30 ก.ค. 2567 - ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ มีการเตรียมพร้อมอย่างไร เนื่องจากมีรายชื่อเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคชุดที่จะถูกตัดสิทธิ์ ว่า ในวันที่ 7 สิงหาคม มีความเป็นไปได้หลายทาง เราคิดถึงความเป็นไปได้ และข้อจำกัดก่อน ตอนนี้พยายามดูว่างานในความรับผิดชอบทั้งหมด มีอะไรที่ทำได้บ้างทั้งก่อนและหลัง วันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งก็ต้องพยายามแยกส่วน แต่ถ้าถามว่า จะหยุดการทำงานของเราในระยะต่อไปได้หรือไม่ ก็ไม่ เพราะงานดังกล่าว เราได้ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้มีการเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ
ส่วนได้มีการพูดคุย หรือให้กำลังใจกับเพื่อน สส. ในพรรคก้าวไกลหรือไม่นั้น นายปดิพัทธ์กล่าวว่า คุยกันในฐานะเพื่อนแบบไม่มีพรรค เป็นที่น่าประหลาดใจว่า ไม่มีใครหวั่นเกรงอะไรเลย ทุกคนยังควรทำงานอย่างเต็มที่
เมื่อถามว่า จะมีโอกาสไปร่วมงานในวันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งพรรคก้าวไกลจะมีการจัดกิจกรรมที่ที่ทำการพรรคด้วยหรือไม่ นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ตนไม่ทราบตารางงานนั่งบัลลังก์ งานหลักของตนคือการรับผิดชอบการประชุม ถ้าเพื่อนๆ ไปรวมตัวกันที่ไหน ก็ค่อยติดตามข่าวกัน
ส่วนการอ่านคำวินิจฉัย จะกระทบต่อตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 1 หรือไม่ นายปดิพัทธ์กล่าวว่า แน่นอนคำวินิจฉัย ที่หากยุบพรรคแล้ว ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคด้วย คุณสมบัติของตำแหน่งรองประธานสภา ระบุว่า ต้องเป็น สส. หากสภาพ สส.สิ้น การทำงานของรองประธานสภาก็สิ้นเช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่า มองอย่างไรถึงกระแสข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลอยากได้ตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งหากนายปดิพัทธ์หลุด ก็อาจจะมีคนเสนอชื่ออื่นที่ไม่ได้มาจากพรรคก้าวไกล นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของสภา เพราะตำแหน่งในสภาทั้งหมด มาจากการเสนอชื่อโดย สส. แต่ก็คิดว่าตำแหน่งนี้คงไม่มีใครอยากได้มาก หรือถ้าได้ไปแล้วจะเกิดประโยชน์โทษผลทางการเมืองอะไรบ้าง ขออย่างเดียวใครก็ตามที่มาแทนตนหากเห็นด้วยกับแนวทางที่ตนพยายามพัฒนาสภาอยู่ ก็ให้พัฒนาต่อ
ส่วนตำแหน่งที่ได้จากการทำเอ็มโอยูระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยนั้น ตำแหน่งนี้ยังควรจะเป็นของพรรคก้าวไกลอยู่หรือไม่ ไม่แน่ใจว่าเอ็มโอยูนั้น จะมีสาระอยู่หรือไม่ แน่นอนว่าเรายังคาดหวังการรักษาคำพูด เพราะประชาชนเจ็บปวดกับการเสียคำพูดมาหลายรอบแล้ว
“แต่แน่นอนว่า เอ็มโอยูก็คือเอ็มโอยู เราเห็นการฉีกมาแล้ว ไม่ได้คาดหวังมาก แต่ถ้าเราเห็นถึงหลักการที่ควรจะเป็น เช่น การมีรองประธาน 1 ใน 3 ที่มาจากฝ่ายค้าน ทำให้เกิดความสมดุลในความเป็นกลาง ไม่ใช่เป็นกลางในเชิงบุคคล แต่เป็นความเป็นกลางในเชิงสถาบัน ซึ่งอาจเป็นออฟชั่นที่ดี ที่ทางวิปรัฐบาล และวิปฝ่ายค้าน ได้คุยกัน“
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มติเอกฉันท์! ศาลรธน. ไม่รับคำร้อง 'เรืองไกร' กล่าวหารัฐสภาแก้ รธน.ล้มล้างการปกครอง
‘ศาลรธน.’ มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง ‘เรืองไกร’ ปมกล่าวหาประธานรัฐสภา–สมาชิกรัฐสภาใช้สิทธิล้มล้างการปกครอง ชี้การประชุมร่วมแก้รัฐธรรมนูญยังไม่ปรากฏพฤติการณ์เข้าข่ายมาตรา 49 แม้อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการแต่ผู้ร้องมีสิทธิเข้าศาลโดยตรงก็ตาม
'สว.สำรอง' ร้องศาลวินิจฉัย MOA 'ปชน.-ภท.' ส่อขัดรธน.
'สว.สำรอง' ร้องศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย MOA 'ปชน.-ภท.' เป็นการกระทำขัดรธน.หรือไม่ พร้อมเตือน 'อนุทิน' ห้ามแทรกแซงสำนวนฮั้ว สว.
บันไดสามขั้นได้ รธน.ฉบับใหม่ ครม.-พรรคร่วมรัฐบาล ต้องเสนอร่างแก้ไข รธน.ประกบ
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญมายกร่าง รธน.ฉบับใหม่ เป็นอีกหนึ่งประเด็นการเมืองที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้มีการทำประชามติสามครั้ง
'ฉลาด' จวกกัมพูชาใช้เวทีสมัชชารัฐสภาอาเซียน ขยายความขัดแย้งระหว่างประเทศ
“ฉลาด ขามช่วง” โต้ “เขมร” ใช้เวทีสมัชชารัฐสภาอาเซียน ขยายความขัดแย้งระหว่างประเทศ
นายกสมาคมทนายฯ วิจารณ์ศาลรธน. ถึงขั้น 'ช็อค' อ้างเป็นตลกร้ายทางการเมือง
นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊คสมาคมทนายความเเห่งประเทศไทยผ่านบันทึก
คุกทักษิณ 1 ปี ยังไม่จบ ขยายแผล-เอาผิดอาญาเพิ่มได้
แม้ "ทักษิณ ชินวัตร" จะเข้าคุกไปแล้วเมื่อ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่เรื่อง "ป่วยทิพย์-ชั้น 14" ยังไม่จบแค่นี้


