
10 ก.ค.2566-นางรัดเกล้า สุวรรณคีรี อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ในฐานะทีมรองโฆษกพรรค รทสช. โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า กระแสข่าวเกี่ยวกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยหลายคนยังขาดความเข้าใจว่า “ตัวตนของรวมไทยสร้างชาติ” แท้จริงคือใคร เพราะ… ถ้าคุณเข้าใจ คุณจะไม่สงสัย
พรรครวมไทยสร้างชาติสร้างขึ้นมาบนความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติตาม 3 อุดมการณ์ คือ สร้างสังคมที่เท่าเทียม คืนความเป็นธรรม และที่สำคัญ สร้างความมั่นคงให้ประเทศ… หากคุณรู้ เข้าใจ และจำได้แม่น (และไม่แกล้งลืม) คุณจะ ไม่สงสัย ไม่หลงประเด็น และไม่เสียเวลา กับการกังขาในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ท่านพีระพันธุ์ หัวหน้าพรรคของเราคือสุภาพบุรุษที่เป็น role model ของอุดมการณ์ของพรรคที่จะทำงานเพื่อประเทศ การสละบทบาท สส. ของท่าน แสดงให้เห็นว่าการเดินหน้าต่อสู้เพื่อทำงานนั้นมีความสำคัญกว่าการรับตำแหน่งใดๆ นอกจากนั้น ยังเป็นการคงสัจจะที่พวกเราชาว รทสช. ได้ลั่นวาจาไว้ว่า อย่าให้ลุงตู่สู้คนเดียว ซึ่ง! วันนั้นเราพูดไว้อย่างไร วันนี้เรายังคงทำอย่างนั้น เรามั่นคงในคำพูดของเรา (ไม่เปลี่ยนคำพูดไปมา ไม่กลืนน้ำลายตัวเอง) ไม่ต้องกังขา
การเสนอชื่อท่านวิทยาเป็นรองประธานสภาฯ คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงจุดยืนที่เราจะเป็นตัวแทนของประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตยทุกความเห็นของประชาชนมีความหมาย (ไม่ใช่ “เสียงส่วนใหญ่ถูกเสมอ มีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ เสียงส่วนน้อยถอยไป” เหมือนที่หลายคนเข้าใจผิดๆ อยู่ทุกวันนี้) ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อย (อย่างต่ำก็ 4.7 ล้านคน) ที่ไม่ต้องการเห็นการแก้/เลิก มาตรา 112 ไม่ต้องการเปลี่ยนวันชาติ ไม่อยาก เปลี่ยน เรื่องที่ไม่เป็นสาระ แต่อยากเห็นประเทศ #เจริญก้าวหน้า มีรัฐบาลที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็น ใส่ใจปากท้องจริง ไม่ได้มีดีแต่พูด … ซึ่ง! รทสช. ได้อาสาเป็นตัวแทนของประชาชนกลุ่มนี้มาโดยตลอด และจะเป็นตลอดไป ถ้าคุณเข้าใจก็จะไม่ต้องสงสัย
อีกประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ การที่มีนักวิชาการบางคนมาสร้างข่าวลือว่า รทสช. จะชิงตำแหน่งนายก จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่ง! ก็เป็นการปั้นน้ำเป็นตัว รทสช. เป็นนักสู้ แต่จะไม่มีวันสู้แบบที่ประเทศจะเสียหาย ไม่ต้องหลงประเด็น สิ่งที่น่าสงสัยเป็นที่สุดคือเขามีเหตุผลอะไร มีแรงจูงใจอะไร ที่ตั้งใจทำให้ประชาชนให้สับสน เข้าใจผิดกันนะ…
ตามหลักรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต การใส่ “อ” ข้างหน้าคำศัพย์เพื่อสร้างคำที่ตรงกันข้าม เช่น… อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้ความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ โดยถูกต้อง อคติ หมายถึง ความลำเอียง (เช่น เรียกคนหนึ่งว่า “คุณ” แต่ะเรียกอีกคนว่า “ลูกเลี้ยง”)
ทีมโฆษก รทสช. เราขอแถมคำใหม่ให้ด้วย นั้นคือคำว่า อวิชาการ หมายถึงผู้ที่มิคู่ควรแก่การได้รับเกียรติเป็น “นักวิชาการ” เพราะนำเสนอแต่เนื้อหาที่ อวิชา และ เต็มไปด้วย อคติ เนื้อหาที่นักอวิชาการนำเสนอเป็นพิษต่อสังคมเพราะสร้างความไขว้เขว สับสน และหลงผิด… คนเหล่านี้ควรหยุดได้แล้ว หยุดพูด หยุดเขียน หยุดออกสื่อ
วิงวอน ขอเถอะ ถ้ายังขาดความเข้าใจว่า “ตัวตนของรวมไทยสร้างชาติ” แท้จริงคือใคร… อย่าวิเคราะห์มั่วๆ อย่าพยายามทำให้คนอื่นเข้าใจเราผิด ให้ประเทศไทยเดินหน้าเถอะ อย่าชวนกัน #ก้าวหน้าหนึ่งเสตป #ก้าวหลังสองเสตป เต้นลีลาศอยู่กับที่… เสียเวลา ไม่มีสาระ สงสารประเทศไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พรรครัฐบาล-ฝ่ายค้าน ยึดหัวหาดนายกอบจ.ถ้วนหน้า
พรรครัฐบาล-ฝ่ายค้าน ยึดหัวหาดนายกอบจ.ถ้วนหน้าพรรคสีฟ้าเห็นเงียบๆฟาดเรียบหลายจังหวัด “ชทพ.-รทสช.-ปชช.-พปชร.-ปชป.-กล้าธรรม ”แชร์เก้าอี้บ้านใหญ่ยึดหัวหาดหมด “มาร์ค”แบกไม่ไหวเด็กปั้นแพ้ที่พัทลุงแม้ถ่อไปขึ้นเวทีหาเสียงให้
‘รทสช.’ ปลื้มคะแนนนิยมพรรค ยอดเงินอุดหนุนอันดับ 1 ‘เอกนัฏ’ ลั่นลุยงานเพื่อ ปชช.
‘เอกนัฏ’ ขอบคุณทุกการสนับสนุนทำพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อันดับ 1 พรรคที่ได้เงินอุดหนุนมากที่สุด ย้ำเร่งเดินหน้านโยบาย รื้อ ลด ปลด สร้างอุตสาหกรรมไทย
เลขาฯรมว.อุตสาหกรรม ยันไม่ก้มหัวให้ธุรกิจสีเทาตั้งค่าหัว 300 ล้าน เขี่ย 'เอกนัฏ'
นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการ รมว.อุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีข่าวการตั้งค่าหัวเพื่อโยกย้ายตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า ในวันแรกที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
'เพื่อไทย' นอนมา! คว้าชัยเลือกตั้ง 'นายก อบจ.' ค่ายน้ำเงินสูสีส้ม
ผศ.ดร.สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 13 - 19 ม.ค. 2568 ได้ทำการสำรวจประชาชนในหัวข้อ "เลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2568"
จี้ กทม.ใช้ยาแรงแก้ปัญหา PM2.5
อนุ กมธ.ขับเคลื่อนนโยบายบริหารราชการรูปแบบพิเศษ จี้ กทม.บังคับใช้กม.แก้ PM 2.5 ด้าน 'รัดเกล้า' ลั่นผิดหวังผู้บริหารระดับนโยบายไม่เข้าร่วม ยันติดตามใกล้ชิด หากไม่ดีขึ้นเตรียมถกนัดถัดไป
ก่อนจะมาเป็น “สมรสเท่าเทียม” ความก้าวหน้าของกฎหมายไทย
หลังเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2567 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ การประกาศใช้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือ”กฎหมายสมรสเท่าเทียม”แต่ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วันแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ทำให้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค.2568 เป็นต้นไป