ดร.ณัฏฐ์ ชำแหละปม ‘ทักษิณ’ ภาษีหุ้นชินคอร์ป 1.7 หมื่นล้าน

ดร.ณัฏฐ์-นักกฎหมายมหาชน ผ่าปม “ทักษิณ” ภาษีหุ้นชินคอร์ป 1.7 หมื่นล้าน โอนให้นอมินี ไม่พ้นจากความรับผิด โอกาสยึดทรัพย์ในต่างประเทศยาก

19 พ.ย. 2568 - สืบเนื่องจากศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ภายหลังศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษพิพากษาเพิกถอนคำสั่งประเมินภาษีและมติอุทธรณ์คำสั่ง กรมสรรพากร นั้น

ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คดีนี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้องเพิกถอนคำสั่งให้ชำระภาษี มิใช่ว่า กรมสรรพากร ฟ้องนายทักษิณฯ ให้บังคับจ่ายภาษี เพราะหนี้ภาษี กรมสรรพากรไม่จำต้องฟ้องคดีให้หนี้ภาษีอากร เพราะสามารถนำหนี้ภาษีมาบังคับคดีได้ทันที              

ผลของคำพิพากษาศาลฎีกายกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในคดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่บริษัทในเครือกลุ่มเทมาเสก สิงค์โปร์ในปี 2548 มีกระแสร้อนแรงทางการเมืองในจังหวะเดียวกับความเห็นอัยการสูงสุดอุทธรณ์ในคดี มาตรา 112 และ พรบ.คอมพิวเตอร์ ที่ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง มีประเด็นที่น่าสนใจแก่พี่น้องประชาชน ทั้งในเรี่อง ผลประโยชน์ทับซ้อน ขาดจริยธรรมทางภาษี ถือครองหุ้นโดยนอมินี รวมถึงเทคนิคการต่อสู้คดีเพื่อไม่ต้องจ่ายภาษี รวมถึงจะบังคับคดีกับทรัพย์สินในต่างประเทศได้หรือไม่

ย้อนกลับไป นายทักษิณฯ ก่อนขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยในสมัยพรรคไทยรักไทย ได้ดำเนินธุรกิจโดยถือหุ้นในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2541 จำนวน 32,920,000 หุ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 12มีนาคม 2542 นายทักษิณฯ โดยจดทะเบียนตั้ง บริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนท์ จำกัด ที่เกาะบริสติส เวอร์จิ้น ในต่างประเทศจำนวน 50,000 หุ้น ทุนจดทะเบียน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยมีนายเลา วี เตียง และนางกาญจนา หงส์เหิน เป็นกรรมการ โดยนายทักษิณฯ ถือ 1 หุ้น

ต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2542 บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ จำกัด ซื้อหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 32,920,000 หุ้น ราคาซื้อขายหุ้น พาร์ละ 10 บาท

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2543 บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ จำกัด ได้เพิ่ม นายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นกรรมการบริษัท ต่อมาวันที่ 29 สิงหาคม 2554 ได้จดทะเบียนเพื่อลดมูลค่าหุ้น จากราคาพาร์ละ 10 บาท ลดลง เป็น 1 บาท ทำให้เพิ่มจำนวนหุ้นไป 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลให้ บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ จำกัด ถือหุ้นในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 329,200,000 หุ้น

วันที่ 23 สิงหาคม 2549 นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ทำนิติกรรมโอนขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่บริษัทในเครือกลุ่มเทมาเสก สิงค์โปร์ จากเดิมราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ 49.25 บาทต่อหุ้น แต่ขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด ในราคา 1 บาทต่อหุ้น

อาจเรียกว่า เทคนิคการวางแผนภาษี แต่ภาษาชาวบ้าน คือ หลบเลี่ยงภาษีหรือจ่ายภาษีน้อยลง กว่าที่ควรจะเป็นให้แก่หลวง

ต่อมากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยึดหัวหาดนำประเด็นนี้ นำไปสู่การชุมนุมเรียกร้องให้นายทักษิณฯ ลาออกจากนายกรัฐมนตรี เกิดเสื้อเหลืองต่อต้านอำนาจรัฐ           

เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างฉับพลัน เมื่อ 19 กันยายน 2549 โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้เข้าทำการยึดอำนาจรัฐประหาร เป็นประธาน คมช. โดยออกประกาศคมช.หลายฉบับ โดยประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการที่เรียกว่า “คตส.” เพื่อตรวจสอบความเสียหายแก่รัฐ ต่อมา มติ คตส. เห็นว่า บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ จำกัด โอนหุ้นให้แก่นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร ในราคาหุ้นต่ำกว่าตลาดของราคาหุ้น ระหว่างราคาตลาดกับราคาที่นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ได้รับโอนมาจากบริษัทแอมเพิล ริส อินเวสเมนท์ จำกัด เป็นเงินที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่รัฐ

กลเกมหลบเลี่ยงภาษี ชั้นเชิงการในการต่อสู้คดีของนายทักษิณฯ ใช้เทคนิคลดราคาหุ้นเหลือพาร์ละ 1 บาท ทำให้หุ้นเพิ่ม 10 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีหุ้นเพิ่ม โดยรอจังหวะราคาหุ้นเพิ่มแล้วเทขายหุ้น โดยทำสัญญาโอนหุ้น ในราคาต่ำกว่าราคาเป็นจริง ทำให้เสียภาษีน้อยกว่าความเป็นจริง เป็นที่มาของการจับได้ว่า “หลบเลี่ยงภาษี” ทั้งโอนหุ้นให้แก่นอมินีที่เป็นบุตรทั้งสอง เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน อ้างว่า “ถือหุ้นแทน” เพื่อใช้ช่องว่างว่า “แจ้งประเมินภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ทำให้พ้นจากความรับผิด

เหตุที่เป็นเชือกกล้วยมัดตัวเอง นายทักษิณฯ ไปยอมรับว่า หุ้นชินคอร์ปทั้งหมดทำโอนขายให้แก่กลุ่มบริษัทเครือเทมาเสกนั้น “เป็นของตนเอง” โดยโอนไปให้แก่บุตรทั้งสอง ถือหุ้นแทน ปรากฎในคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ 1/2553 เพื่อให้ปรากฏหลักฐานเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้น เพื่อให้เชื่อมโยงกับภาระการเสียภาษีในคดีนี้

โดยในคดีนี้ ได้ยกขึ้นต่อสู้ในปัญหาข้อกฎหมาย อ้างว่า มีการแจ้งประเมินภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตนเองเป็นเจ้าของหุ้น ไม่ได้รับการแจ้งประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากกรมสรรพากร เรียกว่า เป็นชั้นเชิงในการต่อสู้คดีและเป็นเทคนิคทางกฎหมายเพราะประมวลรัษฎากร ไม่ได้บัญญัติในเรื่องตัวการ ตัวแทนไว้

แต่ศาลฎีกาวางแนวว่า แม้ ประมวลรัษฎากร ไม่ได้มีบทบัญญัติตัวการตัวแทนไว้ แต่สามารถนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน มาใช้บังคับได้โดยอนุโลม เมื่อได้แจ้งตัวแทนแล้ว ถือว่า ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ได้ทราบการแจ้งประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว โดยนำ มาตรา 797, 820, 821 ปพพ. มาผูกโยงมัดไว้

เป็นการสร้างบรรทัดฐานแก่สังคมว่า แม้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้จากตัวแทน ถือว่าตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ได้รับทราบแล้ว และอยู่ในกรอบเวลา 2 ปี นายทักษิณฯ ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ “ไม่พ้นจากความรับผิด”         

เหตุนี้ ทำให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง และไม่ลดค่าปรับ โดยวินิจฉัยชี้ชัดว่า “ผิดจริยธรรมทางภาษี” ทั้ง กรมสรรพากร ทราบภายหลังจากการต่อสู้คดี โดยโจทก์ได้นำคำพิพากษามายืนยันกรรมสิทธิ์ในหุ้น เป็นเหตุให้ศาลภาษีอาการกลางและศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษพิพากษาถอนคำสั่งกรมสรรพากร

พูดภาษาชาวบ้าน คือ ใช้เทคนิคข้อกฎหมาย มาพลิกเกมเรียกเก็บภาษีไม่ชอบ ประเมินภาษีและเรียกเก็บผิดคน ทำให้นายทักษิณ ไม่ต้องจ่ายภาษี เถียงไม่ขึ้น

ทั้งศาลฎีกาวางแนวว่า เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่ง ประมวลรัษฎากร ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเงินได้พึงประเมิน แต่หมายความรวมถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับอาจคิดเป็นคำนวณเป็นเงินได้

ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาเคยวางแนวว่า “หุ้น” ที่ปรากฏในใบหุ้น ที่จดทะเบียนไว้ในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์ชนิดหนึ่ง สามารถแย่งการครอบครองได้ ดังนั้น หุ้นบริษัทมหาชนหรือบริษัทจำกัด ย่อมสามารถคำนวณราคาเป็นเงินได้

ในการยื่นคำร้องของคู่ความต่อศาลยุติธรรมเพื่อส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคหนึ่ง จะต้องเป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยวินิจฉัยมาก่อน โดยนายทักษิณฯ อ้างว่า ประกาศ คมช. แต่งตั้ง คตส. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกายกคำร้อง โดยวินิจฉัยว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 5/2551 ว่า ประกาศ คมช.ทุกฉบับ ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

ส่วนที่ถามว่า หากนายทักษิณ มีทรัพย์สินในต่างประเทศจะยึดหรืออายัดทรัพย์เพื่อชำระภาษี จำนวน 1.76 หมื่นล้านได้หรือไม่ เห็นว่า การบังคับคดีสามารถยึดหรืออายัดทรัพย์สินในราชอาณาจักรไทย หากเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ สามารถดำเนินการโดยอัยการสูงสุดสามารถยื่นคำร้องขอต่อประเทศนั้นๆ เพื่อยึดทรัพย์ที่พิสูจน์ทราบได้ แต่เป็นไปโดยหลักความยินยอมของประเทศนั้นๆ ว่าจะทำการยึดหรืออายัดทรัพย์แทนให้หรือไม่ แต่ในทางปฏิบัติโอกาสค่อนข้างยาก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

นายกฯอนุทิน นำแถลงยึดทรัพย์หมื่นล้าน 'สแกมเมอร์ข้ามชาติ' ลั่นต้องขยายผลไม่มีหยุดพักปีใหม่

นายกฯ อนุทิน นำแถลง ยึดทรัพย์เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ "เฉิน จื้อ - ก๊ก อาน - ยิม เลียก - เบน สมิธ" พร้อมยึดทรัพย์มูลค่าหมื่นล้านบาท ยันพร้อมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ดำเนินการเต็มที่ เดินหน้าขยายผลต่อไม่มีหยุดพักร้อน มอง "เบน สมิธ" โยงคนในรัฐบาล เป็นเรื่องคนรู้จักกันได้ แต่หากเจอหลักฐานถึงใครไม่มีละเว้น

ด่วน! ป.ป.ง. แถลงยึดทรัพย์หมื่นล้าน ตัวการใหญ่สแกมเมอร์ 5 คดี

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2568 เกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธุรกรรมในการยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการสแกมเมอร์ (Scammer)