คณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัยคือใคร? มีหน้าที่และที่มาอย่างไร?

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ได้มีผลใช้บังคับแล้วพร้อมกับการออกอนุบัญญัติอีก 3 ฉบับ ประกอบด้วย กฎกระทรวงการแสวงหาข้อเท็จจริง การรวบรวมพยานหลักฐาน และการชี้แจงหรือแก้ข้อกล่าวหา พ.ศ. 2566 กฎกระทรวงการชำระค่าปรับเป็นพินัยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2566 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยระเบียบปฏิบัติในการปรับเป็นพินัย พ.ศ.2566 เมื่อกฎหมายและอนุบัญญัติทั้งสามฉบับมีผลใช้บังคับอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เราต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย โดยที่ผ่านมา ทั้งการทำงานเพื่อให้เกิดผลใช้บังคับ การบริหารจัดการกฎหมาย และการดำเนินการตรวจพิจารณากฎหมายลูกบทต่าง ๆ ตลอดจนการให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ มีหน่วยงานหนึ่งซึ่งเป็นกำลังสำคัญในเรื่องนี้ นั่นคือ

“คณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย”

มาตรา 38 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อให้คำแนะนำและคำปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งเสนอแนะการออกกฎกระทรวง และระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่หน่วยธุรการของคณะกรรมการดังกล่าว ซึ่งในเวลาต่อมานายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 318/2565 เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2565 กำหนดให้มี “คณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย” ประกอบด้วยกรรมการจำนวน 16 คน แบ่งเป็น

1.กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 8 คน คือ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมการ นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา นายณรงค์  ใจหาญ นายธานิศ  เกศวพิทักษ์ นายประพันธ์  นัยโกวิท นางปารีณา  ศรีวณิชย์ นางสุดา  วิศรุตพิชญ์ และนายสุรศักดิ์  ลิขสิทธิ์วัฒนกุล

2.กรรมการผู้แทนหน่วยงานของรัฐ จำนวน 8 คน คือ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย และผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข

โดยคณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัยมีหน้าที่และอำนาจ (1) พัฒนาวิธีปฏิบัติงานในการปรับเป็นพินัยให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ (2) เสนอแนะการออกกฎกระทรวงและระเบียบตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 (3) กำหนดแนวทางในการออกระเบียบหรือประกาศตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 เพื่อให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายซึ่งบัญญัติความผิดทางพินัยนำไปใช้เป็นแนวทางในการออกระเบียบหรือประกาศตามหน้าที่และอำนาจของตน (4) ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 (5) ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565  ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัยกำหนด (6) ขอให้เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการ และ (7) ดำเนินการอื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

โดยมีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทำหน้าที่หน่วยธุรการของคณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ประกอบด้วยเลขานุการหนึ่งคน และผู้ช่วยเลขานุการอย่างน้อยสองคน ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่งตั้งจากข้าราชการของสำนักงานฯ และโดยที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ เป็นกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองกฎหมายกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่กองกฎหมายกระบวนการยุติธรรมจึงได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการฯ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการปฏิบัติหน้าที่และเพื่อเป็นการสั่งสมองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยให้เป็นระบบ

เมื่อครบห้าปีหลังจากที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้วให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ประเมินความจำเป็นในการให้มีคณะกรรมการนี้ต่อไปโดยให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ ในกรณีที่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นและคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว ให้คณะกรรมการดังกล่าวสิ้นสุดลงนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติหรือวันที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

การดำเนินการในขณะนี้ จากการที่กฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยเป็นระบบการปรับผู้กระทำความผิดรูปแบบใหม่และมีขั้นตอนการดำเนินการที่แตกต่างไปจากการดำเนินการปรับในทางอาญาหรือปรับทางปกครอง ในวาระเริ่มแรกคณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัยจึงมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำและคำปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งการเสนอแนะการวางระเบียบปฏิบัติและระยะเวลาในการปรับเป็นพินัย

โดยทุกท่านสามารถติดตามข่าวสารและสาระความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ได้ที่เพจสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

https://www.facebook.com/OCS.Krisdika

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ทนายถุงขนม' คอพาดเขียง! ลุ้นศาลรธน.ชี้ขาดคุณสมบัติ 'ความซื่อสัตย์-ฝ่าฝืนจริยธรรม'

ข้อหารือนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ อันเป็นหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย การวินิจฉัยชี้ขาดเป็นที่สุดย่อมเป็นหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ การให้ความเห็นในกรณีนี้จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการในการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น'

นายกฯซวยแล้ว! ภาคปชช.อ้างคำวินิจฉัยกฤษฎีกาคุณสมบัติ 'ทนายถุงขนม' ยื่นป.ป.ช.เอาผิด

สืบเนื่องจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี เฉพาะตามมาตรา 160(6) ประกอบกับมาตรา 98 (7) และมาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญ

ร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล

ปัจจุบันวิถีชีวิตของผู้คนได้เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตเป็นอันมาก โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ ของประชาชนได้เข้าสู่การดำเนินการผ่านโลกออนไลน์

การใช้มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมคุณภาพยาเพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน

การจะพัฒนากฎหมายเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามวิสัยทัศน์ “Better Regulation for Better Life” ได้นั้น นอกจากการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทางด้านเศรษฐกิจแล้วนั้น

บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากับการขับเคลื่อนงานด้านกฎหมายเกี่ยวกับ “Soft Power”

นโยบายสำคัญอย่างหนึ่งที่ได้รับความสนใจและมีการกล่าวถึงอย่างแพร่หลายของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) เข้ามาบริหารประเทศ

การยกเลิกกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น

สิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยรัฐจะดำเนินการที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจเท่านั้น