'กัณวีร์' ได้เวลาซักฟอก 40 นาที ตอนแรกจะพูด 3 เรื่อง เปลี่ยนใจเน้นแค่เรื่องเดียว

ขี้หมูราขี้หมาแห้ง! "กัณวีร์" ตกใจภาพหญิงมุสลิมกอดแขน "ภูมิธรรม" มั่นใจเป็นการจัดฉากสร้างภาพแน่นอน มีอีกหลายเรื่องไม่สมจริง ลั่นแค่ไปจีนก็ไม่ใช่หลักฐานชี้ชัดว่าชีวิตความเป็นอยู่ปกติดี ต้องฟังจากสากลโลก แม้แต่สื่อมวลชน ยังถูกปิดปาก เผยอภิปรายไม่ไว้วางใจได้เวลา 40 นาที เตรียมพูดแค่เรื่องเดียว จากเดิมตั้งใจไว้ 3 เรื่อง

20 มีนาคม 2568 - ที่รัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลไทย นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ พาสื่อมวลชน เดินทางไปยังเมืองซินเจียง เพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์หลังส่งกลับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า จริง ๆ แล้วไม่อยากจะมีความเห็นกับการที่รัฐบาลไทยได้มีการเดินทางกลับไปเยี่ยมเยียน เพราะจริง ๆ แล้วตนเองไม่เห็นชอบตั้งแต่แรกในการผลักดันกลับ ตนถามเสมอมาว่าความสมัครใจของผู้ลี้ภัย 40 ชีวิตที่เป็นชาวอุยกูที่อยู่ในห้องกักของ สตม. มา 11 ปี เขามี ความสมัครใจขนาดไหน มีหลักฐานอะไรมายืนยันบ้าง ให้กับประชาคมระหว่างประเทศเห็นถึงความสมัครใจ ซึ่งหนึ่งในการแก้ไขปัญหาของผู้ลี้ภัยคือการสมัครใจเดินทางกลับประเทศ แต่ว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถชี้แจงในเรื่องหลักฐานต่าง ๆ ได้

"สุดท้ายเป็นเหมือนการตบหัวแล้วไปลูบหลัง ที่บอกว่าเราจะไปเยียวยาเขา จะส่งผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เดินทางไปเยี่ยมเยียน เราเห็นเมื่อวานนี้ว่ามี 4 คนที่ทางรองนายกฯ ไปพบ 2 คน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไปพบอีก 2 คน ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นการพูดคุยผ่านระบบซูม"

นายกัณวีร์ ระบุว่า การกลับไปเยี่ยมเยียนแบบนี้ ทุกคนทราบ พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนทราบดี ประชาคมระหว่างประเทศทราบดีแน่ ๆ ว่าเป็นรูปแบบอย่างไร ซึ่งพี่น้องชาวอุยกูร์เป็นชาวมุสลิม ซึ่งเมื่อวานนี้ ภาพที่ออกมาน่าตกใจพอสมควร ที่มีการกอดแขนท่านรองนายกฯ โดยผู้หญิงชาวอุยกูร์ที่บอกว่าเป็นคุณแม่ และน้องสาว หรือพี่สาว ตอนที่ตนเองไปเจอผู้หญิงมุสลิม ต้องใส่ฮิญาบ จึงมองว่าไม่สามารถเป็นขนาดนั้นได้

เพราะฉะนั้น มันเป็นภาพที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง ถ้าบอกว่าความพัฒนาเกิดขึ้นแล้ว ตนเองว่าพี่น้องมุสลิมทั่วโลก คงบอกว่าอันนี้ไม่ใช่การพัฒนาในเชิงศาสนา แต่เป็นการสร้างภาพหรือไม่ ดังนั้น จึงมีอะไรหลายอย่าง และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แสดงให้เห็นว่ามันไม่จริง ความเป็นจริงในการเดินทางกลับไปดูแล้วต้องแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นใครอยู่ที่ไหน โดยจากการเช็คข้อมูลของตนเองสามารถบอกได้ว่าเป็น 2 ใน 40 คนที่เดินทางกลับไป แต่กลับแล้วเป็นอย่างไรก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ย้อนแย้งต่อสายตาประชาคมโลก

เมื่อถามว่าภาพที่ออกมาจะสามารถยืนยันได้ชัดเจนหรือไม่ว่าพวกเขาปลอดภัย นายกัณวีร์ กล่าวว่า ข้อกังขาในเวทีระหว่างประเทศ ไม่ใช่ว่าเขากลับไปแล้วอยู่ดีมีสุขหรือไม่ แต่คือความสมัครใจของพวกเขา รัฐบาลหากจะทำขนาดนี้ในการเดินทางกลับไป ควรเอาหลักฐานออกมาดีกว่า ว่าเขาสมัครใจ กลไกที่มามีกระบวนการการพูดคุยระหว่าง สถานทูตจีนในประเทศไทย และ สตม. มีหลักฐาน รูป วิดีโอหรือไม่ โดยคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ และคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้ถามขอภาพ CCTV แต่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง บอกว่าไม่มีอัดไว้ มีแต่เรียลไทม์ ดังนั้น ทุกอย่างไม่มีหลักฐานซึ่งมองว่าเป็นข้อกังขาใหญ่

เมื่อถามถึงคำสัมภาษณ์ของชาวอุยกูร์ ที่บอกว่าเต็มใจกลับจีน และเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีการถูกชักจูงจากกลุ่มหัวรุนแรง รวมถึงไม่มีจดหมายที่เขียนออกมา นายกัณวีร์ กล่าวว่า “ผมเสียดายนะ เสียดายในเรื่องภาษีพี่น้องประชาชนที่เอาบินไปประเทศจีน แล้วก็เอาไปหาข้อมูลจดหมายของผม 3 ฉบับ ว่าเป็นจดหมายฉบับจริงหรือไม่อันนี้เป็นสิ่งที่ผมว่ามันไม่ควรภาษีพี่น้องประชาชนก็ตามไปต่อต้านข่าวกรองในเรื่องที่ผมมี“

นายกัณวีร์ ระบุว่า จริง ๆ แล้วการเดินทางกลับไป ถ้าใช้มาตรฐานสากลจริง ๆ คือ individual choice การตัดสินใจรายบุคคล การที่จะบอกว่าคน 2 คน แล้วเป็นของบุคคลทั้งหมด 40 คนนั้นไม่จริง 40 คนตอนนี้อยู่ที่ไหน เราเห็นแค่ 4 คนเท่านั้น เห็นแค่จากรูปถ่าย และวิดีโอ เราไม่สามารถบอกได้ว่าอีก 30 คนไปไหน และยังมีข้อมูลอันนึงที่บอกว่ามีคนนึงอยู่กับพี่สาว ทำงานอยู่ และอยู่คนละเมืองกับภรรยา และลูก ตนเองจึงตั้งคำถามว่า เมืองไหน เพราะฉะนั้น เมืองที่เขาพูดอยู่ตรงไหน คือหลักฐานข้อมูลต่าง ๆ ต้องแสดงข้อเท็จจริง แต่ตอนนี้เป็นกระแสในเรื่องข้อมูลข่าวสารที่ออกมาจากฝั่งเดียว คำครหาคือการผลักดันกลับในตอนแรก คือความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย และรัฐบาลจีน การเดินทางกลับไปเยี่ยมคนที่กลับไป ก็เป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับรัฐบาลจีน เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า คุณจะมีข้อพิสูจน์อะไรมีองค์กรกลางใด ๆ สามารถไปเยี่ยมชมได้เช่นกันในการที่บอกว่าใช่ ไม่ใช่

“ผมว่าพี่น้องสื่อมวลชนเองก็เหมือนกัน ก็โดนเลือกไปเหมือนกันว่าจะมีใครไปได้บ้าง และหลายคนไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่ผมมองว่าไม่ตอบโจทย์ จึงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรต่อ” นายกัณวีร์ กล่าว

ส่วนการเดินทางไปในครั้งนี้เพื่อแก้ต่างให้จีนหรือไม่ นายกัณวีร์ กล่าวว่า เป็นการแก้เกม ตนเองเคยอยู่ในแวดวงของความมั่นคงก็รู้ว่า คิดอะไรทำอะไร และจะทำอะไรต่อไป การโชว์มามันไม่ตอบโจทย์ความเป็นจริง

“ผมพยามจะมองข้ามในเรื่องเกี่ยวกับการกลับไปเยี่ยมเยียนครั้งนี้ เพราะว่ารับไม่ได้ตั้งแต่ต้น แต่พอยิ่งกลับไปดูว่าเขาทำอะไรออกมา สร้างภาพอะไรออกมา ผมยิ่งรับไม่ได้ และในเวทีระหว่างประเทศยิ่งรับไม่ได้” นายกัณวีร์ กล่าว

ส่วนแสดงว่าสื่อที่ถูกเลือกไปก็ถูกปิดปากนั้น ตนเองไม่ทราบว่าถูกปิดปากหรือไม่แต่ว่าเราเห็นข้อมูลต่างๆออกมาเป็นอย่างไรบ้างรูปต่างๆที่เราเห็นก็เห็นว่ามีการเบลอหน้าทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่จีน มีเพียงเจ้าหน้าที่ไทยที่ไม่ต้องเบลอหน้า แล้วทำไมเราถึงไม่สามารถมองเห็นได้ ถ้าบอกว่าการเดินทางกลับไปในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนในเรื่องผู้ลี้ภัย ทุกคน ณ ปัจจุบันนี้ จะไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไป ทุกคนต้องกลับไปคืนสู่สังคมได้แล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปนี่เป็นสิ่งที่ยังค้างคาใจตนเองเช่นกัน

นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า ตอนแรกเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจเตรียมไว้ 3 เรื่อง คือ เรื่องชายแดนใต้ชายแดนไทยเมียนมา และเรื่องอุยกูร์ แต่ตอนนี้เห็นว่าเป็นประเด็นที่มีรายละเอียดเยอะ จึงจะมุ่งเน้นอภิปรายเรื่องอุยกูร์อย่างเดียวทั้งหมด 40 นาที นำหลักฐานทั้งหมดมาแสดงให้เห็น หลักฐานต่าง ๆ ที่บอกว่าเป็นจดหมายผิดซอง คลิปเสียง ภาพ ไทม์ไลน์ต่าง ๆ ออกมาว่ามันมีข้อกังขาอะไรบ้าง ที่ทำให้ไม่สามารถตอบอย่างชัดเจนได้

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีการโต้ว่าจดหมายที่ออกมาเปิดเผยนั้นไม่มีอยู่จริง ว่า ก็ไปถามคนเดียวสองคน ถ้าจะให้ 40 คนเขียน ก็ต้องเขียนคนละตัว เวลาไปถามคน ก็ไปถามคนที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ คนที่เขียนจดหมายก็ต้องเป็นคนที่รู้ภาษาอังกฤษดังนั้นคงจะถามผิดคนเช่นเดียวกัน

”ถ้าบอกผมจดหมายผิดซอง เขาก็ถามผิดคน“ นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ ยืนยันในหลักฐานที่มีอยู่ และในอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีหลักฐานมากกว่านั้นอาจจะเป็นซีรี่ส์เลยเพื่อให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเราต้องเปิดเผยตั้งแต่แรกว่าเกิดอะไรขึ้น

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้นำศาสนาบอกว่ารัฐบาลจีนดูแลเป็นอย่างดี ว่า อันนั้นก็เป็นข้อมูลจากฝั่งของเขา ตอนนี้ตนเองยังไม่ได้รับทราบ “แต่ว่าลองดูดี ๆ นะ ว่า 4 คนที่เห็น เวลากลับไปแปลกเนาะ เวลาเราไปเจอผู้หญิงพี่น้องมุสลิม เขาต้องมีการคลุมฮิญาบ เขาไม่สามารถที่จะไปแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายได้ แต่ผมเห็นอยู่ดี ๆ จะมากอดพี่อ้วนผมได้ไง ในมุมของศาสนาก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตั้งข้อสังเกต”

ส่วนที่ทางการจีนบอกว่าไม่ได้ปิดกั้นอะไรนั้นก็เป็นเรื่องภายในประเทศเขาซึ่งเราคงไม่ก้าวล่วงแต่สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยซึ่งไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเช่นการส่งกลับเราต้องตอบคำถามให้ได้ทั้งเรื่องการต่างๆก็เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนอีกเรื่องหนึ่งแต่ที่เรากำลังพูดอยู่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับ การผลักดันกลับไปประเทศที่อาจเกิดการประหัตประหารได้เป็นสิ่งที่เราเกี่ยวข้องโดยตรงเพราะเรามีกฎหมายภายในประเทศและมีกฎหมายระหว่างประเทศที่เราให้สัตยาบันแต่เราไม่ปฏิบัติตามทางกฎหมายภายในและภายนอกประเทศจึงเป็นเรื่องผลกระทบพร้อมย้ำว่าเรื่องภายในประเทศของจีนก็เป็นเรื่องขององค์การระหว่างประเทศที่ต้องไปตรวจสอบอีกครั้งนึง

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่แฟนคลับพรรคการเมืองหนึ่ง ยื่นสอบจริยธรรมของตนเอง ว่า ตนเองพร้อม เพราะตอนนี้เป็นผู้แทนประชาชน เรามีกลไกตรวจสอบเรื่องจริยธรรม ให้เป็นไปตามกระบวนการ อยากให้ สส. พร้อมรับการตรวจสอบ เพราะเราก็ตรวจสอบคนอื่นเช่นเดียวกัน อย่างตนเองก็ตรวจสอบรัฐบาล ฝ่ายบริหาร เพราะฉะนั้น ใครอยากตรวจสอบสิ่งที่ตนเองทำก็เชิญ และยืนยันว่าจะแสดงความชัดเจน และความโปร่งใส และตนเองอยากเห็นกลไกการตอบสนองด้วยเช่นกัน สมมุติว่าการร้องต่าง ๆ เป็นเท็จ จะมีกลไกตรวจสอบกลับไปหรือไม่อย่างไร

ขี้หมูราขี้หมาแห้ง! "กัณวีร์" ตกใจภาพหญิงมุสลิมกอดแขน "ภูมิธรรม" มั่นใจเป็นการจัดฉากสร้างภาพแน่นอน มีอีกหลายเรื่องไม่สมจริง ลั่นแค่ไปจีนก็ไม่ใช่หลักฐานชี้ชัดว่าชีวิตความเป็นอยู่ปกติดี ต้องฟังจากสากลโลก แม้แต่สื่อมวลชน ยังถูกปิดปาก เผยอภิปรายไม่ไว้วางใจได้เวลา 40 นาที เตรียมพูดแค่เรื่องเดียว จากเดิมตั้งใจไว้ 3 เรื่อง

20 มีนาคม 2568 - ที่รัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลไทย นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ พาสื่อมวลชน เดินทางไปยังเมืองซินเจียง เพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์หลังส่งกลับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า จริง ๆ แล้วไม่อยากจะมีความเห็นกับการที่รัฐบาลไทยได้มีการเดินทางกลับไปเยี่ยมเยียน เพราะจริง ๆ แล้วตนเองไม่เห็นชอบตั้งแต่แรกในการผลักดันกลับ ตนถามเสมอมาว่าความสมัครใจของผู้ลี้ภัย 40 ชีวิตที่เป็นชาวอุยกูที่อยู่ในห้องกักของ สตม. มา 11 ปี เขามี ความสมัครใจขนาดไหน มีหลักฐานอะไรมายืนยันบ้าง ให้กับประชาคมระหว่างประเทศเห็นถึงความสมัครใจ ซึ่งหนึ่งในการแก้ไขปัญหาของผู้ลี้ภัยคือการสมัครใจเดินทางกลับประเทศ แต่ว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถชี้แจงในเรื่องหลักฐานต่าง ๆ ได้

"สุดท้ายเป็นเหมือนการตบหัวแล้วไปลูบหลัง ที่บอกว่าเราจะไปเยียวยาเขา จะส่งผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เดินทางไปเยี่ยมเยียน เราเห็นเมื่อวานนี้ว่ามี 4 คนที่ทางรองนายกฯ ไปพบ 2 คน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไปพบอีก 2 คน ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นการพูดคุยผ่านระบบซูม"

นายกัณวีร์ ระบุว่า การกลับไปเยี่ยมเยียนแบบนี้ ทุกคนทราบ พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนทราบดี ประชาคมระหว่างประเทศทราบดีแน่ ๆ ว่าเป็นรูปแบบอย่างไร ซึ่งพี่น้องชาวอุยกูร์เป็นชาวมุสลิม ซึ่งเมื่อวานนี้ ภาพที่ออกมาน่าตกใจพอสมควร ที่มีการกอดแขนท่านรองนายกฯ โดยผู้หญิงชาวอุยกูร์ที่บอกว่าเป็นคุณแม่ และน้องสาว หรือพี่สาว ตอนที่ตนเองไปเจอผู้หญิงมุสลิม ต้องใส่ฮิญาบ จึงมองว่าไม่สามารถเป็นขนาดนั้นได้

เพราะฉะนั้น มันเป็นภาพที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง ถ้าบอกว่าความพัฒนาเกิดขึ้นแล้ว ตนเองว่าพี่น้องมุสลิมทั่วโลก คงบอกว่าอันนี้ไม่ใช่การพัฒนาในเชิงศาสนา แต่เป็นการสร้างภาพหรือไม่ ดังนั้น จึงมีอะไรหลายอย่าง และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แสดงให้เห็นว่ามันไม่จริง ความเป็นจริงในการเดินทางกลับไปดูแล้วต้องแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นใครอยู่ที่ไหน โดยจากการเช็คข้อมูลของตนเองสามารถบอกได้ว่าเป็น 2 ใน 40 คนที่เดินทางกลับไป แต่กลับแล้วเป็นอย่างไรก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ย้อนแย้งต่อสายตาประชาคมโลก

เมื่อถามว่าภาพที่ออกมาจะสามารถยืนยันได้ชัดเจนหรือไม่ว่าพวกเขาปลอดภัย นายกัณวีร์ กล่าวว่า ข้อกังขาในเวทีระหว่างประเทศ ไม่ใช่ว่าเขากลับไปแล้วอยู่ดีมีสุขหรือไม่ แต่คือความสมัครใจของพวกเขา รัฐบาลหากจะทำขนาดนี้ในการเดินทางกลับไป ควรเอาหลักฐานออกมาดีกว่า ว่าเขาสมัครใจ กลไกที่มามีกระบวนการการพูดคุยระหว่าง สถานทูตจีนในประเทศไทย และ สตม. มีหลักฐาน รูป วิดีโอหรือไม่ โดยคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ และคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้ถามขอภาพ CCTV แต่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง บอกว่าไม่มีอัดไว้ มีแต่เรียลไทม์ ดังนั้น ทุกอย่างไม่มีหลักฐานซึ่งมองว่าเป็นข้อกังขาใหญ่

เมื่อถามถึงคำสัมภาษณ์ของชาวอุยกูร์ ที่บอกว่าเต็มใจกลับจีน และเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีการถูกชักจูงจากกลุ่มหัวรุนแรง รวมถึงไม่มีจดหมายที่เขียนออกมา นายกัณวีร์ กล่าวว่า “ผมเสียดายนะ เสียดายในเรื่องภาษีพี่น้องประชาชนที่เอาบินไปประเทศจีน แล้วก็เอาไปหาข้อมูลจดหมายของผม 3 ฉบับ ว่าเป็นจดหมายฉบับจริงหรือไม่อันนี้เป็นสิ่งที่ผมว่ามันไม่ควรภาษีพี่น้องประชาชนก็ตามไปต่อต้านข่าวกรองในเรื่องที่ผมมี“

นายกัณวีร์ ระบุว่า จริง ๆ แล้วการเดินทางกลับไป ถ้าใช้มาตรฐานสากลจริง ๆ คือ individual choice การตัดสินใจรายบุคคล การที่จะบอกว่าคน 2 คน แล้วเป็นของบุคคลทั้งหมด 40 คนนั้นไม่จริง 40 คนตอนนี้อยู่ที่ไหน เราเห็นแค่ 4 คนเท่านั้น เห็นแค่จากรูปถ่าย และวิดีโอ เราไม่สามารถบอกได้ว่าอีก 30 คนไปไหน และยังมีข้อมูลอันนึงที่บอกว่ามีคนนึงอยู่กับพี่สาว ทำงานอยู่ และอยู่คนละเมืองกับภรรยา และลูก ตนเองจึงตั้งคำถามว่า เมืองไหน เพราะฉะนั้น เมืองที่เขาพูดอยู่ตรงไหน คือหลักฐานข้อมูลต่าง ๆ ต้องแสดงข้อเท็จจริง แต่ตอนนี้เป็นกระแสในเรื่องข้อมูลข่าวสารที่ออกมาจากฝั่งเดียว คำครหาคือการผลักดันกลับในตอนแรก คือความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย และรัฐบาลจีน การเดินทางกลับไปเยี่ยมคนที่กลับไป ก็เป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับรัฐบาลจีน เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า คุณจะมีข้อพิสูจน์อะไรมีองค์กรกลางใด ๆ สามารถไปเยี่ยมชมได้เช่นกันในการที่บอกว่าใช่ ไม่ใช่

“ผมว่าพี่น้องสื่อมวลชนเองก็เหมือนกัน ก็โดนเลือกไปเหมือนกันว่าจะมีใครไปได้บ้าง และหลายคนไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่ผมมองว่าไม่ตอบโจทย์ จึงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรต่อ” นายกัณวีร์ กล่าว

ส่วนการเดินทางไปในครั้งนี้เพื่อแก้ต่างให้จีนหรือไม่ นายกัณวีร์ กล่าวว่า เป็นการแก้เกม ตนเองเคยอยู่ในแวดวงของความมั่นคงก็รู้ว่า คิดอะไรทำอะไร และจะทำอะไรต่อไป การโชว์มามันไม่ตอบโจทย์ความเป็นจริง

“ผมพยามจะมองข้ามในเรื่องเกี่ยวกับการกลับไปเยี่ยมเยียนครั้งนี้ เพราะว่ารับไม่ได้ตั้งแต่ต้น แต่พอยิ่งกลับไปดูว่าเขาทำอะไรออกมา สร้างภาพอะไรออกมา ผมยิ่งรับไม่ได้ และในเวทีระหว่างประเทศยิ่งรับไม่ได้” นายกัณวีร์ กล่าว

ส่วนแสดงว่าสื่อที่ถูกเลือกไปก็ถูกปิดปากนั้น ตนเองไม่ทราบว่าถูกปิดปากหรือไม่แต่ว่าเราเห็นข้อมูลต่างๆออกมาเป็นอย่างไรบ้างรูปต่างๆที่เราเห็นก็เห็นว่ามีการเบลอหน้าทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่จีน มีเพียงเจ้าหน้าที่ไทยที่ไม่ต้องเบลอหน้า แล้วทำไมเราถึงไม่สามารถมองเห็นได้ ถ้าบอกว่าการเดินทางกลับไปในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนในเรื่องผู้ลี้ภัย ทุกคน ณ ปัจจุบันนี้ จะไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไป ทุกคนต้องกลับไปคืนสู่สังคมได้แล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปนี่เป็นสิ่งที่ยังค้างคาใจตนเองเช่นกัน

นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า ตอนแรกเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจเตรียมไว้ 3 เรื่อง คือ เรื่องชายแดนใต้ชายแดนไทยเมียนมา และเรื่องอุยกูร์ แต่ตอนนี้เห็นว่าเป็นประเด็นที่มีรายละเอียดเยอะ จึงจะมุ่งเน้นอภิปรายเรื่องอุยกูร์อย่างเดียวทั้งหมด 40 นาที นำหลักฐานทั้งหมดมาแสดงให้เห็น หลักฐานต่าง ๆ ที่บอกว่าเป็นจดหมายผิดซอง คลิปเสียง ภาพ ไทม์ไลน์ต่าง ๆ ออกมาว่ามันมีข้อกังขาอะไรบ้าง ที่ทำให้ไม่สามารถตอบอย่างชัดเจนได้

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีการโต้ว่าจดหมายที่ออกมาเปิดเผยนั้นไม่มีอยู่จริง ว่า ก็ไปถามคนเดียวสองคน ถ้าจะให้ 40 คนเขียน ก็ต้องเขียนคนละตัว เวลาไปถามคน ก็ไปถามคนที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ คนที่เขียนจดหมายก็ต้องเป็นคนที่รู้ภาษาอังกฤษดังนั้นคงจะถามผิดคนเช่นเดียวกัน

”ถ้าบอกผมจดหมายผิดซอง เขาก็ถามผิดคน“ นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ ยืนยันในหลักฐานที่มีอยู่ และในอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีหลักฐานมากกว่านั้นอาจจะเป็นซีรี่ส์เลยเพื่อให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเราต้องเปิดเผยตั้งแต่แรกว่าเกิดอะไรขึ้น

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้นำศาสนาบอกว่ารัฐบาลจีนดูแลเป็นอย่างดี ว่า อันนั้นก็เป็นข้อมูลจากฝั่งของเขา ตอนนี้ตนเองยังไม่ได้รับทราบ “แต่ว่าลองดูดี ๆ นะ ว่า 4 คนที่เห็น เวลากลับไปแปลกเนาะ เวลาเราไปเจอผู้หญิงพี่น้องมุสลิม เขาต้องมีการคลุมฮิญาบ เขาไม่สามารถที่จะไปแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายได้ แต่ผมเห็นอยู่ดี ๆ จะมากอดพี่อ้วนผมได้ไง ในมุมของศาสนาก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตั้งข้อสังเกต”

ส่วนที่ทางการจีนบอกว่าไม่ได้ปิดกั้นอะไรนั้นก็เป็นเรื่องภายในประเทศเขาซึ่งเราคงไม่ก้าวล่วงแต่สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยซึ่งไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเช่นการส่งกลับเราต้องตอบคำถามให้ได้ทั้งเรื่องการต่างๆก็เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนอีกเรื่องหนึ่งแต่ที่เรากำลังพูดอยู่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับ การผลักดันกลับไปประเทศที่อาจเกิดการประหัตประหารได้เป็นสิ่งที่เราเกี่ยวข้องโดยตรงเพราะเรามีกฎหมายภายในประเทศและมีกฎหมายระหว่างประเทศที่เราให้สัตยาบันแต่เราไม่ปฏิบัติตามทางกฎหมายภายในและภายนอกประเทศจึงเป็นเรื่องผลกระทบพร้อมย้ำว่าเรื่องภายในประเทศของจีนก็เป็นเรื่องขององค์การระหว่างประเทศที่ต้องไปตรวจสอบอีกครั้งนึง

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่แฟนคลับพรรคการเมืองหนึ่ง ยื่นสอบจริยธรรมของตนเอง ว่า ตนเองพร้อม เพราะตอนนี้เป็นผู้แทนประชาชน เรามีกลไกตรวจสอบเรื่องจริยธรรม ให้เป็นไปตามกระบวนการ อยากให้ สส. พร้อมรับการตรวจสอบ เพราะเราก็ตรวจสอบคนอื่นเช่นเดียวกัน อย่างตนเองก็ตรวจสอบรัฐบาล ฝ่ายบริหาร เพราะฉะนั้น ใครอยากตรวจสอบสิ่งที่ตนเองทำก็เชิญ และยืนยันว่าจะแสดงความชัดเจน และความโปร่งใส และตนเองอยากเห็นกลไกการตอบสนองด้วยเช่นกัน สมมุติว่าการร้องต่าง ๆ เป็นเท็จ จะมีกลไกตรวจสอบกลับไปหรือไม่อย่างไร

ขี้หมูราขี้หมาแห้ง! "กัณวีร์" ตกใจภาพหญิงมุสลิมกอดแขน "ภูมิธรรม" มั่นใจเป็นการจัดฉากสร้างภาพแน่นอน มีอีกหลายเรื่องไม่สมจริง ลั่นแค่ไปจีนก็ไม่ใช่หลักฐานชี้ชัดว่าชีวิตความเป็นอยู่ปกติดี ต้องฟังจากสากลโลก แม้แต่สื่อมวลชน ยังถูกปิดปาก เผยอภิปรายไม่ไว้วางใจได้เวลา 40 นาที เตรียมพูดแค่เรื่องเดียว จากเดิมตั้งใจไว้ 3 เรื่อง

20 มีนาคม 2568 - ที่รัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลไทย นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ พาสื่อมวลชน เดินทางไปยังเมืองซินเจียง เพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์หลังส่งกลับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า จริง ๆ แล้วไม่อยากจะมีความเห็นกับการที่รัฐบาลไทยได้มีการเดินทางกลับไปเยี่ยมเยียน เพราะจริง ๆ แล้วตนเองไม่เห็นชอบตั้งแต่แรกในการผลักดันกลับ ตนถามเสมอมาว่าความสมัครใจของผู้ลี้ภัย 40 ชีวิตที่เป็นชาวอุยกูที่อยู่ในห้องกักของ สตม. มา 11 ปี เขามี ความสมัครใจขนาดไหน มีหลักฐานอะไรมายืนยันบ้าง ให้กับประชาคมระหว่างประเทศเห็นถึงความสมัครใจ ซึ่งหนึ่งในการแก้ไขปัญหาของผู้ลี้ภัยคือการสมัครใจเดินทางกลับประเทศ แต่ว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถชี้แจงในเรื่องหลักฐานต่าง ๆ ได้

"สุดท้ายเป็นเหมือนการตบหัวแล้วไปลูบหลัง ที่บอกว่าเราจะไปเยียวยาเขา จะส่งผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เดินทางไปเยี่ยมเยียน เราเห็นเมื่อวานนี้ว่ามี 4 คนที่ทางรองนายกฯ ไปพบ 2 คน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไปพบอีก 2 คน ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นการพูดคุยผ่านระบบซูม"

นายกัณวีร์ ระบุว่า การกลับไปเยี่ยมเยียนแบบนี้ ทุกคนทราบ พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนทราบดี ประชาคมระหว่างประเทศทราบดีแน่ ๆ ว่าเป็นรูปแบบอย่างไร ซึ่งพี่น้องชาวอุยกูร์เป็นชาวมุสลิม ซึ่งเมื่อวานนี้ ภาพที่ออกมาน่าตกใจพอสมควร ที่มีการกอดแขนท่านรองนายกฯ โดยผู้หญิงชาวอุยกูร์ที่บอกว่าเป็นคุณแม่ และน้องสาว หรือพี่สาว ตอนที่ตนเองไปเจอผู้หญิงมุสลิม ต้องใส่ฮิญาบ จึงมองว่าไม่สามารถเป็นขนาดนั้นได้

เพราะฉะนั้น มันเป็นภาพที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง ถ้าบอกว่าความพัฒนาเกิดขึ้นแล้ว ตนเองว่าพี่น้องมุสลิมทั่วโลก คงบอกว่าอันนี้ไม่ใช่การพัฒนาในเชิงศาสนา แต่เป็นการสร้างภาพหรือไม่ ดังนั้น จึงมีอะไรหลายอย่าง และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แสดงให้เห็นว่ามันไม่จริง ความเป็นจริงในการเดินทางกลับไปดูแล้วต้องแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นใครอยู่ที่ไหน โดยจากการเช็คข้อมูลของตนเองสามารถบอกได้ว่าเป็น 2 ใน 40 คนที่เดินทางกลับไป แต่กลับแล้วเป็นอย่างไรก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ย้อนแย้งต่อสายตาประชาคมโลก

เมื่อถามว่าภาพที่ออกมาจะสามารถยืนยันได้ชัดเจนหรือไม่ว่าพวกเขาปลอดภัย นายกัณวีร์ กล่าวว่า ข้อกังขาในเวทีระหว่างประเทศ ไม่ใช่ว่าเขากลับไปแล้วอยู่ดีมีสุขหรือไม่ แต่คือความสมัครใจของพวกเขา รัฐบาลหากจะทำขนาดนี้ในการเดินทางกลับไป ควรเอาหลักฐานออกมาดีกว่า ว่าเขาสมัครใจ กลไกที่มามีกระบวนการการพูดคุยระหว่าง สถานทูตจีนในประเทศไทย และ สตม. มีหลักฐาน รูป วิดีโอหรือไม่ โดยคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ และคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้ถามขอภาพ CCTV แต่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง บอกว่าไม่มีอัดไว้ มีแต่เรียลไทม์ ดังนั้น ทุกอย่างไม่มีหลักฐานซึ่งมองว่าเป็นข้อกังขาใหญ่

เมื่อถามถึงคำสัมภาษณ์ของชาวอุยกูร์ ที่บอกว่าเต็มใจกลับจีน และเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีการถูกชักจูงจากกลุ่มหัวรุนแรง รวมถึงไม่มีจดหมายที่เขียนออกมา นายกัณวีร์ กล่าวว่า “ผมเสียดายนะ เสียดายในเรื่องภาษีพี่น้องประชาชนที่เอาบินไปประเทศจีน แล้วก็เอาไปหาข้อมูลจดหมายของผม 3 ฉบับ ว่าเป็นจดหมายฉบับจริงหรือไม่อันนี้เป็นสิ่งที่ผมว่ามันไม่ควรภาษีพี่น้องประชาชนก็ตามไปต่อต้านข่าวกรองในเรื่องที่ผมมี“

นายกัณวีร์ ระบุว่า จริง ๆ แล้วการเดินทางกลับไป ถ้าใช้มาตรฐานสากลจริง ๆ คือ individual choice การตัดสินใจรายบุคคล การที่จะบอกว่าคน 2 คน แล้วเป็นของบุคคลทั้งหมด 40 คนนั้นไม่จริง 40 คนตอนนี้อยู่ที่ไหน เราเห็นแค่ 4 คนเท่านั้น เห็นแค่จากรูปถ่าย และวิดีโอ เราไม่สามารถบอกได้ว่าอีก 30 คนไปไหน และยังมีข้อมูลอันนึงที่บอกว่ามีคนนึงอยู่กับพี่สาว ทำงานอยู่ และอยู่คนละเมืองกับภรรยา และลูก ตนเองจึงตั้งคำถามว่า เมืองไหน เพราะฉะนั้น เมืองที่เขาพูดอยู่ตรงไหน คือหลักฐานข้อมูลต่าง ๆ ต้องแสดงข้อเท็จจริง แต่ตอนนี้เป็นกระแสในเรื่องข้อมูลข่าวสารที่ออกมาจากฝั่งเดียว คำครหาคือการผลักดันกลับในตอนแรก คือความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย และรัฐบาลจีน การเดินทางกลับไปเยี่ยมคนที่กลับไป ก็เป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับรัฐบาลจีน เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า คุณจะมีข้อพิสูจน์อะไรมีองค์กรกลางใด ๆ สามารถไปเยี่ยมชมได้เช่นกันในการที่บอกว่าใช่ ไม่ใช่

“ผมว่าพี่น้องสื่อมวลชนเองก็เหมือนกัน ก็โดนเลือกไปเหมือนกันว่าจะมีใครไปได้บ้าง และหลายคนไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่ผมมองว่าไม่ตอบโจทย์ จึงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรต่อ” นายกัณวีร์ กล่าว

ส่วนการเดินทางไปในครั้งนี้เพื่อแก้ต่างให้จีนหรือไม่ นายกัณวีร์ กล่าวว่า เป็นการแก้เกม ตนเองเคยอยู่ในแวดวงของความมั่นคงก็รู้ว่า คิดอะไรทำอะไร และจะทำอะไรต่อไป การโชว์มามันไม่ตอบโจทย์ความเป็นจริง

“ผมพยามจะมองข้ามในเรื่องเกี่ยวกับการกลับไปเยี่ยมเยียนครั้งนี้ เพราะว่ารับไม่ได้ตั้งแต่ต้น แต่พอยิ่งกลับไปดูว่าเขาทำอะไรออกมา สร้างภาพอะไรออกมา ผมยิ่งรับไม่ได้ และในเวทีระหว่างประเทศยิ่งรับไม่ได้” นายกัณวีร์ กล่าว

ส่วนแสดงว่าสื่อที่ถูกเลือกไปก็ถูกปิดปากนั้น ตนเองไม่ทราบว่าถูกปิดปากหรือไม่แต่ว่าเราเห็นข้อมูลต่างๆออกมาเป็นอย่างไรบ้างรูปต่างๆที่เราเห็นก็เห็นว่ามีการเบลอหน้าทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่จีน มีเพียงเจ้าหน้าที่ไทยที่ไม่ต้องเบลอหน้า แล้วทำไมเราถึงไม่สามารถมองเห็นได้ ถ้าบอกว่าการเดินทางกลับไปในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนในเรื่องผู้ลี้ภัย ทุกคน ณ ปัจจุบันนี้ จะไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไป ทุกคนต้องกลับไปคืนสู่สังคมได้แล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปนี่เป็นสิ่งที่ยังค้างคาใจตนเองเช่นกัน

นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า ตอนแรกเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจเตรียมไว้ 3 เรื่อง คือ เรื่องชายแดนใต้ชายแดนไทยเมียนมา และเรื่องอุยกูร์ แต่ตอนนี้เห็นว่าเป็นประเด็นที่มีรายละเอียดเยอะ จึงจะมุ่งเน้นอภิปรายเรื่องอุยกูร์อย่างเดียวทั้งหมด 40 นาที นำหลักฐานทั้งหมดมาแสดงให้เห็น หลักฐานต่าง ๆ ที่บอกว่าเป็นจดหมายผิดซอง คลิปเสียง ภาพ ไทม์ไลน์ต่าง ๆ ออกมาว่ามันมีข้อกังขาอะไรบ้าง ที่ทำให้ไม่สามารถตอบอย่างชัดเจนได้

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีการโต้ว่าจดหมายที่ออกมาเปิดเผยนั้นไม่มีอยู่จริง ว่า ก็ไปถามคนเดียวสองคน ถ้าจะให้ 40 คนเขียน ก็ต้องเขียนคนละตัว เวลาไปถามคน ก็ไปถามคนที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ คนที่เขียนจดหมายก็ต้องเป็นคนที่รู้ภาษาอังกฤษดังนั้นคงจะถามผิดคนเช่นเดียวกัน

”ถ้าบอกผมจดหมายผิดซอง เขาก็ถามผิดคน“ นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ ยืนยันในหลักฐานที่มีอยู่ และในอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีหลักฐานมากกว่านั้นอาจจะเป็นซีรี่ส์เลยเพื่อให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเราต้องเปิดเผยตั้งแต่แรกว่าเกิดอะไรขึ้น

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้นำศาสนาบอกว่ารัฐบาลจีนดูแลเป็นอย่างดี ว่า อันนั้นก็เป็นข้อมูลจากฝั่งของเขา ตอนนี้ตนเองยังไม่ได้รับทราบ “แต่ว่าลองดูดี ๆ นะ ว่า 4 คนที่เห็น เวลากลับไปแปลกเนาะ เวลาเราไปเจอผู้หญิงพี่น้องมุสลิม เขาต้องมีการคลุมฮิญาบ เขาไม่สามารถที่จะไปแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายได้ แต่ผมเห็นอยู่ดี ๆ จะมากอดพี่อ้วนผมได้ไง ในมุมของศาสนาก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตั้งข้อสังเกต”

ส่วนที่ทางการจีนบอกว่าไม่ได้ปิดกั้นอะไรนั้นก็เป็นเรื่องภายในประเทศเขาซึ่งเราคงไม่ก้าวล่วงแต่สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยซึ่งไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเช่นการส่งกลับเราต้องตอบคำถามให้ได้ทั้งเรื่องการต่างๆก็เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนอีกเรื่องหนึ่งแต่ที่เรากำลังพูดอยู่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับ การผลักดันกลับไปประเทศที่อาจเกิดการประหัตประหารได้เป็นสิ่งที่เราเกี่ยวข้องโดยตรงเพราะเรามีกฎหมายภายในประเทศและมีกฎหมายระหว่างประเทศที่เราให้สัตยาบันแต่เราไม่ปฏิบัติตามทางกฎหมายภายในและภายนอกประเทศจึงเป็นเรื่องผลกระทบพร้อมย้ำว่าเรื่องภายในประเทศของจีนก็เป็นเรื่องขององค์การระหว่างประเทศที่ต้องไปตรวจสอบอีกครั้งนึง

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่แฟนคลับพรรคการเมืองหนึ่ง ยื่นสอบจริยธรรมของตนเอง ว่า ตนเองพร้อม เพราะตอนนี้เป็นผู้แทนประชาชน เรามีกลไกตรวจสอบเรื่องจริยธรรม ให้เป็นไปตามกระบวนการ อยากให้ สส. พร้อมรับการตรวจสอบ เพราะเราก็ตรวจสอบคนอื่นเช่นเดียวกัน อย่างตนเองก็ตรวจสอบรัฐบาล ฝ่ายบริหาร เพราะฉะนั้น ใครอยากตรวจสอบสิ่งที่ตนเองทำก็เชิญ และยืนยันว่าจะแสดงความชัดเจน และความโปร่งใส และตนเองอยากเห็นกลไกการตอบสนองด้วยเช่นกัน สมมุติว่าการร้องต่าง ๆ เป็นเท็จ จะมีกลไกตรวจสอบกลับไปหรือไม่อย่างไร

ขี้หมูราขี้หมาแห้ง! "กัณวีร์" ตกใจภาพหญิงมุสลิมกอดแขน "ภูมิธรรม" มั่นใจเป็นการจัดฉากสร้างภาพแน่นอน มีอีกหลายเรื่องไม่สมจริง ลั่นแค่ไปจีนก็ไม่ใช่หลักฐานชี้ชัดว่าชีวิตความเป็นอยู่ปกติดี ต้องฟังจากสากลโลก แม้แต่สื่อมวลชน ยังถูกปิดปาก เผยอภิปรายไม่ไว้วางใจได้เวลา 40 นาที เตรียมพูดแค่เรื่องเดียว จากเดิมตั้งใจไว้ 3 เรื่อง

20 มีนาคม 2568 - ที่รัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลไทย นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ พาสื่อมวลชน เดินทางไปยังเมืองซินเจียง เพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์หลังส่งกลับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า จริง ๆ แล้วไม่อยากจะมีความเห็นกับการที่รัฐบาลไทยได้มีการเดินทางกลับไปเยี่ยมเยียน เพราะจริง ๆ แล้วตนเองไม่เห็นชอบตั้งแต่แรกในการผลักดันกลับ ตนถามเสมอมาว่าความสมัครใจของผู้ลี้ภัย 40 ชีวิตที่เป็นชาวอุยกูที่อยู่ในห้องกักของ สตม. มา 11 ปี เขามี ความสมัครใจขนาดไหน มีหลักฐานอะไรมายืนยันบ้าง ให้กับประชาคมระหว่างประเทศเห็นถึงความสมัครใจ ซึ่งหนึ่งในการแก้ไขปัญหาของผู้ลี้ภัยคือการสมัครใจเดินทางกลับประเทศ แต่ว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถชี้แจงในเรื่องหลักฐานต่าง ๆ ได้

"สุดท้ายเป็นเหมือนการตบหัวแล้วไปลูบหลัง ที่บอกว่าเราจะไปเยียวยาเขา จะส่งผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เดินทางไปเยี่ยมเยียน เราเห็นเมื่อวานนี้ว่ามี 4 คนที่ทางรองนายกฯ ไปพบ 2 คน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไปพบอีก 2 คน ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นการพูดคุยผ่านระบบซูม"

นายกัณวีร์ ระบุว่า การกลับไปเยี่ยมเยียนแบบนี้ ทุกคนทราบ พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนทราบดี ประชาคมระหว่างประเทศทราบดีแน่ ๆ ว่าเป็นรูปแบบอย่างไร ซึ่งพี่น้องชาวอุยกูร์เป็นชาวมุสลิม ซึ่งเมื่อวานนี้ ภาพที่ออกมาน่าตกใจพอสมควร ที่มีการกอดแขนท่านรองนายกฯ โดยผู้หญิงชาวอุยกูร์ที่บอกว่าเป็นคุณแม่ และน้องสาว หรือพี่สาว ตอนที่ตนเองไปเจอผู้หญิงมุสลิม ต้องใส่ฮิญาบ จึงมองว่าไม่สามารถเป็นขนาดนั้นได้

เพราะฉะนั้น มันเป็นภาพที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง ถ้าบอกว่าความพัฒนาเกิดขึ้นแล้ว ตนเองว่าพี่น้องมุสลิมทั่วโลก คงบอกว่าอันนี้ไม่ใช่การพัฒนาในเชิงศาสนา แต่เป็นการสร้างภาพหรือไม่ ดังนั้น จึงมีอะไรหลายอย่าง และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แสดงให้เห็นว่ามันไม่จริง ความเป็นจริงในการเดินทางกลับไปดูแล้วต้องแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นใครอยู่ที่ไหน โดยจากการเช็คข้อมูลของตนเองสามารถบอกได้ว่าเป็น 2 ใน 40 คนที่เดินทางกลับไป แต่กลับแล้วเป็นอย่างไรก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ย้อนแย้งต่อสายตาประชาคมโลก

เมื่อถามว่าภาพที่ออกมาจะสามารถยืนยันได้ชัดเจนหรือไม่ว่าพวกเขาปลอดภัย นายกัณวีร์ กล่าวว่า ข้อกังขาในเวทีระหว่างประเทศ ไม่ใช่ว่าเขากลับไปแล้วอยู่ดีมีสุขหรือไม่ แต่คือความสมัครใจของพวกเขา รัฐบาลหากจะทำขนาดนี้ในการเดินทางกลับไป ควรเอาหลักฐานออกมาดีกว่า ว่าเขาสมัครใจ กลไกที่มามีกระบวนการการพูดคุยระหว่าง สถานทูตจีนในประเทศไทย และ สตม. มีหลักฐาน รูป วิดีโอหรือไม่ โดยคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ และคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้ถามขอภาพ CCTV แต่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง บอกว่าไม่มีอัดไว้ มีแต่เรียลไทม์ ดังนั้น ทุกอย่างไม่มีหลักฐานซึ่งมองว่าเป็นข้อกังขาใหญ่

เมื่อถามถึงคำสัมภาษณ์ของชาวอุยกูร์ ที่บอกว่าเต็มใจกลับจีน และเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีการถูกชักจูงจากกลุ่มหัวรุนแรง รวมถึงไม่มีจดหมายที่เขียนออกมา นายกัณวีร์ กล่าวว่า “ผมเสียดายนะ เสียดายในเรื่องภาษีพี่น้องประชาชนที่เอาบินไปประเทศจีน แล้วก็เอาไปหาข้อมูลจดหมายของผม 3 ฉบับ ว่าเป็นจดหมายฉบับจริงหรือไม่อันนี้เป็นสิ่งที่ผมว่ามันไม่ควรภาษีพี่น้องประชาชนก็ตามไปต่อต้านข่าวกรองในเรื่องที่ผมมี“

นายกัณวีร์ ระบุว่า จริง ๆ แล้วการเดินทางกลับไป ถ้าใช้มาตรฐานสากลจริง ๆ คือ individual choice การตัดสินใจรายบุคคล การที่จะบอกว่าคน 2 คน แล้วเป็นของบุคคลทั้งหมด 40 คนนั้นไม่จริง 40 คนตอนนี้อยู่ที่ไหน เราเห็นแค่ 4 คนเท่านั้น เห็นแค่จากรูปถ่าย และวิดีโอ เราไม่สามารถบอกได้ว่าอีก 30 คนไปไหน และยังมีข้อมูลอันนึงที่บอกว่ามีคนนึงอยู่กับพี่สาว ทำงานอยู่ และอยู่คนละเมืองกับภรรยา และลูก ตนเองจึงตั้งคำถามว่า เมืองไหน เพราะฉะนั้น เมืองที่เขาพูดอยู่ตรงไหน คือหลักฐานข้อมูลต่าง ๆ ต้องแสดงข้อเท็จจริง แต่ตอนนี้เป็นกระแสในเรื่องข้อมูลข่าวสารที่ออกมาจากฝั่งเดียว คำครหาคือการผลักดันกลับในตอนแรก คือความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย และรัฐบาลจีน การเดินทางกลับไปเยี่ยมคนที่กลับไป ก็เป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับรัฐบาลจีน เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า คุณจะมีข้อพิสูจน์อะไรมีองค์กรกลางใด ๆ สามารถไปเยี่ยมชมได้เช่นกันในการที่บอกว่าใช่ ไม่ใช่

“ผมว่าพี่น้องสื่อมวลชนเองก็เหมือนกัน ก็โดนเลือกไปเหมือนกันว่าจะมีใครไปได้บ้าง และหลายคนไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่ผมมองว่าไม่ตอบโจทย์ จึงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรต่อ” นายกัณวีร์ กล่าว

ส่วนการเดินทางไปในครั้งนี้เพื่อแก้ต่างให้จีนหรือไม่ นายกัณวีร์ กล่าวว่า เป็นการแก้เกม ตนเองเคยอยู่ในแวดวงของความมั่นคงก็รู้ว่า คิดอะไรทำอะไร และจะทำอะไรต่อไป การโชว์มามันไม่ตอบโจทย์ความเป็นจริง

“ผมพยามจะมองข้ามในเรื่องเกี่ยวกับการกลับไปเยี่ยมเยียนครั้งนี้ เพราะว่ารับไม่ได้ตั้งแต่ต้น แต่พอยิ่งกลับไปดูว่าเขาทำอะไรออกมา สร้างภาพอะไรออกมา ผมยิ่งรับไม่ได้ และในเวทีระหว่างประเทศยิ่งรับไม่ได้” นายกัณวีร์ กล่าว

ส่วนแสดงว่าสื่อที่ถูกเลือกไปก็ถูกปิดปากนั้น ตนเองไม่ทราบว่าถูกปิดปากหรือไม่แต่ว่าเราเห็นข้อมูลต่างๆออกมาเป็นอย่างไรบ้างรูปต่างๆที่เราเห็นก็เห็นว่ามีการเบลอหน้าทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่จีน มีเพียงเจ้าหน้าที่ไทยที่ไม่ต้องเบลอหน้า แล้วทำไมเราถึงไม่สามารถมองเห็นได้ ถ้าบอกว่าการเดินทางกลับไปในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนในเรื่องผู้ลี้ภัย ทุกคน ณ ปัจจุบันนี้ จะไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไป ทุกคนต้องกลับไปคืนสู่สังคมได้แล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปนี่เป็นสิ่งที่ยังค้างคาใจตนเองเช่นกัน

นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า ตอนแรกเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจเตรียมไว้ 3 เรื่อง คือ เรื่องชายแดนใต้ชายแดนไทยเมียนมา และเรื่องอุยกูร์ แต่ตอนนี้เห็นว่าเป็นประเด็นที่มีรายละเอียดเยอะ จึงจะมุ่งเน้นอภิปรายเรื่องอุยกูร์อย่างเดียวทั้งหมด 40 นาที นำหลักฐานทั้งหมดมาแสดงให้เห็น หลักฐานต่าง ๆ ที่บอกว่าเป็นจดหมายผิดซอง คลิปเสียง ภาพ ไทม์ไลน์ต่าง ๆ ออกมาว่ามันมีข้อกังขาอะไรบ้าง ที่ทำให้ไม่สามารถตอบอย่างชัดเจนได้

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีการโต้ว่าจดหมายที่ออกมาเปิดเผยนั้นไม่มีอยู่จริง ว่า ก็ไปถามคนเดียวสองคน ถ้าจะให้ 40 คนเขียน ก็ต้องเขียนคนละตัว เวลาไปถามคน ก็ไปถามคนที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ คนที่เขียนจดหมายก็ต้องเป็นคนที่รู้ภาษาอังกฤษดังนั้นคงจะถามผิดคนเช่นเดียวกัน

”ถ้าบอกผมจดหมายผิดซอง เขาก็ถามผิดคน“ นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ ยืนยันในหลักฐานที่มีอยู่ และในอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีหลักฐานมากกว่านั้นอาจจะเป็นซีรี่ส์เลยเพื่อให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเราต้องเปิดเผยตั้งแต่แรกว่าเกิดอะไรขึ้น

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้นำศาสนาบอกว่ารัฐบาลจีนดูแลเป็นอย่างดี ว่า อันนั้นก็เป็นข้อมูลจากฝั่งของเขา ตอนนี้ตนเองยังไม่ได้รับทราบ “แต่ว่าลองดูดี ๆ นะ ว่า 4 คนที่เห็น เวลากลับไปแปลกเนาะ เวลาเราไปเจอผู้หญิงพี่น้องมุสลิม เขาต้องมีการคลุมฮิญาบ เขาไม่สามารถที่จะไปแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายได้ แต่ผมเห็นอยู่ดี ๆ จะมากอดพี่อ้วนผมได้ไง ในมุมของศาสนาก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตั้งข้อสังเกต”

ส่วนที่ทางการจีนบอกว่าไม่ได้ปิดกั้นอะไรนั้นก็เป็นเรื่องภายในประเทศเขาซึ่งเราคงไม่ก้าวล่วงแต่สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยซึ่งไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเช่นการส่งกลับเราต้องตอบคำถามให้ได้ทั้งเรื่องการต่างๆก็เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนอีกเรื่องหนึ่งแต่ที่เรากำลังพูดอยู่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับ การผลักดันกลับไปประเทศที่อาจเกิดการประหัตประหารได้เป็นสิ่งที่เราเกี่ยวข้องโดยตรงเพราะเรามีกฎหมายภายในประเทศและมีกฎหมายระหว่างประเทศที่เราให้สัตยาบันแต่เราไม่ปฏิบัติตามทางกฎหมายภายในและภายนอกประเทศจึงเป็นเรื่องผลกระทบพร้อมย้ำว่าเรื่องภายในประเทศของจีนก็เป็นเรื่องขององค์การระหว่างประเทศที่ต้องไปตรวจสอบอีกครั้งนึง

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่แฟนคลับพรรคการเมืองหนึ่ง ยื่นสอบจริยธรรมของตนเอง ว่า ตนเองพร้อม เพราะตอนนี้เป็นผู้แทนประชาชน เรามีกลไกตรวจสอบเรื่องจริยธรรม ให้เป็นไปตามกระบวนการ อยากให้ สส. พร้อมรับการตรวจสอบ เพราะเราก็ตรวจสอบคนอื่นเช่นเดียวกัน อย่างตนเองก็ตรวจสอบรัฐบาล ฝ่ายบริหาร เพราะฉะนั้น ใครอยากตรวจสอบสิ่งที่ตนเองทำก็เชิญ และยืนยันว่าจะแสดงความชัดเจน และความโปร่งใส และตนเองอยากเห็นกลไกการตอบสนองด้วยเช่นกัน สมมุติว่าการร้องต่าง ๆ เป็นเท็จ จะมีกลไกตรวจสอบกลับไปหรือไม่อย่างไร

ขี้หมูราขี้หมาแห้ง! "กัณวีร์" ตกใจภาพหญิงมุสลิมกอดแขน "ภูมิธรรม" มั่นใจเป็นการจัดฉากสร้างภาพแน่นอน มีอีกหลายเรื่องไม่สมจริง ลั่นแค่ไปจีนก็ไม่ใช่หลักฐานชี้ชัดว่าชีวิตความเป็นอยู่ปกติดี ต้องฟังจากสากลโลก แม้แต่สื่อมวลชน ยังถูกปิดปาก เผยอภิปรายไม่ไว้วางใจได้เวลา 40 นาที เตรียมพูดแค่เรื่องเดียว จากเดิมตั้งใจไว้ 3 เรื่อง

20 มีนาคม 2568 - ที่รัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลไทย นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ พาสื่อมวลชน เดินทางไปยังเมืองซินเจียง เพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์หลังส่งกลับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า จริง ๆ แล้วไม่อยากจะมีความเห็นกับการที่รัฐบาลไทยได้มีการเดินทางกลับไปเยี่ยมเยียน เพราะจริง ๆ แล้วตนเองไม่เห็นชอบตั้งแต่แรกในการผลักดันกลับ ตนถามเสมอมาว่าความสมัครใจของผู้ลี้ภัย 40 ชีวิตที่เป็นชาวอุยกูที่อยู่ในห้องกักของ สตม. มา 11 ปี เขามี ความสมัครใจขนาดไหน มีหลักฐานอะไรมายืนยันบ้าง ให้กับประชาคมระหว่างประเทศเห็นถึงความสมัครใจ ซึ่งหนึ่งในการแก้ไขปัญหาของผู้ลี้ภัยคือการสมัครใจเดินทางกลับประเทศ แต่ว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถชี้แจงในเรื่องหลักฐานต่าง ๆ ได้

"สุดท้ายเป็นเหมือนการตบหัวแล้วไปลูบหลัง ที่บอกว่าเราจะไปเยียวยาเขา จะส่งผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เดินทางไปเยี่ยมเยียน เราเห็นเมื่อวานนี้ว่ามี 4 คนที่ทางรองนายกฯ ไปพบ 2 คน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไปพบอีก 2 คน ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นการพูดคุยผ่านระบบซูม"

นายกัณวีร์ ระบุว่า การกลับไปเยี่ยมเยียนแบบนี้ ทุกคนทราบ พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนทราบดี ประชาคมระหว่างประเทศทราบดีแน่ ๆ ว่าเป็นรูปแบบอย่างไร ซึ่งพี่น้องชาวอุยกูร์เป็นชาวมุสลิม ซึ่งเมื่อวานนี้ ภาพที่ออกมาน่าตกใจพอสมควร ที่มีการกอดแขนท่านรองนายกฯ โดยผู้หญิงชาวอุยกูร์ที่บอกว่าเป็นคุณแม่ และน้องสาว หรือพี่สาว ตอนที่ตนเองไปเจอผู้หญิงมุสลิม ต้องใส่ฮิญาบ จึงมองว่าไม่สามารถเป็นขนาดนั้นได้

เพราะฉะนั้น มันเป็นภาพที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง ถ้าบอกว่าความพัฒนาเกิดขึ้นแล้ว ตนเองว่าพี่น้องมุสลิมทั่วโลก คงบอกว่าอันนี้ไม่ใช่การพัฒนาในเชิงศาสนา แต่เป็นการสร้างภาพหรือไม่ ดังนั้น จึงมีอะไรหลายอย่าง และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แสดงให้เห็นว่ามันไม่จริง ความเป็นจริงในการเดินทางกลับไปดูแล้วต้องแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นใครอยู่ที่ไหน โดยจากการเช็คข้อมูลของตนเองสามารถบอกได้ว่าเป็น 2 ใน 40 คนที่เดินทางกลับไป แต่กลับแล้วเป็นอย่างไรก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ย้อนแย้งต่อสายตาประชาคมโลก

เมื่อถามว่าภาพที่ออกมาจะสามารถยืนยันได้ชัดเจนหรือไม่ว่าพวกเขาปลอดภัย นายกัณวีร์ กล่าวว่า ข้อกังขาในเวทีระหว่างประเทศ ไม่ใช่ว่าเขากลับไปแล้วอยู่ดีมีสุขหรือไม่ แต่คือความสมัครใจของพวกเขา รัฐบาลหากจะทำขนาดนี้ในการเดินทางกลับไป ควรเอาหลักฐานออกมาดีกว่า ว่าเขาสมัครใจ กลไกที่มามีกระบวนการการพูดคุยระหว่าง สถานทูตจีนในประเทศไทย และ สตม. มีหลักฐาน รูป วิดีโอหรือไม่ โดยคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ และคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้ถามขอภาพ CCTV แต่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง บอกว่าไม่มีอัดไว้ มีแต่เรียลไทม์ ดังนั้น ทุกอย่างไม่มีหลักฐานซึ่งมองว่าเป็นข้อกังขาใหญ่

เมื่อถามถึงคำสัมภาษณ์ของชาวอุยกูร์ ที่บอกว่าเต็มใจกลับจีน และเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีการถูกชักจูงจากกลุ่มหัวรุนแรง รวมถึงไม่มีจดหมายที่เขียนออกมา นายกัณวีร์ กล่าวว่า “ผมเสียดายนะ เสียดายในเรื่องภาษีพี่น้องประชาชนที่เอาบินไปประเทศจีน แล้วก็เอาไปหาข้อมูลจดหมายของผม 3 ฉบับ ว่าเป็นจดหมายฉบับจริงหรือไม่อันนี้เป็นสิ่งที่ผมว่ามันไม่ควรภาษีพี่น้องประชาชนก็ตามไปต่อต้านข่าวกรองในเรื่องที่ผมมี“

นายกัณวีร์ ระบุว่า จริง ๆ แล้วการเดินทางกลับไป ถ้าใช้มาตรฐานสากลจริง ๆ คือ individual choice การตัดสินใจรายบุคคล การที่จะบอกว่าคน 2 คน แล้วเป็นของบุคคลทั้งหมด 40 คนนั้นไม่จริง 40 คนตอนนี้อยู่ที่ไหน เราเห็นแค่ 4 คนเท่านั้น เห็นแค่จากรูปถ่าย และวิดีโอ เราไม่สามารถบอกได้ว่าอีก 30 คนไปไหน และยังมีข้อมูลอันนึงที่บอกว่ามีคนนึงอยู่กับพี่สาว ทำงานอยู่ และอยู่คนละเมืองกับภรรยา และลูก ตนเองจึงตั้งคำถามว่า เมืองไหน เพราะฉะนั้น เมืองที่เขาพูดอยู่ตรงไหน คือหลักฐานข้อมูลต่าง ๆ ต้องแสดงข้อเท็จจริง แต่ตอนนี้เป็นกระแสในเรื่องข้อมูลข่าวสารที่ออกมาจากฝั่งเดียว คำครหาคือการผลักดันกลับในตอนแรก คือความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย และรัฐบาลจีน การเดินทางกลับไปเยี่ยมคนที่กลับไป ก็เป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับรัฐบาลจีน เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า คุณจะมีข้อพิสูจน์อะไรมีองค์กรกลางใด ๆ สามารถไปเยี่ยมชมได้เช่นกันในการที่บอกว่าใช่ ไม่ใช่

“ผมว่าพี่น้องสื่อมวลชนเองก็เหมือนกัน ก็โดนเลือกไปเหมือนกันว่าจะมีใครไปได้บ้าง และหลายคนไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่ผมมองว่าไม่ตอบโจทย์ จึงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรต่อ” นายกัณวีร์ กล่าว

ส่วนการเดินทางไปในครั้งนี้เพื่อแก้ต่างให้จีนหรือไม่ นายกัณวีร์ กล่าวว่า เป็นการแก้เกม ตนเองเคยอยู่ในแวดวงของความมั่นคงก็รู้ว่า คิดอะไรทำอะไร และจะทำอะไรต่อไป การโชว์มามันไม่ตอบโจทย์ความเป็นจริง

“ผมพยามจะมองข้ามในเรื่องเกี่ยวกับการกลับไปเยี่ยมเยียนครั้งนี้ เพราะว่ารับไม่ได้ตั้งแต่ต้น แต่พอยิ่งกลับไปดูว่าเขาทำอะไรออกมา สร้างภาพอะไรออกมา ผมยิ่งรับไม่ได้ และในเวทีระหว่างประเทศยิ่งรับไม่ได้” นายกัณวีร์ กล่าว

ส่วนแสดงว่าสื่อที่ถูกเลือกไปก็ถูกปิดปากนั้น ตนเองไม่ทราบว่าถูกปิดปากหรือไม่แต่ว่าเราเห็นข้อมูลต่างๆออกมาเป็นอย่างไรบ้างรูปต่างๆที่เราเห็นก็เห็นว่ามีการเบลอหน้าทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่จีน มีเพียงเจ้าหน้าที่ไทยที่ไม่ต้องเบลอหน้า แล้วทำไมเราถึงไม่สามารถมองเห็นได้ ถ้าบอกว่าการเดินทางกลับไปในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนในเรื่องผู้ลี้ภัย ทุกคน ณ ปัจจุบันนี้ จะไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไป ทุกคนต้องกลับไปคืนสู่สังคมได้แล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปนี่เป็นสิ่งที่ยังค้างคาใจตนเองเช่นกัน

นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า ตอนแรกเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจเตรียมไว้ 3 เรื่อง คือ เรื่องชายแดนใต้ชายแดนไทยเมียนมา และเรื่องอุยกูร์ แต่ตอนนี้เห็นว่าเป็นประเด็นที่มีรายละเอียดเยอะ จึงจะมุ่งเน้นอภิปรายเรื่องอุยกูร์อย่างเดียวทั้งหมด 40 นาที นำหลักฐานทั้งหมดมาแสดงให้เห็น หลักฐานต่าง ๆ ที่บอกว่าเป็นจดหมายผิดซอง คลิปเสียง ภาพ ไทม์ไลน์ต่าง ๆ ออกมาว่ามันมีข้อกังขาอะไรบ้าง ที่ทำให้ไม่สามารถตอบอย่างชัดเจนได้

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีการโต้ว่าจดหมายที่ออกมาเปิดเผยนั้นไม่มีอยู่จริง ว่า ก็ไปถามคนเดียวสองคน ถ้าจะให้ 40 คนเขียน ก็ต้องเขียนคนละตัว เวลาไปถามคน ก็ไปถามคนที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ คนที่เขียนจดหมายก็ต้องเป็นคนที่รู้ภาษาอังกฤษดังนั้นคงจะถามผิดคนเช่นเดียวกัน

”ถ้าบอกผมจดหมายผิดซอง เขาก็ถามผิดคน“ นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ ยืนยันในหลักฐานที่มีอยู่ และในอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีหลักฐานมากกว่านั้นอาจจะเป็นซีรี่ส์เลยเพื่อให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเราต้องเปิดเผยตั้งแต่แรกว่าเกิดอะไรขึ้น

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้นำศาสนาบอกว่ารัฐบาลจีนดูแลเป็นอย่างดี ว่า อันนั้นก็เป็นข้อมูลจากฝั่งของเขา ตอนนี้ตนเองยังไม่ได้รับทราบ “แต่ว่าลองดูดี ๆ นะ ว่า 4 คนที่เห็น เวลากลับไปแปลกเนาะ เวลาเราไปเจอผู้หญิงพี่น้องมุสลิม เขาต้องมีการคลุมฮิญาบ เขาไม่สามารถที่จะไปแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายได้ แต่ผมเห็นอยู่ดี ๆ จะมากอดพี่อ้วนผมได้ไง ในมุมของศาสนาก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตั้งข้อสังเกต”

ส่วนที่ทางการจีนบอกว่าไม่ได้ปิดกั้นอะไรนั้นก็เป็นเรื่องภายในประเทศเขาซึ่งเราคงไม่ก้าวล่วงแต่สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยซึ่งไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเช่นการส่งกลับเราต้องตอบคำถามให้ได้ทั้งเรื่องการต่างๆก็เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนอีกเรื่องหนึ่งแต่ที่เรากำลังพูดอยู่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับ การผลักดันกลับไปประเทศที่อาจเกิดการประหัตประหารได้เป็นสิ่งที่เราเกี่ยวข้องโดยตรงเพราะเรามีกฎหมายภายในประเทศและมีกฎหมายระหว่างประเทศที่เราให้สัตยาบันแต่เราไม่ปฏิบัติตามทางกฎหมายภายในและภายนอกประเทศจึงเป็นเรื่องผลกระทบพร้อมย้ำว่าเรื่องภายในประเทศของจีนก็เป็นเรื่องขององค์การระหว่างประเทศที่ต้องไปตรวจสอบอีกครั้งนึง

นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่แฟนคลับพรรคการเมืองหนึ่ง ยื่นสอบจริยธรรมของตนเอง ว่า ตนเองพร้อม เพราะตอนนี้เป็นผู้แทนประชาชน เรามีกลไกตรวจสอบเรื่องจริยธรรม ให้เป็นไปตามกระบวนการ อยากให้ สส. พร้อมรับการตรวจสอบ เพราะเราก็ตรวจสอบคนอื่นเช่นเดียวกัน อย่างตนเองก็ตรวจสอบรัฐบาล ฝ่ายบริหาร เพราะฉะนั้น ใครอยากตรวจสอบสิ่งที่ตนเองทำก็เชิญ และยืนยันว่าจะแสดงความชัดเจน และความโปร่งใส และตนเองอยากเห็นกลไกการตอบสนองด้วยเช่นกัน สมมุติว่าการร้องต่าง ๆ เป็นเท็จ จะมีกลไกตรวจสอบกลับไปหรือไม่อย่างไร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ภูมิธรรม' โต้ข่าวส่งชาวอุยกูร์ไปแคนาดา ยันส่งกลับจีนหมดแล้ว

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวมีการส่งตัวชาวอุยกูร์ จากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสวนพลูจำนวน 3 คน ไปยังประเทศที่สามคือประเทศแคนาดา

นักวิชาการ จี้รัฐบาลเร่งคลอดมาตรการ ป้องกัน 'จีน' สวมสิทธิ์สินค้า 'บริษัทไทย' หลังมีผู้ผลิตโซลาร์โดนสหรัฐ ขึ้นภาษี  

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เสนอรัฐบาลเร่งคลอดมาตรการป้องกัน ‘จีน’ สวมสิทธิ์บริษัทไทย เร่งฟื้นเชื่อมั่นสหรัฐฯ ผ่านการแก้ปัญหาจริงจัง ระบุควรตั้งกรรมการเฉพาะขึ้นมา และเปิดช่องให้ผู้แทนมะกันเข้ามาร่วมตรวจสอบสถานประกอบการเพื่อความไว้วางใจ

จีนประกาศให้ไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศนำอุปกรณ์วิจัยวิทยาศาสตร์ร่วมภารกิจฉางเอ๋อ-8 เตรียมส่งขึ้นสู่อวกาศสำรวจพื้นผิวดวงในปี 2029 นี้

ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นผู้แทนประเทศไทยร่วมเปิดงาน “วันอวกาศแห่งชาติจี

ทัพแบดฯไทยไปจีน ทำศึกทีมผสมโลก'สุธีรมาน คัพ' ประเดิมบู๊ฮ่องกง27เม.ย.

ความเคลื่อนไหวของนักแบดมินตันทีมชาติไทย  ทีมแบดมินตันไทย ได้ออกเดินทางไปยังเมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน  เมื่อช่วงเที่ยงวันศุกร์ที่ 25 เม.ย.68 ที่ผ่านมา ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อทำการแข่งขันแบดมินตันรายการ ทีมผสมชิงแชมป์โลก "สุธีรมาน คัพ 2025" (BWF Sudirman Cup Finals 2025) ระหว่างวันที่ 27 เม.ย. - 4 พ.ค.2568 

'กมธ.มั่นคง' จับมือทีมสุดซอย ลุยตรวจ 'ซินเคอหยวน' 6 พ.ค.

'กมธ.ความมั่นคง' เผย 6 พ.ค. ผนึกทีมสุดซอย ลุยตรวจโรงงานซินเคอหยวน สาขาปลวกแดง แอบก่อสร้างทั้งที่ถูกระงับ ข้องใจลอบนำเข้าฝุ่นแดง แลกซื้อขายสินค้าบางอย่าง จี้จัดหางานระยองแจงปมวีซ่าคนงานจีน

วางมือตรงหน้า ซ่อนไพ่ไว้ข้างหลัง: รัฐบาลที่ไม่กล้าชนภูมิใจไทย

กล้องทุกตัวจับภาพ ภูมิธรรม เวชยชัย ควงแขน อนุทิน ชาญวีรกูล เดินลงจากตึกไทยคู่ฟ้า พร้อมรอยยิ้มและคำหยอกว่า “เดี๋ยวหอมแก้ม” ท่ามกลางเสียงแซวว่าจะจับมือกันถึงปี 70