
แนวรบสว.สีน้ำเงิน VS ดีเอสไอ-ทวี ยังระอุ มือกฎหมายสภาสูง อัดใช้แค่โพยในห้องน้ำเป็นหลักฐานสอย 138 สว. ทำคดีแบบมุสา-เด็กเลี้ยงแกะ สร้างความระส่ำระสายให้บ้านเมือง จวกรมว.ยุติธรรม เลือกปฏิบัติ ไม่สอบสว.สีอื่น
2 มี.ค.2568-พ.ต.อ.กอบ อัจนากิตติ สมาชิกวุฒิสภา(สว.) หนึ่งในแกนนำสว.ในการตอบโต้ดีเอสไอและรมว.ยุติธรรมที่พยายามจะให้คณะกรรมการคดีพิเศษหรือบอร์ดดีเอสไอรับเรื่องการสอบสวนการเลือกสว.ปี 2567 ไว้เป็นคดีพิเศษ ซึ่งบอร์ดจะนัดประชุมกันพฤหัสบดีนี้ 6 มีนาคมกล่าวถึงการดำเนินการของดีเอสไอว่า ความพยายามที่จะเข้ามาสอบสวนเรื่องการเลือกสว. เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงก็ได้ ที่จู่ๆ มีการตั้งข้อกล่าวหากับผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ แต่ในฐานะอดีตตำรวจ อดีตพนักงานสอบสวน เห็นว่า การทำงานแบบพนักงานสอนบสวน ต้องปฏิบัติตามหน้าที่คือต้องมีพยานหลักฐาน จะเอาหลักฐานมาอย่างเดียว แต่พยานไม่มี แล้วมาแถลงสรุปว่า แบบนี้ใช่ มันก็กระไรอยู่ เป็นการกล่าวหาที่เกินเลยไปบ้าง เพราะต้องใช้ดุลยพินิจ-วิจารญาณที่ไม่ก่อให้เกิดความระส่ำระสายในบ้านเมือง
พ.ต.อ.กอบ กล่าวว่า ถึงตอนนี้เข้าใจได้ว่า เขากล่าวหาทำนองว่า ที่มีการไปรวมตัวกันที่ต่างๆ เพื่อจะมาเลือกสว. อันนี้เป็นการมองทางกายภาพ คือไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังว่ามีความเป็นมาอย่างไร แล้วก็มากล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมายโบราณ (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 กระทำผิดฐานอั้งยี่) ซึ่งเป็นกฎหมายโบราณใช้ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อย่างนายจรัญ ภักดีธนากุล (อดีตตุลาการศาลรธน.)ก็เคยบอกว่า กฎหมายนี้เป็นกฎหมายเหวี่ยงแห คือปลาอยู่ตรงไหนไม่รู้ แต่เหวี่ยงแหไปปลาโดนหมด ทั้งที่ควรต้องใช้ดุลยพินิจกันด้วยว่าจะใช้กฎหมายฉบับไหนที่จะมาดำเนินการให้เป็นธรรม เพราะที่กำลังดำเนินการอยู่ตอนนี้ คือ กระทรวงยุติธรรม “ยุติ” -“ธรรม” แต่คนทำไม่รู้ใคร กระทรวงยุติธรรม ต้องดูให้รอบคอบ-รอบด้านเพราะเป็นกระทรวงหลักที่คอยอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนทั้งประเทศ รวมถึงสว.ด้วย
เมื่อถามว่าดีเอสไอมีอำนาจในการสอบสวนการเลือกสว.หรือไม่ พ.ต.อ.กอบ ย้ำว่า เขามีอำนาจแต่ไม่มีหน้าที่ แต่จะมีหน้าที่ก็ต่อเมื่อไปทำให้ถูกต้องเช่นการต้องเสนอเรื่องที่จะเข้าไปสอบสวน จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการคดีพิเศษก่อน แต่ว่าเรื่องที่ดีเอสไอมีอำนาจตามกฎหมาย คุณยังทำไม่ทันเลย แล้วคุณก็รับได้เลย แต่ก็ไม่รับ แล้วจู่ๆ เรื่องเลือกสว. จะมาทำโดยให้รับเป็นคดีพิเศษ เลยต้องส่งเรื่องให้บอร์ดคดีพิเศษ การที่ต้องอาศัยมติ ก็เพราะไม่แน่ใจ เลยต้องเอาองค์อำนาจเข้ามาเห็นชอบ ก็คือต้องการใช้องค์อำนาจ เพื่อให้มีความชอบธรรมไปทำ ดังนั้นที่ถามว่า มีอำนาจหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า มีอำนาจ แต่ว่า อำนาจนี้ต้องใช้ให้ถูกต้อง
“ที่บอกว่า มีโผ มีโพย อันนั้นไม่ใช่หลักฐาน แต่เป็นสิ่งที่คุณคิด ที่ไปพบจากจุดที่แสวงหาข้อเท็จจริง โดยก็ไม่รู้ว่าโพยนี้ เอามาห้องน้ำที่ไหน มาบอกเอามาจากห้องน้ำที่เมืองทองธานี แล้วมาบอกว่ามาจากที่ไปเลือกสว. แบบนี้มันใช่ไหม ตรรกะที่พวกคุณทำ ตอบว่า มันไม่ใช่ คุณต้องมองในภาพรวมว่าข้อเท็จจริงนี้เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบของความผิดหรือไม่ อย่างเรื่องที่บอกว่ามีการฮั้ว คำว่า ฮั้ว ความหมายคืออะไร ฮั้วตรงไหน ซึ่งผมว่ามันเป็นความเข้าใจที่เลื่อนลอย ผมถามกลับว่า การประชุมบอร์ดคดีพิเศษเมื่อ 25 ก.พ.ทำไมไม่ลงมติ แบบนี้ถือว่าเป็นการฮั้วหรือไม่ จะทำให้ลงตัวก่อนแล้วถึงค่อยมาลงมติทีหลังหรือ แล้วครั้งหน้าที่นัดประชุมวันที่ 6 มี.ค. ฮั้วมติหรือไม่ แล้วมาบอกว่า สว.ฮั้ว อันนี้ตีความตามข้อเท็จจริงเลย เพราะประชุมบอร์ดคดีพิเศษกันหลายคน ก็ถือเป็นกลุ่มแล้ว ที่ไม่ลงมติกันวันที่ 25 ก.พ.เพราะตกลงกันไม่ได้ ที่ลงมติไม่ได้เพราะฮั้วกันไม่ลง ถูกหรือไม่ ที่ไปถามคนอื่น ก็ต้องรับฟังให้ได้ เมื่อคนอื่นถามคุณกลับ แล้วคุณตอบได้หรือไม่ ผมที่เป็นสว.เป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเด็ก ที่ไม่ใช่มืออาชีพ อันนี้ไม่ได้ระบุแบบเจาะจง ก็หมายถึงทั่วไป คนทำงานเพื่อประเทศชาติ ต้องมืออาชีพ คือสุจริต ซื่อสัตย์ ถือกฎหมาย มีศีลธรรม แต่นี้คุณมันมุสา ใช้ไม่ได้ ถ้ากฎหมาย เขาเรียกว่า กล่าวเท็จ”
พ.ต.อ.กอบ กล่าวว่า สว.ตามรัฐธรรมนูญ 200 คน มาจาก ยี่สิบกลุ่มอาชีพ แต่ที่รัฐมนตรี(พ.ต.อ.ทวี) บอกว่ามี 138 คน อันนี้เป็นเรื่องของการตัดตอนหรือไม่ เพราะสว.มี 200 คนแต่ที่มากล่าวหาว่า มีสว. 138 คน สำรองอีก 2 เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่เหวี่ยงว่าเป็นอั้งยี่ แล้วอีก 60 คนหายไปไหน เป็นสว.ในกลุ่มสีท่านหรือไม่ ถ้าพูดถึงสี ผมถึงบอกว่า แล้วทำไมไม่ลงมติ(บอร์ดคดีพิเศษ) ที่ไม่ลงมติ แบบว่าฮั้วหรือไม่ ฮั้วมติเป็นไปได้หรือไม่ อันนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับสว. จะมากล่าวหาฝ่ายนิติบัญญัติลอยๆไม่ได้
ถามย้ำว่า มีข่าวลือทางการเมืองทำนองว่า มีบางกลุ่มไม่มีสว.อยู่ในมือเลย ก็เลยอยากสร้างกองกำลังขึ้นมาอยากมีสว.ในมือ เลยใช้วิธีการแบบตกปลาในบ่อเพื่อน อย่างสว.สีน้ำเงิน พ.ต.อ.กอบ กล่าวว่า ผมไม่รู้ ไม่ทราบ เพราะผมมีหน้าที่มาประชุม มาพิจารณาเรื่องกฎหมาย สว.มีหน้าที่หลักๆ สามอย่าง หนึ่ง พิจารณาร่างกฎหมาย สอง ตรวจสอบอำนาจบริหาร สาม ให้ความเห็นชอบบุคคลไปทำหน้าที่ในองค์กรต่างๆเช่นองค์กรอิสระ
ถามอีกว่า ถ้าเขามาเจรจาทาบทามให้ไป จะไปไหม ไปอยู่กับกลุ่มสีแดง พ.ต.อ.กอบ ระบุว่า ผมไม่มีกลุ่ม ผมกลุ่มประชาชน เพื่อประโยชน์ประเทศชาติ ผมมาจากสว.กลุ่มที่ยี่สิบ หรือกลุ่มอื่นๆ ผมได้ทุกกลุ่ม คงไม่ใช่อุดมการณ์ในการใช้วิชาชีพกฎหมาย ผมมีอุดมการณ์ในการใช้วิชาชีพทางกฎหมายเพื่อสังคม ผมมาจากตำรวจ เป็นพนักงานสอบสวน ผมไม่ให้เสียมือ มาเป็นสว.ต้องมาทำงานเพื่อประชาชน
“สว.ไม่ได้กลัวการตรวจสอบ แต่ที่เรามองตอนนี้คือคนเขามองว่าเราเข้ามาโดยมิชอบ ทุจริต ที่เราจะดำเนินคดี ก็คือ มาใส่ร้าย ใส่ความ ส่วนที่บอกว่าจะรับเป็นคดีพิเศษ อันนี้เป็นหน้าที่คุณ ก็ตรวจสอบมาเลย เราไม่ได้กลัวว่าจะไม่มีตำแหน่งเป็นสว. ไม่ได้คิดตรงนี้เลย แต่เรายึดถือความถูกต้องเป็นหลัก การที่มาพูดใส่ความ มาหาว่าสว.เข้ามาโดยมิชอบ อันนี้คือทำผิดสำเร็จแล้ว ที่ยังไม่มีการแจ้งความตอนนี้เพราะต้องการหลักฐานที่มันชัดเจน เราอยู่ฝ่ายนิติบัญญัติ เราไม่กล่าวหาโดยใช้กฎหมายโบราณมากล่าวหาแบบเหวี่ยงแห เราไม่ทำ เราเป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากทะเลาะกับเด็ก ยิ่งเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ยิ่งไม่อยากทะเลาะด้วย”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดีเอสไอเผยคืบหน้าคดีคุกวีไอพี อธิบดีราชทัณฑ์ ยันขรก.ทุจริตต้องถูกลงโทษ
"ดีเอสไอ" เร่งสอบเส้นทางเงินผู้ต้องขังชาวจีน พร้อมเรียกเจ้าหน้าที่และอดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ปากคำครบทุกฝ่าย
สส.บริจาคภัยพิบัติเต็มที่ ท้องถิ่นระวังช่วง180วัน!
กกต.ไฟเขียวบริจาคช่วยภัยพิบัติ สส.-สมาชิกพรรค ทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท
กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด
กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก
กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ
กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้
มาดุ! 'บิ๊กเกรียง' ฉะคนปล่อยเฟคนิวส์ หาน้ำท่วมใต้คนตายเป็นพัน น่าจะเอาหัวเสียบประจาน
'บิ๊กเกรียง' รับมอบของบริจาคช่วยอุทกภัย ฉะ คนปล่อยเฟคนิวส์ หาว่าน้ำท่วมใต้คนตายเป็นพัน น่าจะหัวเสียบประจาน ถามเอาจากไหนมาพูด บอก เสียหาย ถ้าเล่นการเมืองกัน ทำขวัญของประชาชนตกต่ำ ให้กำลังใจ 'นายกฯอนุทิน-รัฐบาล' เชื่อทำตามแผนฟื้นฟู-เยียวยาอยู่แล้ว
กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444


