหา เป็นลักษณะการชี้นำ ครอบงำพรรคก้าวไกลโดยชัดแจ้ง การโพสต์ระบุถึงรายละเอียด MOU การยอมถอยให้พรรคการเมืองอื่น การประนีประนอมเพื่อแลกกับการฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกลให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงโควตาตำแหน่งประธานรัฐสภาต้องเป็นของพรรคก้าวไกล

"ผมมองว่า เป็นละอ่อนทางการเมือง การเรียนจบปริญญาเอกทางกฎหมายมหาชน ประเทศฝรั่งเศส ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย เพราะลืมตัว กลัวเสียตำแหน่ง การโพสต์ข้อความในลักษณะในนามเลขาธิการคณะก้าวหน้า ทำให้เห็นภาพเชื่อมโยง เป็นเนื้อเดียวกับพรรคก้าวไกล แยกไม่ออกจากกัน ขณะนี้ นายปิยบุตรไม่มีสถานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลแล้ว การชี้นำ ครอบงำพรรคก้าวไกล มีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายพรรคการเมือง เพราะเป็นบทห้าม หากฝ่าฝืน นำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกลได้" ดร.ณัฐวุฒิ ระบุ

ถามว่า เหตุใด นายปิยบุตรออกมาทวงโควตาประธานสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นของพรรคก้าวไกล ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษราษฎร กำหนดเกมทุกอย่างในสภา โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา ถือเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนประธานวุฒิสภา เป็นรองประธานรัฐสภา เป็นตัวแปรเล่ห์เหลี่ยมแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลผสม ส่งผลในการควบคุมเกมสมาชิกวุฒิสภาในการโหวตเสียงให้กับนายพิธาด้วย

นักกฎหมายผู้นี้ กล่าวต่อว่า ตำแหน่งนี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดว่า นายพิธาจะไปถึงตำแหน่งนายรัฐมนตรีหรือไม่ หากยกตำแหน่งนี้ ให้กับพรรคเพื่อไทย ไม่มีหลักประกันอะไรว่า เพื่อไทยจะไม่บิดพลิ้วทางการเมือง เพราะง่ายต่อการยกขึ้นกล่าวอ้างในการโหวตเลือกนายพิธา ว่า เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภา เพราะหากเบี้ยวกลางคัน ผลทางกฎหมาย ประการแรก ขณะเสนอรายชื่อคู่แข่ง คู่แข่งอาจเสียบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลางคัน แก้เกมไม่ทัน เรียกว่าแซงทางโค้ง รัฐบาลเสียงข้างน้อยย่อมเกิดขึ้นได้( ส.ส.ในสภาไม่ถึง 251 เสียง)

ประการที่สอง หากเสียงไม่ครบ 376 เสียง ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้รัฐบาลรักษาการอยู่ยาว หากเทียบเคียงกับรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีนายชวน หลีกภัย จากพรรคประชาธิปัตย์ มานั่งประธานสภาผู้แทนราษฎร คนละพรรคการเมือง สามารถกระทำได้ หากมีสัจจะทางการเมือง แต่สัจจะไม่มีในหมู่โจร

ทั้งนี้ตนตั้งข้อสังเกตว่า MOU เน้นเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบาย ไม่ได้พูดถึงการต่อรองทางตำแหน่งทางการเมือง แสดงว่า นายปิยบุตรไม่ได้อ่านไลน์กลุ่ม ไปคนละทิศทาง ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นตำแหน่งทางการเมือง MOU ยอมถอย แม้ประนีประนอม คือ การละทิ้งอุดมการณ์ เพื่อแลกกับการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ อย่างไร อย่าลืมว่า พรรคก้าวไกลมีเพียง 152 เสียง หากพรรคเพื่อไทย 141 เสียง ถอนตัว แล้วหันไปจับขั้วกับพลังประชารัฐ ตามกระแสข่าวที่แพร่สะพัดมาตลอด การฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลพิธาก้าวไกลจบข่าวทันที เป็นฝ่ายค้านโดยปริยาย

ดังนั้น ระยะเวลาเร็วเกินไปจะไปสรุปว่า พรรคก้าวไกลฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จหรือไม่ การสร้างอีเวนท์รายวันไปพบภาคอุตสาหกรรมของนายพิธา อาจเป็นข้อดีในการรับฟังความคิดเห็นของภาคอุตสาหกรรมของประเทศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล แต่ตนแนะนำว่าควรเอาเวลาไปอ้อนวอน ผูกมิตรกับสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ก่อนอันดับแรก เพื่อรวบรวมเสียงมาเติมให้ครบ 376 เสียงก่อน ส่วนภาคประชาชนชนผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล จัดตั้งม็อบหน้ารัฐสภาวานนี้ เพื่อกดดันให้ ส.ว.โหวตเลือกนายพิธา เป็นนายกฯ วิธีการนี้ใช้ไม่ได้ผล ไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะเอกสิทธิ์ในการโหวตเลือกนายกฯ เป็นดุลพินิจเด็ดขาดตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งการแก้ไขมาตรา 112 เป็นหนึ่งในร่างกฎหมาย 45 ฉบับที่ก้าวไกลจะเสนอเปิดประชุมครั้งแรก แม้ไม่ได้ระบุใน MOU จะเป็นตัวบดขยี้ก้าวไกลและเป็นไฮแจ็คพลิกเกมทางการเมือง

ส่วนที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย เปิดเผยไทมไลน์ระยะเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่นั้น ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่ากรอบระยะเวลาเป็นไปตามกลไกลรัฐสภา ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่หากระยะเวลาที่กำหนดไว้เบื้องต้น ไม่อาจตั้งรัฐบาลได้ หมายความว่า พรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสมไม่อาจรวบรวมเสียงทั้ง ส.ส.และ สว.ให้ครบ 376 เสียงขึ้นไป จะทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีรักษาการไปจนกว่า จะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยไม่เกิดสุญญากาศทางการเมือง จะเห็นได้จาก การปรับย้ายกำลังพลของกองทัพ ประจำปี 2567 ทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง เป็นอำนาจเด็ดขาดตามกฎหมาย ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจาก กกต.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ยัน ร่วมโต๊ะอาหารเที่ยงกับ 'เอกนัฏ'

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันกับนายกรัฐมนตรีและคณะ

'ดร.อานนท์' ชงสูตรการเมืองทำลาย 'ก้าวไกล-ธนาธร' เชื่อยอมเจ็บเถิด จะได้จบ

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า

'ทวี' ยันไม่เคยได้ยิน เพื่อไทยจะเอาตำแหน่งประธานสภาฯ

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีมีกระแสว่าพรรคเพื่อไทยจะขอเก้าอี้ประธานสภา ว่า รัฐธรรมนูญได้มีการเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนถึงการเข้าดำรงตำแหน่งประธานสภาว่าเป็นเรื่องของสภา ส่วนเรื่องคณะรัฐมนตรีนั้นเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี