'หมอพลเดช' เตือนด้อมส้มเลิกกร่างก่อนลากพรรคพังแนะให้มีสปิริตผู้ชนะ

ส.ว.เตือน 'ด้อมส้ม' เลิกพฤติกรรมหยุดไล่บี้-ล่าแม่มด ผวาเหมือนเรดการ์ด! เตือน 'พิธา-ก้าวไกล' เข้าไปเป็นรัฐบาล เจอแน่ปีศาจในรายละเอียด เพราะนโยบายหาเสียงไว้ สุดท้ายแค่สร้างฝันในอากาศ

25 พ.ค.2566 – นพ.พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงเรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรีของ ส.ว.โดยเฉพาะมี ส.ว.หลายคนบอกว่าจะไม่ลงมติสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.)เพราะมีนโยบายจะเสนอแก้มาตรา 112 ว่าในตอนหาเสียงเรียกว่าเป็นยกที่1 มันเป็นกลยุทธ์ของเขาที่ก็ต้องเสนอคืออารมณ์ของคนในสังคมที่ต้องการเปลี่ยน ซึ่งการที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่าคุณต้องการเปลี่ยน ก็ต้องเสนอนโยบายที่ชัดเจนและแตกต่าง ที่จะทำให้เห็นว่าคุณจะเปลี่ยนจริง เพราะฉะนั้นนโยบายที่เสนอมาจึงสุดขั้ว ก็เป็นเรื่องปกติ เป็นแทคติกในการต่อสู้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง แต่เมื่อผ่านยกที่หนึ่งมาแล้ว เข้าสู่ยกที่สอง ในการตั้งรัฐบาล เมื่อไม่สามารถตั้งได้พรรคเดียวก็ต้องหาเพื่อน ทำให้ต้องเริ่มปรับจากสุดขั้วก็ต้องประนีประนอม ซึ่งการเมืองลักษณะหนึ่งมันเป็นเรื่องของการประนอมอำนาจ และประนอมผลประโยชน์กัน จะเอาตัวเองคนเดียวไม่ได้ เพราะมันจะเป็นเผด็จการความคิดทางนโยบายและอะไรต่างๆ

นพ.พลเดช กล่าวต่อไปว่า เขาก็ต้องปรับตัว พรรคนี้เขาก็ต้องเรียนรู้ เพราะการจะทำงานที่ยาก งานใหญ่ๆ มันทำคนเดียวไม่ได้ เหมือนที่เขาว่านกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน มันบินไม่ได้ นกมันบินไม่ได้ คนก็ทำงานไม่สำเร็จ ถึงต้องเรียนรู้จากชีวิตจริงแล้วค่อยๆ ปรับ ในยกที่สองอยากเห็นการปรับของเขา แล้วเขาก็ควรปรับ เพราะความจริงหลายเรื่องที่เขาพูด มันก็เป็นเรื่องดี หลายคนอยากเห็น แต่หลายคนไม่กล้าพูด อันนี้ไม่ได้พูดเรื่อง 112 แต่เรื่องอื่นเช่น กระจายอำนาจ เลือกตั้งผู้ว่าฯ เรื่องสุราพื้นบ้าน พวกนี้มันลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม ไม่ให้มีการผูกขาด แต่มันต้องเป็นทางสายกลาง เพราะหากทางสายสุด มันจะไปได้ไม่ไกล เพราะก็จะมีสุดอีกขั้วหนึ่ง คอยขัดขา คอยโจมตี เพราะฉะนั้นเขาต้องปรับ แต่จะกลางมากหรือกลางน้อย ก็แล้วแต่เรื่อง

นพ.พลเดชกล่าวต่อว่า อยากเห็นเขา(พรรคก้าวไกล) มีการปรับ นอกจากปรับในท่าทีของผู้นำในพรรคที่จะไปอยู่ในสภาแล้ว เรื่องของท่าทีการพูด การปฏิบัติ หากปรับให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความเป็นสุภาพชนมากขึ้น จะดี เมื่อเขาเข้าไปอยู่ในสภา หากปรับได้ เขาจะสามารถสร้างพันธมิตรในสภาล่างที่มี 500 เสียง ในการทำงานเรื่องใหญ่ๆ ได้ รวมถึง ส.ว.ก็จะสนับสนุน

“เรื่องพฤติกรรมของคนที่เป็นสาวก คนที่เป็นกองกำลังในช่วงของการสู้รบเพื่อเอาชนะกัน ตอนนี้มันผ่านไปแล้ว แต่วันนี้ถ้าคุณยังไม่เข้าใจตรงนี้ คุณยังไปไล่บี้ ไปล่าแม่มด ทำนั่นทำนี่ สุดท้าย บังลังก์แชมป์ของคุณจะถูกทำลายด้วยกระบวนการพวกนี้ มันจะกลับมาทำลายคุณระยะยาว ไปอีกสักระยะหนึ่งมันจะเป็นเรดการ์ดไปแล้ว อันนี้พูดด้วยเมตตาธรรม ต้องปรับ เพราะหากปรับจะทำประโยชน์ให้กับประเทศได้มากกว่านี้อีก ก็ห่วงพวกนี้จะทำพัง”ส.ว.ผู้นี้ระบุ

นพ.พลเดช กล่าวต่อไปว่า ต้องเตือนไปยังผู้นำเขาว่าคุณชนะแล้ว สปิริตของผู้ชนะคืออะไร ก็ลองไปคิดดู ที่จะทำให้ชัยชนะยืนยาวต่อไป แต่หากไม่ระวังให้ดี ชัยชนะจะเป็นจุดเริ่มของความพ่ายแพ้ จะมาเร็วหรือมาช้า ถ้าไม่ระวังให้ดี ก็เตือนกัน ซึ่งตัวนายพิธาและตัว ส.ส.ก้าวไกล รวม 151 คน ที่จะทำงานในสภา คุณต้องกลับมาทบทวนและปรับบุคลิกภาพบางอย่างให้สมกับเป็นผู้ชนะ มีสปิริตของผู้ชนะ ไม่เหยียบย่ำคนแพ้ ไม่เย่อหยิ่งทะนงงตน แล้วน้อมตัวลงไป เพื่อทำงานกับบุคคลต่างๆ โดยแม้จะมีจุดยืนของตัวเอง แต่ก็ต้องเคารพจุดยืนของคนอื่น หลักคิดของคนอื่น แล้วประนอมเข้าหากัน ซึ่งถ้าประนอมกันได้ ในที่สุดมันจะเป็นทางสายกลางได้ เขาต้องจับตรงนี้ให้ได้ เอาสิ่งที่เป็นจุดแข็งจุดที่ดีเข้ามา ประนอมเข้าหากันแล้วมันจะ วิน-วิน ที่จะทำให้สังคมและประเทศชาติ ก็จะวิน-วินไปด้วย

นพ.พลเดช กล่าวว่า จุดแข็งที่ทำให้พรรคก้าวไกลประสบความสำเร็จ ก็เพราะเขาใช้สื่อโซเชียลมีเดีย การใช้ไอที และใช้ IO ซึ่ง IO ของเขา ทีมปฏิบัติการไม่ใช่น้อยๆ เป็นเรือนหมื่น เหมือนเป็นจิตอาสา อันนี้ที่ทำให้เขาสามารถชนะพวกบ้านใหญ่ได้หมดเลย และผ่านระบบอุปถัมภ์ได้หมดเลย ผ่านจนกระทั่งผ่านพวกสีเแดงมาได้ด้วย แต่เขาก็ต้องขับเคลื่อนโดยคน ซึ่งคนที่นี่หมายถึงคนที่เป็นสาวก คนที่เป็นกองกำลัง ตรงนี้ หากว่าไม่กำกับดูแลกันให้ดี แล้วไม่ปรับขบวน ไม่ปรับพฤติกรรม ตรงนี้ในที่สุด มันจะกลายเป็นจุดอ่อน และสิ่งนี้จะทำให้สิ่งที่เขาขายฝันให้ประชาชน สุดท้ายจะล่ม จะสะดุดขาล้มด้วยขบวนของตัวเอง

นพ.พลเดชยังกล่าวถึงนโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล ที่หาเสียงไว้หลายเรื่องเช่นเรื่องปฏิรูปกองทัพ และอะไรต่างๆว่า หากเขาได้เข้าไปเป็นรัฐบาลจริง พอเข้าไปทำงาน เมื่อต้องลงรายละเอียด ไปถึงขั้นของการปฏิบัติ ตรงนั้นคือยกที่สาม หลังยกแรกคือการหาเสียงเลือกตั้ง ยกที่สอง ระฆังกำลังดังตอนนี้ การจัดตั้งรัฐบาล ที่ก็ยังไม่ชัดว่าสุดท้าย จะเป็นรัฐบาลสีส้มหรือรัฐบาลสีแดง หรือจะเป็นสีอื่น ถึงตอนนี้ยังไม่รู้ แต่สมมุติว่าเป็นรัฐบาลสีส้ม ก็จะถือว่าเริ่มยกที่สาม พอขึ้นยกสาม มันก็จะยาวไปถึงยกที่สี่ ยกที่ห้า คือเป็นรัฐบาลปีที่หนึ่ง ปีที่สอง ปีที่สาม ปีที่สี่ ซึ่งยกสาม-สี่-ห้า คราวนี้ต้องเอาสิ่งที่ขายนโยบายไว้ตอนหาเสียง ก็ต้องมาจัดลำดับความสำคัญ อันไหนถ้าหากว่าไม่สามารถไปได้ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลขอไว้ ก็ต้องอธิบายกับประชาชน และเมื่อไปถึงตอนช่วงเลือก เรื่องที่จะมาทำ เช่นหากจะปฏิรูปกองทัพ ก็ต้องดูว่าใครเป็น รมว.กลาโหม หากนายพิธาจะเป็นนายกฯควบ รมว.กลาโหม ก็ต้องไปทำงานกับปลัดกระทรวงกลาโหมและ ผบ.เหล่าทัพ กับสภากลาโหม

“ถ้าบอกว่าจะล้มสภากลาโหม ก็ต้องไปดูว่าจะแก้กฎหมายอะไร ต้องทำกี่ฉบับ ซึ่งเป็นงานที่มันต่อเนื่องในยกที่สาม ยกที่สี่ และยกที่ห้า หรือถ้าจะแก้ 112 จะต้องทำอย่างไร ต้องแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง ต้องแก้กฎมณเฑียรบาลหรือไม่ คราวนี้ก็ต้องไปดูหน้างานแล้ว ซึ่งไม่ใช่ว่าคุณไปสั่งให้เขาทำอย่างนั่นอย่างนี้ แล้วทุกคนเขาจะปฏิบัติตาม มันไม่ใช่ เพราะปลัดกระทรวง เขาก็ต้องทำตามกฎหมาย คุณต้องไปแก้กฎหมายก่อน เพราะหากยังไม่แก้ แล้วมาบังคับให้เขาทำ หากเขาทำตามคุณ เขาก็ทำผิดกฎหมาย”

นพ.พลเดชกล่าวอีกว่า มันมีความซับซ้อนในยกสาม ยกสี่ ยกห้า ปีศาจมันอยู่ในรายละเอียด นี้คือคำที่เขาพูดกัน ปีศาจมันอยู่ในรายละเอียด ทั้งความชั่วร้าย ปัญหา อุปสรรคอะไรต่างๆ มันอยู่ในรายละเอียด มันไม่ง่ายเหมือนกับเราฝันอะไรสักอย่าง คือไม่ดูรายละเอียด ไม่เข้าใจ แล้วไปพูด เพราะตอนพูด คนอาจไม่ได้ดูรายละเอียดกัน ก็สร้างความฝันในอากาศขึ้นมา เพราะไม่ต้องดูรายละเอียด แต่พอเข้าไปทำ มันต้องดูในรายละเอียดแล้ว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศาลสั่งคุก 'อานนท์ นำภา' 2 ปี ผิด ม.112-พรบ.คอมพ์ รวมโทษจำคุก 5 คดี กว่า 16 ปี

ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำอ.1395/2565 ที่อัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง นายอานนท์ นำภา ทนายความและแกนนำม็อบราษฎรในความผิดฐาน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และพระราชินีฯ มาตรา 112

ก้าวไกลแพ้! ศาลยกฟ้อง 'ณฐพร โตประยูร' แจ้งเท็จ-หมิ่น ล้มล้างการปกครอง

ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.308/2564 ที่พรรคก้าวไกล เป็นโจทก์ฟ้องนายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นจำเลยในความผิดฐานแจ้งความเท็จ,หมิ่นประมาทฯพร้อมเรียกค่าเสียหาย 20,062,475บาท   

รู้ไว้ซะ 'ปิยบุตร' เผย 'ทักษิณ' ได้กลับบ้าน เพราะก้าวไกลชนะเลือกตั้ง!

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันอีกครั้ง