ชัด 'ดร.ณัฎฐ์-มือกม.มหาชน' คลี่ปมหุ้นไอทีวี-คำสั่งศาลตั้ง 'พิธา' เป็นผู้จัดการมรดก


16 มิ.ย.2566 - สืบเนื่องจากถึงกรณี นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนึ่งในนั้นคือการยื่นเอกสารถือครองหุ้น iTV ในนามผู้จัดการมรดก ซึ่งมีเอกสารทางราชการคือคำสั่งศาล ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฎฐ์”นักกฎหมายมหาชนคนดัง ได้อธิบายและให้ความรู้ทางกฎหมายมหาชนแก่ประชาชนในแง่มุมที่น่าสนใจว่า เป็นคำสั่งศาลในการตั้งผู้จัดการมรดก เหมือนกับคดีที่ตั้งจัดการมรดกทั่วไป ผู้ร้องมีส่วนได้ส่วนเสียและเป็นทายาทของผู้ตาย โดยในการร้องจัดการมรดก ทายาททุกคนยินยอมให้ผู้ร้อง เป็นผู้จัดการมรดก ศาลไต่สวนแล้ว ไม่มีผู้คัดค้าน จึงมีคำสั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล

ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่า เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกผู้วายชนม์ตามคำสั่งศาล กับ สิทธิในการรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม คนละกรณีกัน

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของผู้นั้นตกทอดแก่ทายาท กองมรดกของผู้ตาย ได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่างๆ เว้นแต่ตามกฎหมายเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ เป็นไป ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1599,1600 เมื่อผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์สินทุกชนิดย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม และต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกเท่าๆกัน เว้นแต่สละมรดก หรือถูกกำจัดมิให้รับมรดก ข้อกฎหมายนี้ ประชาชนทั่วไปย่อมทราบอยู่แล้ว แต่ประเด็นถือครองหุ้นนั้น หุ้นเป็นสังหาริมทรัพย์ อย่างหนึ่ง สมบูรณ์ก็ต่อเมื่อส่งมอบและครอบครอง

ทั้งนี้ หุ้น เป็นทรัพย์สิน ที่เป็นของเจ้ามรดกผู้วายชนม์(บิดา) ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมโดยปริยาย วิธีการ คือเข้ายึดถือและครอบครอง แต่เนื่องจากหุ้นไอทีวี เป็นทรัพย์สินที่มีทะเบียน การเข้ายึดถือและครอบครอง หากเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้จัดการมรดก ในใบหุ้น เอกสาร บจ 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะระบุว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์

หากระบุชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โดยไม่ปรากฎข้อความอื่นใด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ครอบครองในฐานะส่วนตัว ไม่ได้ครอบครองแทนทายาทในฐานะผู้จัดการมรดก หน้าที่ผู้จัดการมรดกจะต้องแบ่งปันทรัพย์ให้แก่ทายาทภายในหนึ่งปีพร้อมจัดทำบัญชีแถลงให้ศาลทราบ เท่าที่ปรากฎทางสื่อ นายพิธาฯ ถือครองหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้นมา 16 ปี แม้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่า ได้แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทหรือไม่ สาระสำคัญ การถือครองหุ้น เป็นการถือครองแทนทายาทอื่นหรือไม่ แต่เนื่องจากใบหุ้น เป็นเอกสารมหาชน ให้สันนิษฐานว่าถูกต้องและแท้จริง ตาม ป.วิแพ่ง มาตรา 127 ใบหุ้น เอกสารมหาชนจึงผูกพันนายพิธา แม้นายพิธาฯ จะโอนหุ้นให้แก่นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ในภายหลัง(พฤษภาคม 2566) อันเป็นระยะเวลาหลังเลือกตั้ง ภาระการพิสูจน์ นายพิธา จะต้องนำสืบให้ได้ว่า เป็นการถือครองแทนทายาท หรือไม่ อย่างไร

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า ส่วนประเด็นการถือหุ้น เป็นหุ้นสื่อหรือไม่ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา พิจารณาถึงวัตถุประสงค์หลักที่แท้จริง หากฟังได้ว่า วัตถุประสงค์ไอทีวี ประกอบกิจการโทรทัศน์ แม้มีข้อพิพาทระหว่าง สปน.กับไอทีวี ทำให้ สปน.ยึดคลื่นความถี่ และใบอนุญาต ทำให้ไอทีวีจอดำ แต่ไม่ได้ห้ามให้ไอทีวีไปดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

"ความปรากฎว่า ไอทีวีมีแผนทำธุรกิจสื่อ โดยมีแผนยุทธศาสตร์ในปี 2560 เป็นต้นมา โดยคาดหมายว่า หากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาชนะคดี แล้วจะกลับมาทำสื่อทีวีอีก ในระหว่างนี้ ไม่ได้ห้ามให้ไอทีวี ทำสื่อทีวีจอดาวเทียมหรือสื่อออนไลน์อื่น สาระสำคัญที่ ผู้บริหารไอทีวี ออกหนังสือแถลง เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ประสงค์ในการทำธุรกิจ เป็นยาพิษที่วางไว้ หากตีความตามตัวอักษร สรุปว่า ยังไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อเพราะติดคดีความ แต่ยังประสงค์ประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ที่จดทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจตาม พรบ.บริษัทมหาชน แม้ถูกถอดจากตลาดหลักทรัพย์ แต่ตลาดหลักทรัพย์ยังควบคุม ไอทีวี ที่เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนอยู่

ดังนั้น การถือครองหุ้นสื่อไอทีวี ของนายพิธา จะถูกมัดด้วยเอกสารมหาชนใบหุ้นและข้อเท็จจริงที่ปรากฎทั่วไปในการประกอบกิจการบริษัทมหาชนไอทีวีว่า ประกอบกิจการหรือไม่ แม้ไอทีวีจอดำ หุ้นสามารถขายได้หรือไม่ งบดุลรายได้ประจำปี แม้จะมีรายได้อื่น แต่ไอทีวีสามารถประกอบกิจการสื่อได้หรือไม่ เพราะวัตถุประสงค์ห้างหุ้นส่วนบริษัท คำว่า ประกอบกิจการตามความจริง ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ศาลพิจารณาจากทะเบียนการค้ากับการประกอบกิจการ แม้ในระหว่างประกอบกิจการมีเหตุแทรกแซง ไม่ได้ทำให้วัตถุประสงค์หลักในการประกอบกิจการเปลี่ยนแปลงไป ตรงนี้ เป็นประเด็นสำคัญ และพยานสำคัญในการเอาผิดนายพิธา"

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ตนให้ความรู้ทางวิชาการเพิ่มเติม เห็นอาจารย์สอนกฎหมาย หลายคนออกมาให้ความเห็น คลาดเคลื่อนต่อข้อกฎหมาย ทำให้ประชาชนสับสน ประเด็น การห้าม ส.ส.แทรกแซงสื่อตามมาตรา 184(4) เป็นบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้ใน หมวด 9 การขัดกันแห่งผลประโยชน์ แต่สมาชิกภาพ ส.ส.ได้บัญญัติไว้ในหมวดที่ 2 ว่าด้วย สภาผู้แทนราษฎร ในมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 แยกต่างหากจากกัน แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติให้ ผู้สมัคร ส.ส.จะต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามหรือลักษณะต้องห้ามในรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ประกอบกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 42 รวมถึงข้อห้ามผู้สมัคร ส.ส.เป็นเจ้าของหรือครอบครองหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ จะต้องได้ความว่า เป็นข้อห้าม ก่อนสมัคร ส.ส. ส่วนมาตรา 184(4) เป็นข้อห้ามภายหลังดำรงตำแหน่ง ส.ส.แล้ว รวมถึง แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 88 แห่งรัฐธรรมนูญ จะต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม ก่อนพรรคการเมืองเสนอชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองนั้นด้วย ตามมาตรา 89(2) แห่งรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น คำแถลงการณ์ของไอทีวี แต่ไม่ระบุวันที่ ที่เผยแพร่ รวมทั้งคำสั่งศาลตั้งผู้จัดการมรดก ที่ ปปช.ตรวจสอบ เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง หรือพยานหลักฐานบางส่วน ที่คณะกรรมการสืบสวนหรือไต่สวน สำนักงาน กกต.จะรวบรวมพยานหลักฐานนำไปสู่การวินิจฉัยชี้ขาดและให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย เป็นขั้นตอนแรกในการไต่สวนมาตรา 151 ประกอบมาตรา 42 แห่งกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน จะต้องปฎิบัติตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม

โดยมีขั้นตอนการสืบสวนและไต่สวน ที่กำหนดระยะเวลาไว้ให้เสร็จสิ้นภายใน 20 วัน และขยายระยะเวลาได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละ ไม่เกิน 15 วัน หากคณะกรรมการสืบสวนหรือไต่สวนไม่เสร็จสิ้น ระเบียบ กกต.ข้างต้น เปิดช่องให้ขยายระยะเวลาได้ โดยก่อนครบกำหนดเวลา 3 วัน คณะกรรมการจะต้องยื่นคำร้องขอขยายระยะในการสืบสวนและไต่สวน ระหว่างรอคำสั่งไม่ตัดอำนาจให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ดำเนินการไต่สวนต่อ

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า กระบวนการหลายขั้นตอน หากสืบสวนเสร็จสิ้น คณะกรรมการสืบสวนหรือไต่สวน จะต้องทำความเห็นและวินิจฉัยชี้ขาด ระบบไต่สวนคดีเลือกตั้งโดยใช้เสียงส่วนใหญ่วินิจฉัยชี้ขาด และส่งสำนวนให้กับเลขาธิการ กกต.โดยระเบียบ กกต.กำหนดขั้นตอน ก่อนส่งให้ กกต.วินิจฉัยชี้ขาด จะต้องส่งสำนวนให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาและข้อโต้แย้ง ที่ กกต.ตั้งขึ้นมาวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปี เพื่อทำหน้าที่พิจารณาและกลั่นกรองสำนวนและทำความเห็นวินิจฉัยชี้ขาด ก่อนที่จะเสนอให้ กกต. หากคณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าสำนวนไม่สมบูรณ์ ทำความเห็นส่งสำนวนกลับคืนไปยังเลขาธิการ กกต.สั่งให้ไต่สวนฯเพิ่มเติมหรือไม่ก็ได้ โดยเลขาธิการ กกต.จะสั่งให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนชุดเดิมหรือชุดใหม่ ไต่สวนเพิ่มเติมตามความเห็นคณะอนุกรรมการ หรืออีกช่องทางหนึ่ง หากไม่สั่งให้ไต่สวนเพิ่มเติม ระเบียบ กกต.ให้อำนาจ คณะอนุกรรมการ จะเรียกพยานบุคคล พยานเอกสาร มาสืบสวนหรือไต่สวนเอง สามารถกระทำได้ ก่อนที่จะทำความเห็นและส่งสำนวนให้ กกต.วินิจฉัยชี้ขาดคดีเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม หากกกต.เห็นว่า สำนวนสมบูรณ์ สามารถวินิจฉัยชี้ขาดได้ แต่จะมีความเห็น ยืน ยก กลับ แก้ได้ หากสำนวนไม่สมบูรณ์มีความเห็นสืบสวนหรือไต่สวนให้สมบูรณ์ก่อนวินิจฉัยชี้ขาด สามารถกระทำได้ โดยระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2566 กำหนดกรอบระยะเวลาจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรมทุกฝ่าย ให้เสนอพยานหลักฐานหักล้าง ต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดีเอสไอเผยคืบหน้าคดีคุกวีไอพี อธิบดีราชทัณฑ์ ยันขรก.ทุจริตต้องถูกลงโทษ

"ดีเอสไอ" เร่งสอบเส้นทางเงินผู้ต้องขังชาวจีน พร้อมเรียกเจ้าหน้าที่และอดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ปากคำครบทุกฝ่าย

กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด

กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก

กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ

กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้ 

ดร.ณัฏฐ์ ชี้ชัดนิยาม ผู้สมัคร อบต. ต้องนับตั้งแต่ ‘เสนอตัว’ ไม่ใช่วันได้สมัครต่อ กกต.

“ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม” ผ่าปมกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น หลังนักการเมือง อบต.ฮือฮาแจกของช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่ ระบุชัด สถานะ ผู้สมัคร เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ประกาศตัวลงสนาม ไม่ใช่วันที่ยื่นใบสมัครต่อ กกต. พร้อมเตือ

กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444