ผู้สมัคร สว. โชว์หลักฐานฮั้ว จี้ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติ ว่าที่ สว. 200 คน

ผู้สมัคร สว. บุกกกต.จี้ตรวจสอบคุณสมบัติว่าที่สว. 200 คน เตรียมฟ้อง 157 หากประกาศรับรอง 3 ก.ค. พร้อมโชว์หลักฐานบัตรลงคะแนน มีหมายเลขลงคะแนนตรงกับโพย

1 ก.ค.2567-ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลุ่มผู้สมัคร สว.นำโดยพล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว ผู้สมัครสว.กลุ่ม 2 ยื่นหลักฐานต่อ กกต.ที่เกี่ยวข้องกับการบล็อกโหวตการเลือกสว.

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า วันนี้มายื่นหนังสือต่อกกต.โดยขอให้ทำการตรวจสอบว่าที่สว. 111 คน  และยื่นคำร้องขอคัดค้านการประกาศรับรองผลผู้ที่ได้เป็นสว.รวมถึงรายชื่อสำรองด้วย เนื่องจากค้นพบความปกติในการลงคะแนนโดยเฉพาะการเลือกไขว้ซึ่งมีลักษณะการลงคะแนนเป็นชุดๆโดยใบลงคะแนนมีหมายเลขเหมือนๆกัน โดยพล.ต.ท.คำรบ ยกตัวอย่างโดยมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายการลงคะแนนในช่วงเลือกไขว้ในสาย ง. โดยพบว่าผู้สมัครกลุ่มที่ 19 ลงคะแนนให้กลุ่มที่ 2 ที่มีการลงคะแนนให้กับหมายเลขเหมือนๆกัน จำนวน 4-5 ใบลงคะแนน และเมื่อนำไปเทียบกับโพยที่ตนเก็บได้ พบว่าเบอร์ที่เขาลงคะแนนตรงกับโพยทุกเบอร์

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า หลักฐานนี้ชี้ชัดได้ว่ามีการจัดตั้งกลุ่มในการลงคะแนนโดยในวันเลือกรอบไขว้กลุ่มผู้สมัครที่มีพฤติกรรมดังกล่าวจะจัดกลุ่ม กลุ่มละ 10 คน และจะเลือกคนในกลุ่ม และยังมีผู้สมัครสว.ที่ไม่ลงคะแนนในกับตัวเอง ปต่ลงคะแนนให้กับผู้ที่เป็นเป้าหมาย

“ผมยื่นหลักฐานเพื่อขอให้กกต.ใช้อำนาจในการเปิดกล่องนับคะแนนใหม่ โดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อตรวจหาพิรุธการลงคะแนนเป็นกลุ่ม ซึ่งผิดปกติวิสัย ขณะนี้หลักฐานคือใบลงคะแนนที่กกต.เก็บไว้ในกล่องจำนวน 40 กล่อง ถ้าตรวจสอบโดยใช้วิธีนี้จะใช้เวลาไม่เกิน 4 ชม. ซึ่งจะทำให้ทราบว่าใครลงคะแนนให้กับใครบ้าง หากการยื่นหนังสือในวันนี้กกต.ไม่ได้ดำเนินการตามที่ร้องขอ ก็จะยื่นหนังสือให้กับหน่วยงานที่มีอำนาจทางปกครอง และบังคับให้กกต.ดำเนินการตามข้อเรียกร้อง และถ้ากกตยังดื้อดึงประกาศรับรองผลสว. จะยื่นร้องต่อศาลฎีกาศาลฎีกา และจะร้องตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้กกต.ได้แถลงถึงโพยที่พบว่าอาจจะเป็นการทำการบ้านของผู้สมัคร ถ้าตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานว่าเอื้อประโยชน์ต่อกัน จะเอาผิดได้หรือไม่ พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า การให้ประโยชน์นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นแค่เรื่องเงิน แต่ในเรื่องนี้ตนมองว่าเป็นเรื่องของสัญญาว่าจะให้ตำแหน่ง ก็ถือว่าเป็นการให้ประโยชน์ต่อกันแล้ว อยากให้กกต.ใช้ความกล้าหาญในการนับคะแนนใหม่ โดยเปิดให้ประชาชนและสื่อมวลชนได้รับทราบด้วย

ด้านนายจิรัฏฐ์ แจ่มสว่าง ผู้สมัครสว.กลุ่มการศึกษา 3 กล่าวว่า การมายื่นต่อกกตครั้งนี้เพื่อขอให้ตรวจสอบในการลงคะแนน เนื่องจากจะเห็นได้ชัดว่าการลงการลงคะแนนนั้นเป็นตัวเลขชุดๆ หมายเลขในใบลงคะแนนเหมือนกันนับ 10 ใบ  จึงอยากให้กกต.ตรวจสอบเส้นทางของการลงคะแนนของกลุ่มคนเหล่านี้ เชื่อว่าเกี่ยวกับกลุ่มพรรคการเมือง ขอให้กกต.ตรวจสอบว่าผิดจริงหรือไม่ถ้าผิดจริงถือว่าผิดกติกาในการเลือก ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัตินั้นไม่ได้อยากให้ตรวจสอบเพียงเป็นรายคน เพราะตามขั้นตอนกกต.ต้องตรวจสอบคุณสมบัติทุกคนมาก่อนหน้านี้แล้ว หากอนุญาตให้มาสมัครในระดับอำเภอ ประเทศแต่กลับพบปัญหาในระดับประเทศ ขณะที่กตยังไม่ได้ออกมาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างชัดเจน จึงอยากให้ชะลอการประกาศรับรองว่าที่ แล้วกลับไปตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสว. รวมถึงบัญชีสำรองอีกครั้ง เพราะตนเห็นคุณสมบัติแปลกๆจากผู้สมัครหลายคน ที่มีฉายาว่า “เสื้อลาย โปรไฟล์สั้น” กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่น่าสงสัย โดยในวันเลือกรอบประเทศกลุ่มนี้ใส่ชุดเหมือนๆกันคือชุดมินเนี่ยน จึงอยากให้กกต.ไปตรวจสอบคุณสมบัติคนเหล่านี้โดยเฉพาะ

ทั้งนี้มีผู้สมัครสว.กลุ่ม 9 ให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนว่า ก่อนการลงคะแนนในรอบประเทศ มีผู้สมัครกลุ่ม 19 โทรศัพท์มาหาตน แล้วถ้าถามมาให้เป็นโหวตเตอร์เพื่อทำการลงคะแนนให้ตามหมายเลขที่กำหนดไว้ โดยแสดงเบอร์โทรศัพท์ต่อสื่อมวลชนด้วย

ส่วนนายจักรพงษ์ คงปัญญา ผู้สมัคร สว.กลุ่ม 12 พร้อมผู้สมัครสว. อีกหลายคนที่ได้รับความเสียหายจากการเลือกสว.ยื่นหนังสือต่อ กกต. ขอคัดค้านการประกาศรายชื่อสว.ระดับประเทศ จนกว่าจะมีการตรวจสอบความถูกต้อง เนื่องจากมีประจักษ์พยานสำคัญที่อยู่ในเหตุการณ์ พบการลงคะแนนที่มีความผิดปกติ ลงคะแนนให้กันเป็นชุดๆ เลขเรียงกันหลายครั้ง ทำให้มีคะแนนสูงผิดปกติ เมื่อเทียบกับทั่วไป และบล็อคคะแนนไม่ให้บุคคลเป้าหมาย ผ่านรอบแรกได้ โดยการโจมตีปล่อยข่าวเท็จก่อนลงคะแนน ทำให้บัตรเสีย หรือมีการซื้อคะแนนแลกคะแนน

ดังนั้น การที่ กกต.ไม่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติทุกคนให้ครบถ้วนก่อนเลือกในระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ ถ้ามีผู้สมัคร คุณสมบัติไม่ถูกต้อง หลุดเข้ามาแม้แต่ 1 คน จะทำให้คะแนนระดับอำเภอในรอบแรก มีความเบี่ยงแบนและผิดพลาดทันที ยิ่งเข้ารอบลึก ก็ยิ่งมีความผิดพลาดมาตามลำดับ การที่กกต.จะรับรอง ผู้ที่ผ่านการเลือกรอบประเทศ 200 คนไปก่อน แล้วค่อยสอยทีหลังจึงเป็นหลักการที่ไม่ถูกต้อง พร้อมเสนอข้อเรียกร้อง คือ 1.หยุดการประกาศรับรอง 200 รายชื่อ จนกว่าจะมีการตรวจสอบความถูกต้องของทุกคะแนน พร้อมให้เปิดเผยต่อสาธารณะ 2.หากพบว่ามีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการฮั้วลงคะแนนให้กัน ให้กกต.ประกาศผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ทันที 3. ก่อนการเลือกตั้งใหม่ให้กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครใหม่ทั้งหมด เพื่อป้องกันคนที่ไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย ทั้ง 20 กลุ่ม โดยให้มีผู้เชี่ยวชาญร่วมกับ กกต. และเปิดเผยกระบวนการตรวจสอบต่อสาธารณะ 4. วันเลือกตั้งใหม่ กกต.ตั้งเข้มงวดไม่ให้ผู้สมัครนำเอกสารหรือโพย จดหรือเขียนตัวเลขใดๆ ในเสื้อผ้าหรือร่างกาย รวมทั้งเครื่องมือสื่อสารต่างๆ เข้าสู่สถานที่เลือกโดยเด็ดขาด 5. ให้กกต.จัดพิมพ์เอกสารแนะนำตัว(สว.3) ให้ผู้สมัครใหม่โดยแจกก่อนเข้าช่องลงคะแนนและให้เวลาผู้สมัครอ่านอย่างน้อย1 ชั่วโมง ก่อนลงคะแนน 6. ให้ทุกฝ่ายยอมรับ ผลการดำเนินการของ กกต.และถือเป็นสิ้นสุดเพื่อให้ได้มาซึ่งสว.200 คน เข้ามาทำหน้าที่

ส่วนกรณีถ้าพบผู้สมัครสว.คุณสมบัติไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนดจะทำอย่างไร นายจักรพงษ์  กล่าวว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 107 ระบุชัดเจนว่า กกต.ต้องทบทวน บริหารจัดการปัญหา หรือยกเลิกแล้วจัดตั้งใหม่ แต่ถ้า กกต.ประกาศรับรองแล้วไปสอบที่หลังจะสร้างปัญหามาก เพราะผู้สมัครบางคนไม่ถือว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมกับคนอื่น พร้อมยอมรับถ้ามีปัญหาเรื่องงบประมาณในการจัดเลือกใหม่ ก็ให้จัดในระบบเลือกประเทศไปก่อนให้ได้ สว. 200 คนก่อน และค่อยปัญหาอุดช่องว่างหรือรูโหว่ หรือรอครบเทอมแล้วเลือกใหม่ แต่ก็เป็นไปตามเงื่อนไข 6 ข้อที่ได้เรียกร้อง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด

กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก

กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ

กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้ 

กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)

กกต. ไม่มีปัญหาถ้าพรุ่งนี้ยุบสภา ก็พร้อมจัดการเลือกตั้ง-ทำประชามติ

เลขาฯกกต. กล่าวถึงความพร้อมการเลือกตั้งอบต. 11 ม.ค.2569 ว่า เราได้ตื่นตัวและสื่อสารไปยังพื้นที่ และหน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบลที่จะทำการเลือกตั้ง รวมทั้งถ้าจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน